บทที่ 157 ราชาหลงตกหลุมพราง!
“เวอริตาเซรัมเหรอ?” เพราะว่าเข้าใจเรื่องราวมากกว่าหลีชิงเยียน สีหน้าซูเหลยตกตะลึง “มันเป็นตัวผลิตภัณฑ์ทดลองที่ทางประเทศอังกฤษให้การดูแลอย่างเข้มงวดมาก หัวเซี่ยใช้ความพยายามมาหลายครั้งนับไม่ถ้วนเพื่อที่จะได้มาครอบครอง แต่สุดท้ายก็ล้มไม่เป็นท่า”
ไอรีนพยักหน้าให้ “ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉันปฏิบัติภารกิจในประเทศอังกฤษ ก็เลยแอบถือติดมือมาด้วยชุดหนึ่ง”
น้ำเสียงไอรีนปกติ แต่วินาทีนั้นมันทำให้ซูเหลยกับหลีชิงเทียนสีหน้าตกตะลึง
นั่นมันมีส่วนประกอบของทรัพยากรที่มีค่ามากมายมหาศาลของประเทศมหาอำนาจและความสามารถของทรัพยากรมนุษย์ มันเป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาด้านเทคโนโลยีของประเทศอังกฤษ! การสอดส่องดูแลมันของประเทศอังกฤษนั้น ถึงกับใช้ป้อมปราการเหล็กชั้นดีในการล็อกพวกมันเอาไว้ด้านใน!
อยากจะเห็นหลอดเวอริตาเซรัมสักแวบหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะทำลายเส้นเลเซอร์แนวป้องกันไปได้ ก็ไม่มั่นใจว่าจะได้เห็นหรือเปล่า อย่าพูดเรื่องที่จะได้มันมาเลย มันเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญเหมือนกับทะยานขึ้นบนฟ้านั่นแหละ มันเป็นภารกิจที่ไม่มีวันสำเร็จไปได้!
เช่นนี้เองมันเลยเป็นการบ่งชี้ว่าประเทศอังกฤษให้ความสำคัญกับมันเป็นอย่างมาก! เพราะว่าการที่มีมันอยู่นั้น มีความเป็นไปได้เป็นอย่างมากว่าไม่มีข่าวเรื่องใดที่จะไม่รู้เรื่อง!
แต่ว่าตอนนี้ เวอริตาเซรัมหลอดนี้กลับมาปรากฏตัวอยู่ในกระเป๋าของไอรีนแล้ว เวอริตาเซรัมที่ราคาสูงลิบลิ่วถึงพันล้าน แต่ไอรีนก็เอามาครอบครองไว้ได้!
ถ้าประเทศอังกฤษพบว่าเวอริตาเซรัมนั้นถูกขโมยไปแล้ว ก็คงเป็นเรื่องสั่นสะเทือนในต่างประเทศ!
หลีชิงเยียนสบตามองไอรีน ดวงตางดงามฉายแววตาความนับถือออกมา เธอถึงได้เข้าใจในตอนนี้เอง ว่าเพื่อนของซูเหลยคนนี้ ไม่สามารถเอาคำว่าคนทั่วไปมาเปรียบเปรยได้!
ความสามารถของไอรีน อาจจะเกินจินตนาการของเธอไปเยอะ
“แกไปเอามาได้ยังไง?” ซูเหลยถามทันควัน สีหน้าสงสัยใคร่รู้
“มีอยู่ครั้งหนึ่งต้องแอบแทรกแซงเข้าไปทำภารกิจในห้องทดลอง ก็เลยหยิบติดมือมาด้วย ใครจะคิดว่าไอ้นี่มันคือเวอริตาเซรัม อีกนิดเดียวก็จะตายก็เพราะมันนี่แหละ” ไอรีนเอ่ยปากพูด ซูเหลยสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่…แทรกซึมเข้าห้องทดลอง….ห้องทดลองของประเทศอังกฤษเนี่ยนะ มีคนเป็นร้อยเป็นพันคอยป้องกัน ขนาดแมลงวันยังบินเข้าไปไม่ได้เลย แต่ไอรีน กลับเข้าไปง่ายดายโดยไม่มีคนรู้!
“ไม่ได้ มันแพงมากนะ ใช้มันไม่ได้หรอก” ทันใดนั้น เสียงสดใสของหลีชิงเยียนก็ดังขึ้น สำหรับเธอแล้ว แค่ตรวจสอบตัวตนของเฉินเป่ย ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวยาทดลองที่มีราคาสูงลิบลิ่วขนาดนี้
“ซูเหลยเป็นเพื่อนของฉัน เวอริตาเซรัมดูแล้วมันก็เหมือนสมบัติล้ำค่า แต่ถ้าเอาไปให้ทางการแล้ว มันจะนำพาความวุ่นวายมายังหัวเซี่ย ดังนั้นมันเลยไม่มีค่าราคาอะไร” ไอรีนยิ้มให้
“ถ้าเขามาจากต่างประเทศจริงๆ งั้นฉันจำเป็นต้องตรวจสอบให้รู้เรื่อง” สีหน้าของไอรีนเปลี่ยนเป็นเข้มงวดขึ้นแทน
รอจนหลีชิงเยียนกับคนอีกหลายคนเดินออกจากอาคารตระกูลหลี ก็เห็นว่ารถไมบัคนั้นจอดอยู่ด้านข้างถนน ฝั่งตรงข้ามด้านหน้าประตูของตัวอาคารตระกูลหลี
“สาวๆ ผมรอพวกคุณอยู่ตลอดเลยนะ…” เฉินเป่ยเอาหัวโผล่ออกมาจากกระจกรถ แล้วยิ้มให้ตอนที่พูดด้วย
“คุณนี่ปากมากจริงๆ” หลีชิงเยียนมองเฉินเป่ยตาขวาง ซูเหลยเปิดประตูรถ หลีชิงเยียนยกเท้าก้าวเข้าไปในตัวรถ นิสัยเย่อหยิ่งสูงศักดิ์ของเทพธิดานั้นต่างเป็นจุดเด่นท่ามกลางสาธารณชน จนดวงตาทุกคู่จับจ้องมาตลอด ไม่มาอยู่ที่ไหนก็ตาม เธอก็เป็นจุดเด่นอยู่เสมอ
หลังจากที่หลีชิงเยียนนั่งในตัวรถแล้ว ไอรีนกับซูเหลยก็สอดตัวเข้าไปนั่งด้านใน เฉินเป่ยเห็นภาพว่าที่นั่งด้านคนขับว่างเปล่า เลยได้แต่เบะปากให้ “ไปนั่งที่เบาะด้านหลังกันหมดไม่เบียดกันเหรอไง? ” ภายในตัวรถไมบัคนั้นถือว่ามีพื้นที่กว้างขวางมา เป็นรถเก๋งที่ภายในกว้างขวางกว่ายี่ห้ออื่น แต่การที่นั่งเบียดบนเบาะหลังสามคน ถือว่ามันเบียดไปนิด
“จะเบียดกัน ก็ยังดีซะกว่านั่งข้างคนขับแล้วถูกแต๊ะอั๋งก็แล้วกัน” หลีชิงเยียนพูดงึมงำในลำคออย่างอารมณ์ไม่ได้ แถมพูดเหน็บเฉินเป่ยไปอีกประโยค
เฉินเป่ยหมดคำพูด…. แม่ง ตนเองจะเป็นคนแบบนั้นไปได้ยังไงกัน! หลีชิงเยียนกำลังใส่ร้ายตนเองอยู่!
…………
ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น รถไมบัคก็มาจอดที่ร้านอาหารหู้ไห่อันหรูหรา คนหลายคนเดินเข้าไปในร้านอาหาร ก็เจอโต๊ะที่โทรมาจองไว้ก่อน จากนั้นก็นั่งลง
“คนที่มาไกลก็เป็นแขก แกสั่งอาหารก่อนก็แล้วกัน” หลีชิงเยียนเอาเมนูให้ไอรีน
ไอรีนยิ้มรับเอาไว้ จากนั้นก็สั่งอาหารขึ้นชื่อของเมืองมาหลายอย่าง จากนั้นก็เอาเมนูส่งคืนให้หลีชิงเยียน
หลีชิงเยียนก็สั่งอาหารมามากมายแค่แวบเดียว จนเฉินเป่ยต้องส่งเสียงเตือน “ท่านประธานหลี สั่งเยอะไปแล้วกินไม่หมด มันน่าเสียดาย”
หลีชิงเยียนเหล่ตามองแวบหนึ่ง จากนั้นก็ปิดเมนู
“พวกแกดื่มเหล้าได้ไหมเนี่ย?” ทันใดนั้น ไอรีนก็ถามขึ้น
ดวงตาของหลีชิงเยียนมองไปที่เฉินเป่ย “คุณถนัดด้านนี้ไม่ใช่เหรอ?”
“ได้นิดหน่อย” เฉินเป่ยยิ้มให้ หลีชิงเยียนพูดเสริมให้อย่างเย็นชา “ตอนนั้นที่บ้านพ่อฉัน ตอนที่คุณตบหน้าคนอื่นเสียงดัง คุณไม่เห็นพูดถ่อมตัวแบบนี้เลย”
ไอรีนเลยสั่งเบียร์เพิ่มหลายขวด เฉินเป่ยมองไปทางไอรีน ด้วยสีหน้าแปลกใจ “คุณก็ดื่มเป็นเหรอ?”
“ทำไมเหรอ?” ไอรีนยิ้มแล้วเอ่ยปากถามกลับ เฉินเป่ยยิ้มให้ “ไม่คิดว่าสาวสวย จะทำเรื่องได้สบายๆ แบบนี้”
“แค่สั่งเหล้าหน่อยเดียวแล้วทำไมเหรอ เป็นผู้หญิงแล้วดื่มไม่ได้เหรอ?” ซูเหลยส่งเสียงงึมงำในลำคอ ไอรีนได้แต่ยิ้มให้ “คุณก็ระวังตัวไว้หน่อย เพราะว่าฉันดื่มเก่งมาก”
การที่ไอรีนพูดเรื่องแบบนี้ออกมานั้นเป็นเรื่องที่ไปตามความจริง การเป็นสายลับเฉพาะกิจมืออันดับต้นๆ นั้น ในการปฏิบัติภารกิจทุกๆ ภารกิจนั้น…ต้องเอาตัวเข้าไปอยู่ในงานของฝ่ายตรงข้ามที่เสี่ยงอันตรายรอบด้าน ทุกภารกิจ ต้องการคนที่ดื่มเหล้าเก่งเป็นพื้นฐานสำคัญ
ซูเหลยเคยเห็นกับตามาแล้ว ผู้ชายกำยำล่ำสันสิบคนก็เคยถูกไอรีนมอมเหล้ามาแล้ว
สำหรับเธอแล้ว อาศัยความเก่งด้านการดื่มนั้น ก็สามารถทำให้เฉินเป่ยเมาได้ จากนั้นก็ใช้เวอริตาเซรัม มันเป็นเรื่องง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากจริงๆ
เฉินเป่ยมองไปทางไอรีน เขามั่นอกมั่นใจทำท่าสบายๆ เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรมายังไม่เคยถูกใครคนไหนมอมเหล้ามาก่อนเลย
“เรื่องดื่มเหล้ากันเดี๋ยวค่อยว่ากันที่หลัง กินข้าวกันก่อน” กับข้าวที่จัดเป็นจานอย่างงดงามเสิร์ฟลงบนโต๊ะอาหารแล้ว หลีชิงเยียนถึงได้เอ่ยปากพูดขึ้น
ไม่นาน หลีชิงเยียนก็พูดคุยกับไอรีน เฉินเป่ยที่นั่งอยู่ด้านข้างนั้น ก็คีบอาหารใส่จานให้หลีชิงเยียนอย่างเอาใจ
ตั้งแต่เริ่มกินข้าว จนถึงตอนนี้ ซูเหลยที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวอยู่นั้น แต่สายตาของเธอเอาแต่มองไปที่เฉินเป่ย เธอกำลังมองเฉินเป่ยด้วยสายตา แววตาคมกริบเชือดเฉือนนั้นมันต้องการมองตัวเฉินเป่ยให้ทะลุปรุโปร่ง
เฉินเป่ยเองก็ยังทำตัวปกติ ไม่สนใจสายตาของซูเหลยที่มองมา
สิ่งที่คนอื่นไม่เห็นก็คือ นัยน์ตาลึกๆ ของเฉินเป่ย มันมีความรู้สึกสนุกสนานเข้ามาไม่ขาดสาย….
…………
ในเวลานั้นเอง ในร้านอาหารเดียวกัน ห่างไปจากโต๊ะที่เฉินเป่ยนั่งไม่ไกลนัก ถังโหรวกับถังเต๋อก็เลือกมานั่งที่ร้านอาหารนี้อย่างบังเอิญ
เพราะว่าร้านอาหารแห่งมีชื่อเสียงมายาวนาน เป็นร้านอาหารต้นตำรับและเก่าแก่ที่สุดของเมืองหู้ไห่ ถึงทำให้หลีชิงเยียนกับถังโหรว เลือกมาทานอาหารที่นี่โดยบังเอิญ
“คุณปู่ เรากินข้าวแค่สองคนเหรอ พ่อหนูล่ะ?” ถังโหรวเอ่ยปากถาม
ถังเต๋อยิ้มให้ “พ่อแกกำลังควบคุมสถานการณ์ที่เยี่ยนจิงอยู่ ไม่สามารถปลีกตัวมาได้”
คิ้วโก่งของถังโหรวย่นเข้าหากัน “ทุกครั้งไม่ปู่ หรือพ่อก็ไม่สามารถปลีกตัวมาได้ พวกคุณสองคนไม่สามารถมาอยู่เป็นเพื่อนหนูพร้อมหน้าพร้อมตากันเลยบ้างเหรอ?”
ถังเต๋อถอนหายใจ พร้อมทั้งพูดอธิบาย “โหรวโหรว นี่เป็นความรับผิดชอบของตระกูลถัง แกต้องเรียนรู้ไว้เมื่อโตขึ้นแกจะคุ้นเคยไปเอง…”
ถังโหรวไม่อยากฟังถังเต๋อบ่น เธอเลยเบนหน้าสำรวจบริเวณโดยรอบ ทันใดนั้นสายตาก็ไปจับจ้องที่มุมห้องอาหาร
ตอนนั้นถังโหรวเป็นใบหน้าด้านข้างของเฉินเป่ย ก็ตะลึงอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็มีอารมณ์โกรธพวยพุ่งขึ้นมาปรากฏบนใบหน้า
“ดีนี่ อีตานี่บอกทางโทรศัพท์ว่าไม่มีเวลาให้ฉัน ที่แท้ก็มานั่งทานข้าวกับผู้หญิงคนอื่น” ถังโหรวกัดฟันอย่างโมโห น้ำเสียงที่พูดออกมาอย่างไม่รู้ตัว มันมีความอิจฉาริษยาปนมาด้วย
“เขามีบุญคุณกับตระกูลถังมาก แกอย่าหาเรื่อง” สีหน้าถังเต๋อเปลี่ยนไปทันที ถังโหรวเป็นหลานสาวของเขา เขาย่อมเดาได้ว่าถึงวิธีคิดที่อยู่ในใจของถังโหรว
ส่วนถังโหรวนั้นทำเหมือนมองไม่เห็นสายตาของถังเต๋อ เธอเทไวน์ลงแก้ว จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปทางเฉินเป่ย
เฉินเป่ยในเวลานี้ กำลังนั่งอยู่ข้างกายหลีชิงเยียน แถมพูดคุยกับสามสาวที่สวยสง่าทั้งสามคนอย่างสนุกสนาน
“ชิงเยียน กินอันนี้สิ คุณชอบกินอันนี้ที่สุด” เฉินเป่ยเอ่ยปากพูดอย่างอ่อนโยน แถมยังเปลี่ยนคำเรียกซะสนิทสนม พร้อมทั้งคีบเนื้อพริกไทยดำขึ้นมาชิ้นหนึ่ง แล้ววางลงบนถ้วยของหลีชิงเยียนอย่างเอาอกเอาใจ
การที่เฉินเป่ยเอาอกเอาใจมากกว่าเดิม ทำให้สีหน้าของหลีชิงเยียนดูดีกว่าก่อนหน้านี้มาก เลยยอมให้เฉินเป่ยเรียก “ชิงเยียน” เฉยๆ
“เฉินเป่ย~”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงสดใสดังขึ้นแทน แถมยังเป็นเสียงที่ดีอกดีใจดังมาจากทางด้านข้าง เฉินเป่ยหันหลังไป ก็เห็นว่าถังโหรวเดินเข้ามาหาเขา แววตาโกรธเคืองมาก
หัวใจเฉินเป่ยเต้นตึกตัก แถมมาพร้อมกับลางสังหรณ์ไม่ได้!
เฉินเป่ยได้แต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวไป ทำเหมือนว่าจะเอาใบหน้าที่โกรธอยู่มุดเข้าไปในถ้วย มุดหว่างขาแทน!
ในใจเฉินเป่ยมันกำลังรู้สึกบ้าคลั่งขึ้นมาเรื่อยๆ! นี่มันบังเอิญไปไหม! เมื่อเช้าเพิ่งปฏิเสธถังโหรวไปว่าตนเองมีเรื่องต้องทำ ที่ไหนได้กลับมานั่งกินข้าวที่ร้านอาหารเดียวกันเฉย!
เวร! ทำไมมันบังเอิญซะขนาดนี้! หลีชิงเยียนเลือกร้านอาหารอะไรไม่เลือกมาเลือกร้านนี้ได้!
เฉินเป่ยขนหัวลุก ถ้าชิงเหนียนที่หน้าตาหล่อเหลาคนนั้นมาเห็นตอนนี้ภาพที่นี่เข้า ต้องแอบยิ้มอย่างมีความสุขแน่ๆ ใครจะไปคิดว่าเฉินเป่ยก็มีวันนี้ได้ด้วย!
เป็นถึงราชาหลงที่สั่นสะเทือนทั้งวงการต่างประเทศ สามารถเดินผ่านห่ากระสุนได้ แถมยังตัวคนเดียวเข้าไปจัดการเจ้าพ่อวงการอาชญากรรมมานับไม่ถ้วน รังหลบภัยผู้ก่อการร้ายที่น่าหวาดกลัว แต่ก็ไม่อายเท่าวันนี้!
ไม่มีใครจะคิดได้ว่า ราชาหลงผู้กล้าหาญไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด แต่เพราะความบังเอิญเช่นนี้ ถึงกับมือไม้อ่อนทำตัวไม่ถูก!
“ทำไมคุณเอาแต่ก้มหน้าก้มตา?” ด้านข้าง มีเสียงเย็นชาดังชัดเข้าหู หลีชิงเยียนยังไม่รู้ว่าถังโหรวกำลังเดินมาหา เมื่อเห็นท่าทีที่เฉินเป่ยก้มหัวลง เลยขมวดคิ้วแน่น
“เอ่อ คอเคล็ด พวกคุณกินข้าวกันไปก่อน ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำ” เฉินเป่ยทำเสียงกระแอมในลำคอ แล้วก้มหน้าก้มตา ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปทางห้องน้ำ
“เฉินเป่ย ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
ทันใดนั้นนั้น ก็มีเสียวหวานดังขึ้นมา จนทำให้ใบหน้าของเฉินเป่ยนิ่งแข็งไปทันที!
ส่วนหลีชิงเยียน ไอรีนทั้งกลุ่มต่างหันไปหาตัวคนที่เดินเข้ามาหาอย่างรีบร้อน จนต้องทำหน้าสงสัยตาม
“นั่งลง” น้ำเสียงหลีชิงเยียนเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกทันที คนเฉลียวฉลาดอย่างเธอ ก็สามารถเดาเรื่องอะไรขึ้นมาได้
เฉินเป่ยได้แต่นั่งลงอย่างเชื่อฟัง หลีชิงเยียนมองไปจากคนที่เดินเข้ามา ด้วยสายตาเย็นชา
เฉินเป่ยที่นั่งด้านข้างหลีชิงเยียน ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เขาได้กลิ่นน้ำหอมดอกกล้วยไม้จางๆ ส่งกลิ่นหอมออกมาจากตัวของหลีชิงเยียน มันเป็นกลิ่นหอมเย็น…และยังมีสีหน้าที่เย็นยะเยือกดั่งป่าลึกอีกด้วย!
ถังโหรวเดินมาถึงด้านข้างโต๊ะ จากนั้นก็กวาดตามอง แถมยิ้มให้หลีชิงเยียนอย่างเยาะเย้ย “ขออภัย รบกวนแล้ว ฉันขอพูดกับคุณเฉินสักสองสามคำได้ไหม?”
“ได้” หลีชิงเยียนดังชัดเข้าโสตประสาทหู ส่วนเฉินเป่ยตาพร่ามัว! อยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา!
ถังโหรวพยักหน้าให้ แล้วมองไปทางเฉินเป่ย พร้อมทั้งพูดเสียงออดอ้อน “คุณมาอยู่ที่นี่ได้ไง?”
“ฉัน…” เฉินเป่ยอยากจะอธิบาย แต่โดนถังโหรวพูดแทรกซะก่อน “เรื่องที่คุณหมายถึง คือการมากินข้าวกับพวกเธอ เลยไม่มีเวลาให้ฉัน?”
เฉินเป่ยขนหัวลุก แม่ง…. ตนเองเพิ่งจะสร้างความทรงจำดีๆ ให้กับหลีชิงเยียนมันก็ไม่ง่ายเลยทีเดียว พอถังโหรวปรากฏตัวขึ้นมา เหมือนมันจะพังหมดท่า!
เฉินเป่ยรับรู้ได้ว่า ด้านหลังนั้นมีรัศมีความอาฆาตอันหนาวเหน็บอยู่!
“แกมันผู้ชายทุเรศ!” ถังโหรวกัดฟันพูด เบ้าตาแดง แล้วเงื้อมือขึ้น จากนั้นก็ตบหน้าเฉินเป่ยฉาดใหญ่!
เพี๊ยะ!
ตบนี้ มันทำให้เฉินเป่ยเองยังคงตะลึงตามไปด้วย!
นี่มันช่างแสดง…เหมือนหนังที่ได้รับรางวัลออสการ์เลยนะเนี่ย! แถมทำตาแดงก็ได้ด้วย!
มันคือการใส่ร้ายป้ายสี! นี่มันเป็นการจงใจใส่ร้ายป้ายสีกันชัดๆ