บทที่ 333 นี่ยังอยากจะแพ้อีกพันล้านหรอ?
พันล้าน
เป้าหมายเล็กๆ
หลีชิงเยียนทำสีหน้าที่ทำนิ่งงันทันที ภายในใจของซูเหลยก็สะดุ้งตกใจอย่างมาก แล้วหันไปมองเฉินเป่ยทันที แววตาเหลือแค่ความรู้สึกตกตะลึงอย่างไม่น่าเชื่อ
“เพี๊ยะ! ” หลีชิงเยียนที่จบมีดส้อมในมือก็ปล่อยออกทันที จนมีดส้อมตกไปอยู่ในผ้าปูโต๊ะ
นัยน์ตาคู่สวยของหลีชิงเยีนถลึงโต แล้วมองเฉินเป่ย ด้วยสีหน้าที่เคล้าด้วยความไม่น่าเชื่อ
สีหน้าของท่านประธานเทพธิดา ตอนนี้เวอร์เกินจริงเหมือนได้ยินคำพูดที่ตลกที่สุดในโลกนี้!
พันล้าน! ต่อให้หลีชิงเยียนอยู่ในบริษัทหลีกรุ๊ป ก็ต้องได้รับการช่วยเหลือจากเงินทุนก้อนโตของบริษัทหลีกรุ๊ป หากอยากจะบรรลุเป้าหมายเล็กๆ ที่พูดในปากของเฉินเป่ย ก็คงต้องทุ่มเทเป็นอย่างมาก
หลีชิงเยียนมองเฉินเป่ย สีหน้าดูนิ่งงัน จนปากแดงเชอรี่เล็กๆ นั้นอ้ากว้างๆ จนกลายเป็นรูปทรงโอ!
เฉินเป่ยทำสีหน้าที่นิ่งเฉย เหมือนไม่ได้รู้สึกละอายใจแม้แต่เพียงนิด แล้วมองหลีชิงเยียนไว้แบบนี้ พร้อมยิ้มจางๆ
เฉินเป่ยทำสีหน้าที่นิ่งเฉยเกินไปแล้ว เหมือนกำลังพูดถึงความจริงอยู่
ผ่านไปสักพัก หลีชิงเยียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วทำให้อารมณ์ของตัวเองคงที่ขึ้น นัยน์ตาคู่สวยมองเฉินเป่ยอย่างไม่คลาดสายตา แล้วยิ้มอย่างเย็นชา “หนึ่งพันล้าน นายรู้ไหมว่ามันมีแนวคิดอะไร? “”
เฉินเป่ยพยักหน้า “ดังนั้นผมเลยบอกว่าต้องเป็นเป้าหมายเล็กๆ ที่กำหนดไว้ก่อน”
“นายนึกว่านายเป็นคุณหวังหรอ? ” น้ำเสียงของหลีชิงเยียนเคล้าด้วยความเหยียดหยามเล็กน้อย…….คำพูดนี้แน่นอนว่าเธอรู้สึกคุ้นหูมาก คำพูดนี้เคยออกจากปากของเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดท่านนี้ในหัวเซี่ย คำพูดของคุณหวัง!
คุณหวัง เป็นคนที่ยืนอยู่ตรงยอดสูงสุดของหัวเซี่ย ทั้งโลกธุรกิจของหัวเซี่ย อีกทั้งยังมีความเป็นอยู่ที่เหมือนมีอยู่ในตำนาน…….เขาพูดคำพูดนี้ออกจากปาก แน่นอนว่าต้องทำให้คนรู้สึกเป็นเรื่องทั่วไป
ทว่าตอนนี้ เธอฟังคำพูดนี้ออกจากบุคคลที่สอง ไม่ใช่คนอื่น กลับเป็นเฉินเป่ย!
คุณหวังเป็นเศรษฐีเบอร์หนึ่งของหัวเซี่ย…….ส่วนเฉินเป่ย ก็แค่ลูกเขยแต่งเข้าตระกูลหลีกระจอกๆ คนหนึ่ง ไม่มีชื่อเสียงในโลกนี้…….เขาพูดคำพูดแบบนี้ออกมา หรือว่าอยากจะเอาตัวเองไปเทียบกับคุณเฉิน!
“ทำเงินหนึ่งพันล้านในงานพนัน นายฝันไปหรอ? ” หลีชิงเยียนพูดอย่างเหยียดหยาม
เฉินเป่ยนิ่งงันเล็กน้อย แล้วพูดด้วยความรื่นเริง “ชิงเยียน คุณอย่าดูถูกความสามารถของคนเกินไปสิ”
หลีชิงเยียนกระตุกปากแดงก่ำขึ้นเล็กน้อย “ฉันไม่ได้ดูถูกความสามารถของคนอื่นอยู่แล้ว ทว่าในร่างของนาย ฉันไม่เห็นความสามารถแม้แต่นิดเดียว”
เฉินเป่ยนิ่งงัน แล้วพร่ำบ่นด้วยเสียงเบา “ผมไม่ได้กระทำการ คุณจะรู้ได้ยังไงว่าผมไม่ไหว? ”
หลีชิงเยียนถูกคำพูดนี้ของเฉินเป่ยทำให้ยิ้ม ดวงตาคู่สวยมองเฉินเป่ยอย่างโมโห แล้วพูดอย่างเย็นชา “วันๆ ก็แค่พูดคำพูดเกินจริง นายเอากระทำที่แท้จริงออกมาจะดีกว่า…….มีปัญญาก็หาเงินหนึ่งพันล้านมา ถ้านายสามารถหามาได้ ฉันจะยอมให้นายจัดการเอง! ”
หลีชิงเยียนพูดคำๆ นี้ออกมา เหมือนเป็นระเบิดก้อนหนึ่ง ทำให้เฉินเป่ยกระจ่างทันที แววตาเปล่งประกาย สีหน้าดูตื่นเต้นเล็กน้อยพลางถูมือ พร้อมพูดเพื่อความแน่ใจอย่างระมัดระวัง “จริงหรอ? ท่านประธานหลีถึงเวลาก็คงไม่เสียใจภายหลังใช่ไหม? ”
หลีชิงเยียนกระแอมเสียงอย่างดูหมิ่น “ใครเสียใจภายหลังคนนี้คือหมาน้อย! ”
“งั้นก็ดี งั้นผมวางใจแล้วล่ะ” เฉินเป่ยถูมือไปมา แล้วหัวเราะเสียงดัง
หลีชิงเยียนทำสีหน้าที่แปลกประหลาด เธอมองเฉินเป่ยชั่วพริบตา ไม่เข้าใจว่าเฉินเป่ยกำลังหัวเราะอะไร…….เพราะว่าการหัวเราะตอนนี้ของเฉินเป่ย ดูท่าแล้วมันไม่ได้เจตนาดีเลย……ทำให้ร่างผอมบางของหลีชิงเยียนสั่นเทาเล็กน้อย และขนลุกไปทั่วร่าง
“นายมีความมั่นใจจริงหรอ? ” ซูเหลยที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถามอย่างสงสัย เธอมองท่าทางที่ตื่นเต้นของเฉินเป่ย ทำให้เห็นว่ามีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
หนึ่งวันสามารถหาเงินหนึ่งพันล้านในงานพนันพลอย…….แม้แต่จางเป่าเฉิงยังคิดว่ายากที่จะเสร็จสิ้นภารกิจนี้ เฉินเป่ยเอาความมั่นใจขนาดนั้นมาจากไหน?
นี่ไม่ใช่หนึ่งร้อยหนึ่งพัน…….นี่คือหนึ่งพันล้าน!
เฉินเป่ยหัวเราะเหอะๆ รอยยิ้มดูเหมือนลึกลับอย่างมาก เขาตบหน้าอก และพูดอย่างขบคิดอย่างดี “ท่านประธานหลี ท่านวางใจเถอะ ท่านสามารถเตรียมเตียงใหญ่สำหรับสองคนไว้ได้เลย”
พูดจบ เฉินเป่ยหันหลังจากไป แล้วมุ่งหน้าไปห้องนอนอย่างดีใจ
หลีชิงเยียนทำหน้านิ่งงัน เธอกับซูเหลยหันหน้าเข้าหากัน
“เมื่อครู่เขาพูดอะไรนะ? ” ผ่านไปสักพัก หลีชิงเยียนมองซูเหลยพลางเอ่ยถาม
ซูเหลยหยุดชะงักไป แล้วนึกย้อนอย่างละเอียด พร้อมพูดอย่างขะมักเขม้น “เขาบอก……ให้พวกเราเตรียมเตียงใหญ่สำหรับสองคน……”
“ไอ้โรคจิต! ” ท่านประธานเทพธิดาพูดอย่างโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ใบหน้าเย็นเยียบดั่งน้ำแข็ง นัยน์ตาคู่สวยเคร่งเครียด
ซูเหลยที่อยู่ข้างๆ ก็จับหน้าผากอย่างจนปัญญา ไอ้หมอนี่ เมื่อกี้กำลังกลั่นแกล้งท่านประธานเทพธิดา! ช่างกล้าเกินไปแล้ว!
…….
หลังจากเฉินเป่ยเพิ่งกลับมาถึงห้องนอน ประตูโรงแรม มีรถไมบัคหลายๆ คันจับมาจากที่ไกล!
ขบวนรถนั้น มองจากไกลๆ กลับเป็นไมบัคสีเดียวกันทั้งหมด ทุกๆ คันที่อยู่ในขบวน ต่างก็เป็นไมบัครุ่นเอส
ไมบัคแต่ละคนรวมตัวกันกลายเป็นขบวนรถ แล้วกำลังขับมาอย่างโอหัง!
เป็นรถที่โอหังและทรงพลังอย่างมาก ทำเอารถบนถนนต่างต้องหลีกทาง! มีคนขับมากมายเต็มใจหลีกทางอย่างมาก ไม่มีใครอยากจะมีเรื่องกับขบวนรถหรูพวกนี้!
หากสามารถมีขบวนรถแบบนี้ ต้องรวยมาก…….ตระกูลร่ำรวยทั่วไปต้องไม่มีสิทธิ์ มีเพียงตระกูลชั้นสูงพวกนั้น ถึงจะมีปัญญาทำได้!
แค่คนขับที่สามารถมองออกถึงยี่ห้อของรถพวกนี้ ไม่มีคันไหนที่กล้าขวางทาง! มีคนขับมากมายที่กำลังรอไฟเขียว แล้วมองกระจกหลัง ก็มองรถไมบัคแต่ละคันอย่างระมัดระวังตัว หัวใจเต้นแรง!
นี่ต้องเป็นเทพองค์หนึ่งแน่นอน! เป็นคนที่ไม่สามารถสร้างเรื่องบาดหมางด้วย!
รถไมบัคแต่ละคันขับผ่านไป ต่อให้ด้านหน้ามีตำรวจจราจร และเป็นไฟแดง ก็ยังไม่ทำให้พวกเขาชะลอความเร็วลงแม้แต่น้อย!
ตรงถนนมีตำรวจจราจรคนหนึ่งกำลังดูแลการจราจรอยู่ พอเห็นรถไมบัคแต่ละคันจับผ่านไป สีหน้าเปลี่ยนไปมาก!
เขาจึงเป่านกหวีดอย่างไม่ลังเล ทว่ารถไมบัคขบวนนั้น ได้ยินเสียงนกหวีด ไม่ได้ลดความเร็ว กลับยังเพิ่มความเร็วแล้วขับผ่านไป!
ตำรวจจราจรทำสีหน้าที่เคร่งขรึม นี่มันแหกกฎจราจรอย่างหนัก!
ไม่เพียงแต่ฝ่าไฟแดง อีกทั้งยังเกินความเร็วอย่างรุนแรง!
และตอนที่ตำรวจจราจรกำลังจะถ่ายท้ายทะเบียนไว้ จู่ๆ ก็มีรถไมบัคขับผ่านโดยเร็วอีกคัน แล้วกำลังทำให้เกิดเสียงคำรามอย่างบ้าบิ่น ทำให้มือถือของเขาลอยไปกับสายลม แล้วตกลงบนพื้นอย่างแรง! จากนั้นก็แตกกระจาย!
สีหน้าของตำรวจจราจรเปลี่ยนไป สองมือของเขาจับมือถือขึ้นอย่างสั่นเทา แล้วมองขบวนรถไมบัคขับผ่านไปไกลๆ ทันใดนั้นในหัวสมองจึงมีคำเตือนที่ตำรวจจราจรเก่าแก่เคยบอกด้วยเสียงตระหนักผุดขึ้นมา ‘เยี่ยนจิงไม่เหมือนเมืองอื่น……คนบางคน เกิดมา ก็กดขี่อยู่เหนือกฎหมาย’
พวกเขา และตนเอง เป็นคนที่อยู่คนละโลก!
…….
และตอนนี้ ในไมบัคที่อยู่ข้างหน้าสุด ท่านผู้อาวุโสไท่ซ่างและอวี้ย้งเซวียนกำลังนั่งอยู่เบาะหลัง อวี้ย้งเซวียนยื่นซิการ์หนึ่งมวนให้ท่านผู้อาวุโสไท่ซ่างด้วยความเคารพ แล้วพูดขึ้น “ท่านผู้อาวุโส นี่เป็นซิการ์จากฝั่งตะวันตก ท่านลองดู”
ท่านผู้อาวุโสไท่ซ่างกำลังหลับตาพักผ่อน หลังจากได้ยินคำพูดของอวี้ย้งเซวียน จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วกวาดสายตามองไป ก็เอ่ยถามอย่างช้าๆ “ของๆ ชาวฝั่งตะวันตก ดีขนาดนั้นเลยหรอ แม้แต่บุหรี่ ก็ยังต้องสูบของฝั่งตะวันตก? ”
อวี้ย้งเซวียนหยุดชะงัก แล้วรีบเก็บซิการ์
ท่านผู้อาวุโสไท่ซ่างกระแอมเสียงอย่างเย็นชา น้ำเสียงเคร่งขรึมและลุ่มลึก “ฉันไม่ชินกับการสูบซิการ์อะไรพวกนั้น ยังไงก็เคยชินกับของเล่นที่บรรพบุรุษตกทอดกันมา”
ท่านผู้อาวุโสไท่ซ่างพูดไป ก็เอาท่อสูบบุหรี่ออกมาจากแขนเสื้อชุดคลุม แล้วสูบหนึ่งคำ จึงมีควันบุหรี่สีดำเหมือนดั่งหมอกควันลอยออกจากปากของท่านผู้อาวุโสไท่ซ่าง ทำให้อากาศในรถเคล้าด้วยกลิ่นอันหอมกรุ่น พอได้สูดลมหนึ่งที ก็สามารถทำให้คนจิตผ่อนคลาย
อวี้ย้งเซวียนทำสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย แล้วมองสายตาของท่านผู้อาวุโสไท่ซ่าด้วยความเคารพมากขึ้น “ท่านผู้อาวุโส ท่อบุหรี่นี้ของท่าน ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ”
ท่านผู้อาวุโสไท่ซ่างเหลือบตามองอวี้ย้งเซวียน แล้วมองอวี้ย้งเซวียนอย่างตั้งใจไปสักพัก พลางพยักหน้าและพูดอย่างช้าๆ “การสืบทอดของตระกูลอวี้ยังถือว่าไม่เลว และคู่ควรกับภายในตระกูลต่างก็พูดว่า คนที่อยู่ในรุ่นเดียวกัน นายถือว่าดีเด่นกว่า”
นัยน์ตาของอวี้หรงเซวียนจับจ้องไปยังร่างของท่านผู้อาวุโสไท่ซ่าง และพูดอย่างช้าๆ “ใช้หยกและพลอยมาทำเป็นท่อสูบบุหรี่ ฟุ่มเฟือยถึงขั้นนี้ ผมยังเคยเห็นเป็นครั้งแรก”
ท่านผู้อาวุโสไท่ซ่างทำสีหน้าที่ผ่อนคลาย “ว่าไปแล้ว ท่อสูบบุหรี่ยังเป็นหัวหน้าครอบครัวในตอนนั้นทำให้ฉัน เขารู้ว่าฉันชอบแบบนี้ จึงได้ไปตามหาหยกใต้หล้า แล้วใช้อันคุณภาพดีที่สุดมาทำเป็นท่อสูบบุหรี่นี้ให้ฉัน แล้วรวมไปถึงฉันได้รับการเลี้ยงดูอย่างอบอุ่นมาหลายปีนี้ ท่อสูบบุหรี่อันนี้ วันนี้มีมูลค่ามหาศาล ก็ถือว่าไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยสักนิด”
จู่ๆ อวี้ย้งเซวียนก็มีทักษะการสังเกตที่เฉียบคม ทำให้เขาเห็นถึงรอยแตกที่จางจนยากที่จะสังเกตเห็นบนท่อสูบบุหรี่ หากไม่ใช่เพราะว่าเขาสังเกตมองอย่างใกล้ชิด ก็คงยากที่จะเห็นถึงรอยแตกนี้
ท่านผู้อาวุโสไท่ซ่างเหมือนสังเกตเห็นถึงนัยน์ตาของอวี้ย้งเซวียนเปลี่ยนไป แล้วพูดขึ้น “ท่อสูบบุหรี่นี้ฉันใช้มาหลายปีอย่างระมัดระวัง มีแค่ครั้งเดียว ที่ทำให้มันได้รับบาดเจ็บ”
“ท่านผู้อาวุโสไท่ซ่างพูดถึงหรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น? ” อวี้ย้งเซวียนเอ่ยถาม
“จริงๆ แล้วธรรมดามาก ฉันกลับอู่ตังแล้วได้แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันกับลูกศิษย์ในนั้นคนหนึ่ง ไม่สามารถจัดการกับกำลังของเขาได้ ท่อบุหรี่จึงถูกกระแทกจนทำให้มีรอยแตก” ท่านผู้อาวุโสไท่ซ่างค่อยๆ พูดขึ้น
“ท่านผู้อาวุโส ท่านก็เป็นลูกศิษย์ของอู่ตัง?! ” อวี้ย้งเซวียนทำสีหน้าที่เปลี่ยนไปมาก เขาที่มีความละเอียดอ่อน แทบจะสามารถจับช่องโหว่ของท่านผู้อาวุโสไท่ซ่างระหว่างที่พูด แล้วได้สังเกตเห็นถึงอะไรอย่างลับๆ
ท่านผู้อาวุโสไท่ซ่างพยักหน้า แล้วมองอวี้ย้งเซวียนอย่างลุ่มลึก พลางพูด “เรื่องนี้ฉันไม่เคยพูดกับใคร”
อวี้ย้งเซวียนหัวใจเต้นแรง เขาสังเกตเห็นสีหน้าอันลุ่มลึกของท่านผู้อาวุโสไท่ซ่าง แล้วคาดออกว่าเขาอยากพูดอะไร
ท่านผู้อาวุโสไท่ซ่างมองอวี้ย้งเซวียน แล้วพูดอย่างเรียบเฉย “ฉันเป็นลูกศิษย์นอกสำนักของอู่ตังจริง ตอนนั้นก็ต้องเผชิญหน้ากับตระกูลศัตรู เลยถูกตระกูลอวี้ช่วยไว้”
อวี้ย้งเซวียนสะดุ้งตกใจ เรือนร่างสั่นอย่างแรง! ท่านผู้อาวุโสไท่ซ่าง กลับเป็นศิษย์ของในตำนานจงเหมิน?! ท่านผู้อาวุโสไท่ซ่างที่ลึกลับจนมิอาจคาดเดา กลับมีฐานะแบบรี้ด้วย!
ผ่านไปสักพักอวี้ย้งเซวียนถึงจะหายตกใจ แล้วถูกความรู้สึกตื่นเต้นแทนที่ อวี้ย้งเซวียนถามอย่างใจร้อน “ท่านผู้อาวุโส งั้นท่านก็เป็นวิชาลับแห่งอู่ตังสิ? ”
ท่านผู้อาวุโสไท่ซ่างแสยะยิ้มเสียงเบา “วิชาลับแห่งอู่ตัง?นายนึกว่าจะได้มาง่ายขนาดนี้หรอ? วิชาลับนี้แม้แต่ศิษย์ในสำนักก็ยังต้องขึ้นอยู่กับโอกาสและบุญวาสนาถึงจะได้รับมันมา……ฉันแค่เป็นแบบพื้นฐานเท่านั้น
ยังไม่รอให้อวี้ย้งเซวียนพูด ท่านผู้อาวุโสไท่ซ่างก็เอาท่อสูบบุหรี่ออกมา แล้วเปิดประตูรถ นอกประตูรถมีเสียงร้องคำรามอย่างบ้าบิ่นส่งเข้ามา จึงเป่าควันอ่อนๆ ในโลกจนสะอาด…….ท่านผู้อาวุโสไท่ซ่างพูดเป็นคำๆ ไป “ถึงแม้ฉันจะไม่เป็นวิชาลับของอู่ตัง ทว่าสิ่งที่อยากได้ ก็คือลอบฆ่าเฉินเป่ยคนนั้นซะ แล้วน่าจะไม่มีปัญหาอะไร”