บทที่483 เยี่ยนจิงเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!
ด้านนอกโรงแรม ข้างรถยนต์แต่ละคันที่จอดอยู่ตรงข้ามถนน ลูกน้องของหู้และจิงต่างมารวมตัวอยู่ด้วยกัน พวกเขาที่ว่างไม่มีอะไรทำ กำลังคุยโวโอ้อวดกันคนละประโยคสองประโยค
“พวกนายคิดว่าหลังศึกดุเดือดครั้งนี้ ใครจะได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุด?”
“เป็นท่านจิงของพวกฉันอยู่แล้ว”
“จะเป็นจิงไปได้ยังไง ความสามารถของเจ้านายพวกฉันยากแท้หยั่งถึง ว่ากันว่าถึงปัจจุบันนี้ ยังไม่มีใครทำให้เขาแสดงความสามารถทั้งหมดออกมาได้” ลูกน้องอีกคนหนึ่งพูดขึ้น
ลูกน้องพวกนี้กำลังพูดกันมาแบบไม่ยอมให้กันเลย ทันใดนั้น ลูกน้องคนหนึ่งมองทางหน้าประตูโรงแรม สีหน้าตื่นเต้น ชี้ไปยังทิศทางของโรงแรมตะโกนว่า “พวกนายรีบดู!”
ลูกน้องแต่ละคนค่อยๆ มองไป ชั่วขณะนั้น พวกเขาแต่ละคนต่างเบิกดวงตาโตขึ้น
“ภาพเงาสองคนนั้นคือ……”
“ฉันไม่ได้มองผิดไปใช่มั้ย? หรือว่านั่นคือเจ้านายสองท่านนั้น?”
ภายใต้ฉากที่ปกคลุมด้วยฉากยามค่ำคืนที่มืดดำลุ่มลึก ภาพเงาสองคนกำลังประคองกันและกันไว้ รีบร้อนหนีออกมาจากในโรงแรมอย่างกระเซอะกระเซิง
เพราะฟ้ามืดเกินไป เดิมทีลูกน้องเหล่านี้มองหน้าของพวกเขาไม่ชัด พวกเขาได้แต่ดูผ่านรูปร่างที่ไม่ชัด เดาได้เลือนรางว่านั่นคือจิงและหู้เจ้านายทั้งสองคน
ตอนที่ภาพเงาสองคนนั้นวิ่งเข้ามา พวกเขาถึงจำกันได้ พุ่งเข้าไปทางหู้และจิงแบบสั่นเทาไปทั่วตัว
“เจ้านายครับ ท่านไม่เป็นอะไรนะครับ?”
ลูกน้องนับไม่ถ้วนกรูกันเข้ามา แต่ละคนล้อมอยู่ด้านข้างของหู้และจิง ส่วนตอนที่พวกเขามองเห็นท่าทางของจิงและหู้ ในใจยิ่งเกิดคลื่นโหมซัดสาดขึ้น
จิงและหู้ไม่ได้มีลักษณะที่สง่างามและหยิ่งยโสแบบก่อนหน้าที่พวกเขายังไม่ได้เข้าโรงแรม พวกเขาในเวลานี้ดูขึ้นมายังกระเซอะกระเซิงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ทั้งสองอยู่ภายใต้การประคองของลูกน้องแต่ละคน จากนั้นเข้าไปนั่งในรถหรูแล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบลูกน้องเหล่านั้นไม่กล้าหายใจกันแรงทั้งนั้น
เพราะท่าทางของจิงและหู้ในเวลานี้ช่างน่าสยดสยองเหลือเกิน จิงหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ ความล้ำลึกในดวงตาอันตรธานหายไปหมด เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อที่ไร้ขอบเขต
ส่วนหู้ที่ถูกลูกน้องพยุงเข้าในรถ เวลานี้เขาดูขึ้นมาย่ำแย่ยิ่งกว่าจิง เอ็นแขนข้างซ้ายของหู้ถูกมีดตัดขาด ทั้งแขนถือว่าใช้การไม่ได้ถึงที่สุด และเขานั่งบนเบาะหลังในรถหรู ทั้งตัวคือเลือด ริมฝีปากกำลังสั่นเทา ในดวงตาเปล่งประกายความหวาดกลัวขั้นสุดและตื่นตกใจอย่างไร้ขอบเขต
“เจ้านายครับ พวกเราจะออกไปกันตอนนี้เลยหรือเปล่าครับ?” ในรถของจิง ลูกน้องที่ขับรถคนนั้นหันหน้ามาสอบถาม
“ไป รีบเข้า ยิ่งเร็วยิ่งดี รีบออกไปจากที่นี่ทันที!” จิงเอ่ยปากไม่ลังเลสักนิดเดียว เขาที่แต่ไหนแต่ไรหนักแน่นสงบนิ่ง เวลานี้เสียการควบคุมโดยสิ้นเชิง ราวกับเป็นคนบ้าไปแล้ว
จิงไม่มีทางยอมรับทุกอย่างที่เห็นมากับตาเมื่อสักครู่นี้และความพ่ายแพ้ได้ ตอนนี้เขาทำได้เพียงหนีไปจากพื้นที่ขัดแย้งแห่งนี้ สถานที่แห่งนี้สยองขวัญยิ่งกว่านรกเสียอีก
“บรื้น!”
รถหรูแต่ละคันที่จอดอยู่ข้างถนนยาวเหยียด ภายใต้การเร่งเร้าของจิงและหู้ ลูกน้องหลายคนรีบร้อนสตาร์ทรถ เครื่องยนต์ส่งเสียงคำรามกระหึ่ม โดยสารหู้และจิง ขับแล่นออกไปยังที่ห่างไกล
……
หลังจากหู้และจิงทั้งสองคนจากไป ซูเหลยที่มองเห็นทั้งกระบวนการมากับตาตนเองตั้งแต่ต้นจนจบ ในที่สุดก็โล่งอกไปทีหนึ่ง ในที่สุดโรงแรมก็กลับคืนสู่ความเงียบงันอีกครั้ง
ซูเหลยพิงอยู่ที่กำแพง หายใจแรงเมื่อก่อนหน้านี้ หล่อนในเวลานี้ในใจยังกำลังสั่นเทาอย่างบ้าคลั่ง หล่อนไม่มีทางจินตนาการได้โดยสิ้นเชิง จิงเจ้านายใหญ่ผู้มีตัวตนประเภทนั้น ทั้งสองคนร่วมมือกัน คาดไม่ถึงไม่มีทางตีเฉินเป่ยให้แพ้ได้
พวกเขายิ่งจะโดนเฉินเป่ยสังหารอย่างฉับไวในทีเดียว
สุดท้ายเฉินเป่ยระเบิดออกในวินาทีนั้น แม้แต่ซูเหลยที่จ้องมองอยู่ระยะไกล หัวใจยังเหมือนจะหยุดเต้นลงเลย
นั่นคือพลังระดับไหนกัน พลังแบบนั้น…เหมือนสามารถทำลายล้างทุกอย่างได้
สรุปแล้วเฉินเป่ยมีความแข็งแกร่งแค่ไหนกัน?
ซูเหลยหวาดกลัวเสียเหลือเกิน หนังศีรษะชา
อย่างไรเสียหล่อนก็คิดไม่ถึงว่าการมีตัวตนที่สยดสยองแบบนี้ คาดไม่ถึงจะอยู่ข้างกายตนเอง และอยู่มานานขนาดนั้นด้วย ตนเองไม่รู้เรื่องอะไรเลย
แม้กระทั่งตอนที่พึ่งรู้จัก ตนเองยังเยาะเย้ยไปยกหนึ่ง และอยากจะค้นหาสถานะของเฉินเป่ยจนคิดหนักมากแบบนับครั้งไม่ถ้วน
ผลปรากกว่าตอนนี้ล่ะ? ซูเหลยรู้ตัวตนของเฉินเป่ยแล้ว กลับหัวเราะอย่างขมขื่นไม่หยุด ตนเองช่างโง่เหลือเกิน ดันตรวจสอบราชาหลง เห็นได้ชัดว่าตนเองน่าตลกสิ้นดี
สีหน้าของซูเหลยซีดเผือด จนมาถึงทุกวันนี้ หล่อนถึงรับรู้ถึงความสามารถสยองขวัญของเฉินเป่ยอย่างแท้จริง ความสามารถแบบนี้ เพียงเฉินเป่ยถือโอกาสแสดงออกมา พอจะทำให้ซูเหลยหวาดกลัวมากได้เลย หัวใจสั่นเทาแบบควบคุมไม่อยู่ทั้งนั้น
หล่อนยากจะจินตนาการได้ นี่เป็นพลังที่มนุษย์คนหนึ่งสำแดงออกมาได้อย่างคาดไม่ถึง
ลมหายใจของซูเหลยเร่งถี่ ตอนที่หล่อนคิดว่าต่อไปจะเผชิญหน้ากับเฉินเป่ยอย่างไรดี ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหน้าของหล่อน “ฉันไม่ใช่ให้เธอคุ้มครองชิงเยียนเหรอ เธออยู่ที่นี่ แล้วชิงเยียนจะทำยังไง?”
ตอนที่ซูเหลยได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนั้น ในใจสั่นรุนแรงกะทันหัน ร่างกายซูเหลยสั่นเทิ้ม หล่อนค่อยๆ เงยหน้า แวบหนึ่งมองเห็นเฉินเป่ยเล่นมีดหลงหยาที่อยู่ในมือ กำลังมองหล่อนแบบมีความสนใจ
“ฉัน……” ซูเหลยอ้าปากกว้าง แต่หล่อนพบเข้าทันใดว่าบนตัวของเฉินเป่ยเวลานี้มีออร่าที่น่าประหลาดใจไร้รูปร่างแบบหนึ่ง ออร่าที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรนี้ ทำให้หล่อนพูดไม่ออกเลยทีเดียว
ซูเหลยอ้าปากค้าง เหมือนว่าสายตาที่ล้ำลึกของเฉินเป่ยรู้ว่าซูเหลยอยากพูดอะไร จึงพูดนิ่งๆ “ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อกี้เธอมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น รีบไปหาชิงเยียน ออกไปจากที่นี่ ยิ่งไกลยิ่งดี หาโรงแรมสักที่หนึ่งเข้าพัก”
เฉินเป่ยพูดจบ หมุนตัวเดินไปทางด้านนอกโรงแรม
ซูเหลยสีหน้าไม่เข้าใจ ทั้งที่เฉินเป่ยไล่จิงและหู้ออกไปแล้ว ทำไมยังต้องให้พวกเธอออกไปด้วย?
ซูเหลยมองทางเฉินเป่ย ความสงสัยในใจยากสงบ ถือโอกาสถามเสียงดังไปทางเฉินเป่ย “ทำไม?”
“เพราะที่นี่……ไม่นานจะถูกทำลายราบเรียบ” เฉินเป่ยทิ้งประโยคหนึ่งไว้แบบเรียบนิ่ง ตอนที่ซูเหลยลุกขึ้นมาจะไปหาเขาอีกครั้ง กลับไม่เห็นแม้แต่ภาพเงาของเฉินเป่ยแล้ว
ส่วนซูเหลยก็จมสู่ภายในความตื่นตกใจของคำพูดเมื่อสักครู่นั้นของเฉินเป่ย
ที่นี่จะโดนทำลายราบเรียบ สรุปหมายความว่าอะไร? เดี๋ยวที่นี่จะเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?
ซูเหลยสีหน้าซับซ้อน ในใจดิ้นรนอยู่ตั้งนานถึงตอบสนองเข้ามา หายใจออกทีหนึ่ง ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน วิ่งเหยาะๆ ไปยังภายในโรงแรม
หล่อนไม่รู้ว่าคำพูดที่เฉินเป่ยพูดเมื่อสักครู่นั้นหมายความว่าอะไร แต่หล่อนไม่สงสัยความเป็นจริงในคำพูดพวกนั้นของเฉินเป่ยเลยแม้แต่น้อย
……
ด้านนอกโรงแรม รถยนต์แต่ละคันหัวจรดท้ายตามกันติดๆ ขับไปยังปลายถนนด้วยความเร็วสูง
จนกระทั่งรถยนต์พวกนี้ขับเข้าสู่สนามบิน ถึงจอดลงที่หน้าประตูสนามบิน
“เจ้านายครับ ถึงแล้วครับ”
จิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “พาหู้มาที่ในรถของฉัน”
ไม่นานนักหู้ก็มุดเข้ามาในห้องโดยสารของรถหรูที่ผ่านการปรับปรุงคันนั้นของจิงด้วยความยากลำบากภายใต้การประคองของลูกน้องหลายคน
จิงพิงอยู่บนเบาะที่เป็นโซฟาหนังแท้นั้น พ่นหายใจหยาบ หัวคิ้วเต้นไม่หยุด เหมือนกำลังฝืนกลั้นความเจ็บปวดไว้
“แขนข้างนี้ของนาย เอ็นโดนเขาตัดขาดแล้ว เขาจงใจอยากจะทำให้นายพิการ” เวลานี้ถึงพูดว่าจิงไม่ได้แขนขาดแบบหู้ แต่ก็ไม่สบายเอามากๆ กระเซอะกระเซิงสุดจะทน
“มีอะไรก็รีบพูด ไม่ต้องไร้สาระ” หู้มองจิงแวบหนึ่ง พูดเสียงเย็นเฉียบ ถึงแม้อยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น หู้ยังคงไม่ได้ยอมแพ้สักครึ่งหนึ่งแบบจิง
“แผนเอล้มเหลวแล้ว นายคิดว่าฉันไม่ได้เตรียมแผนบีเอาไว้เหรอ?” มุมปากจิงวาดรอยยิ้มหนาวเย็นที่โหดร้ายคลุ้มคลั่งขึ้น
หู้สีหน้าฝืดค้าง มองทางจิงแล้วพูดว่า “นายหมายความว่าจะใช้พวกเขา…….”
จิงพยักหน้าแล้ว “ไม่ผิด ก่อนหน้านี้เปลืองแรงไปมากขนาดนั้น รวมพลกำลังทหารก็เพื่อเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าเมื่อพวกเราพ่ายแพ้ คิดไม่ถึงว่ายังได้ใช้แผนบีจริงๆ ด้วย” จิงค่อยๆ เอ่ยปาก น้ำเสียงเผยความหมายเย็นยะเยือกที่น่าประหลาดใจ
“งั้นก็บังคับใช้ได้เลย ฉันอยากให้โรงแรมแห่งนี้ฝังศพเขาไว้ กลายเป็นสุสานของเขา!” หู้เอ่ยปากเสียงเย็นเฉียบ ดุจเสียงที่มาจากนรก
จิงหัวเราะเย็นยะเยือก หยิบโทรศัพท์ดาวเทียมเครื่องหนึ่งขึ้นมาจากด้านข้าง กดปุ่มเข้ารหัสลงไป เข้าสู่สายสื่อสารที่เข้ารหัสแล้ว
ไม่นานเท่าไรมีเสียงของชายวัยกลางคนดังขึ้นจากโทรศัพท์ในสายนั้น น้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ทำให้จิงยิ่งเพิ่มความมั่นใจขึ้นหลายระดับ
“รีบเข้าเมืองจิง เป้าหมายLowell Grand Hotel ฉันไม่อยากเห็นสิ่งก่อสร้างใดๆ อีกหลังจากครึ่งชั่วโมงนี้ ฆ่าสิ่งมีชีวิตทุกอย่างในโรงแรมทิ้งให้หมด จุดสำคัญอยู่ที่ผู้ชายคนหนึ่งในนั้น!”
จิงสั่งการแบบรวบรัด หลังจากวางสายโทรศัพท์ จิงมองทางหู้ พูดช้าๆ “กลับไปรักษาแผลเถอะ ต่อไปนี้พวกเราได้แต่รอข่าวดีเท่านั้นก็พอ”
“นายมีความมั่นใจในกองทหารของนายขนาดนั้นเชียว?” หู้ยักคิ้ว
จิงค่อยๆ หัวเราะ “ตอนแรกทีมนี้เกือบจะทำให้เขาไม่สามารถมีชีวิตออกไปจากหัวเซี่ยได้ ครั้งนี้คนที่นำทีมเป็นเพื่อนเก่าคนหนึ่งของเขา ทำไมฉันจะมั่นใจในตัวเขาเต็มที่ไม่ได้?”
“เพียงแต่ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นที่เขาต้องตายในน้ำมือเพื่อนเก่าของตัวเอง ในใจจะมีความคิดยังไง”
“ไปเถอะ” หู้ดับก้นบุหรี่ทิ้ง สีหน้าเย็นยะเยือกดุจน้ำค้างแข็ง บนหน้ายังเต็มไปด้วยความหมายที่อาฆาตแค้น
ไม่นานเขาจะได้รับข่าวการตายของเฉินเป่ย นี่ทำให้ในใจของหู้เบิกบานไม่น้อย
เวลานี้ ด้านนอกเมืองเยี่ยนจิง หลังจากที่จิงโทรศัพท์เข้ามา มีรถถังนำทหารซึ่งรวมตัวกันเป็นกำลังที่เข้มแข็ง เคลื่อนพลมาทางเยี่ยนจิงอย่างโมโหเดือดดาล
นี่คือกองทหารแข็งแกร่งกลุ่มหนึ่ง พวกเขาเพียงแค่ไปสังหารเฉินเป่ยเท่านั้น