บทที่531 เสียงเอะอะโวยวาย!
เฉินเป่ยมองหวาหย่าหรุ่ย เอ่ยปากถามอย่างสนใจ “เธอพึ่งอายุเท่าไรเอง ใช้น้ำเสียงก้าวร้าวขนาดนี้ พ่อเธอรู้มั้ย?”
“นี่เป็นเรื่องครอบครัวของพวกฉัน นายทำหน้าที่งานของตัวเองให้ดีก็พอแล้ว” หวาหย่าหรุ่ยตอบไปอย่างหมดความอดทน
เฉินเป่ยหัวเราะแบบเล่นแง่ เหมือนไม่ได้โกรธเคืองสักนิด ขับรถของตนเองต่อไป
ไม่นานรถยนต์จอดอยู่หน้าประตูของบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป เฉินเป่ยและหวาหย่าหรุ่ยพึ่งลงรถ มองเห็นหลีชิงเยียนเดินออกจากบริษัทมาต้อนรับหวาหย่าหรุ่ยด้วยความกระตือรือร้น
“คุณหวา คุณมาที่บริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปของพวกเราได้ เป็นเกียรติของบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปจังเลยค่ะ” หลีชิงเยียนแต่งตัวชุดกระโปรงสูทเป็นทางการ ขับรูปร่างที่เซ็กซี่สมบูรณ์แบบ และไม่มีที่ตำหนิของเธอนั้นออกมาได้ชัดเจน
“ฉันแค่รับปากคำขอของคุณพ่อฉันมาค่ะ เลยถือโอกาสมาขอโทษคุณสำหรับเมื่อคืนที่เกิดเรื่องไม่ดี หวังว่าคุณจะไม่เอาไปใส่ใจนะคะ” ตอนที่หวาหย่าหรุ่ยอยู่ต่อหน้าเฉินเป่ยอย่างกับเป็นเจ้าหญิง แต่พออยู่ต่อหน้าหลีชิงเยียน ชั่วขณะนั้นเก็บอาการอยู่มาก สุภาพเรียบร้อย อ่อนโยนมีเสน่ห์
จากบนตัวของหล่อน คาดไม่ถึงจะปล่อยกิริยาท่าทางงดงามน่าหลงใหลที่ไม่แพ้หลีชิงเยียนออกมา
นี่อดทำให้เฉินเป่ยมองเพิ่มมากขึ้นไม่ได้ สาวงามที่มีบุคลิกภาพดีขนาดนี้ เห็นไม่มากแล้วจริงๆ
และตอนที่สายตาของเฉินเป่ยย้ายออกจากตัวหวาหย่าหรุ่ยไม่ได้ ทันใดนั้นกลับถูกหลีชิงเยียนสังเกตเจอเข้าให้
“มองพอรึยัง?” หลีชิงเยียนมองกลับไปอย่างเย็นชา
ระหว่างผู้หญิงกับผู้หญิง แต่ไหนแต่ไรมักจะมีความคิดอิจฉา โดยเฉพาะระหว่างผู้หญิงสวยงามเช่นนี้ หลีชิงเยียนย่อมไม่อนุญาตให้ดวงตาของเฉินเป่ยมองมั่วไปทั่วเป็นธรรมดา นี่ทำให้ภายในใจเธอไม่สบายเอามากๆ
เฉินเป่ยโดนหลีชิงเยียนจับการกระทำไว้ได้ จึงหัวเราะกระอักกระอ่วน
หวาหย่าหรุ่ยจ้องเฉินเป่ยด้วยแววตาสงสัย…แต่งตัวด้วยสูทที่มอมแมมสุดจะทน ผมเผ้ายุ่งเหยิง…ในปากคาบบุหรี่อย่างกำเริบเสิบสาน หน้าตาเล่นแง่เต็มที่ เหมือนกับพวกนักเลงข้างถนนอย่างยิ่ง…แต่คาดไม่ถึงเขาสามารถทำให้หลีชิงเยียนมีปฏิกิริยาหนักขนาดนี้…สองคนนี้ เหมือนว่ายังน่าสนใจอยู่มากล่ะ?
“คุณหวา เชิญตามฉันมาค่ะ” หลีชิงเยียนพูดจบ จึงหมุนตัวใส่รองเท้าส้นสูงเดินไปด้านในอย่างสง่าผ่าเผย
เฉินเป่ยสังเกตเห็นสายตาของหวาหย่าหรุ่ยสาวสวยอายุน้อยแล้ว เขาขยิบตาไปให้หวาหย่าหรุ่ย พูดหยอกล้อ “คนสวย พี่หล่อรึเปล่า?”
หวาหย่าหรุ่ยมองค้อนตอบเขาไป สายตานั้นดูรังเกียจมากแค่ไหนก็รังเกียจมากแค่นั้น
เห็นว่าสาวสวยที่มีชีวิตชีวาคนนี้รังเกียจตนเองเช่นนี้ เฉินเป่ยนั่นเรียกว่ากลัดกลุ้มไปเลย “ฉันถามหน่อยคนสวย…ทำไมเธอใช้สายตาแบบนี้มองฉัน? ฉันแย่มากเลยเหรอ?”
หวาหย่าหรุ่ยขมวดคิ้วนิดหน่อย พยักหน้าอย่างจริงจังแล้ว
เฉินเป่ยยิ่งหมดคำจะพูดไปอีก เหยดเข้ นานๆ จะเจอสาวงามสักคน คาดไม่ถึงโดนหล่อนรังเกียจเช่นนี้…
……
หลังเฉินเป่ยกลับมาถึงห้องทำงาน หลีชิงเยียนก็ไม่ให้เขาเข้าห้องทำงาน ตัดขาดเขาอยู่ด้านนอกห้องทำงานแล้ว และดึงผ้าม่านปิดอีก เหมือนว่าจงใจไม่ให้เฉินเป่ยไปมองหวาหย่าหรุ่ย
“นี่แม่ง…คงไม่ได้หึงแล้วล่ะมั้ง……” ในใจเฉินเป่ยบ่นพึมพำ
จนกระทั่งถึงช่วงพลบค่ำ เฉินเป่ยที่ว่างไม่มีอะไรทำถึงโดนหลีชิงเยียนตามตัวไป หลีชิงเยียนพาหวาหย่าหรุ่ยเดินมาถึงด้านหน้าเฉินเป่ย พูดกำชับ “ส่งคุณหวากลับบ้าน ขับรถระวังด้วย อย่าให้เกิดเรื่องอะไร”
เฉินเป่ยมองทางใบหน้างดงามที่เพริศพริ้งราวกับเจียระไนมาของหลีชิงเยียน รีบพยักหน้าไม่เลิก “ได้เลยครับ ประธานหลีคุณสบายใจได้เลย”
บนถนน รถยนต์ขับด้วยความเร็ว หวาหย่าหรุ่ยที่นั่งเบาะหลังเอ่ยปากถามกะทันหัน “นายกับประธานหลี สรุปมีความเกี่ยวข้องอะไรกัน?”
เฉินเป่ยเงยหน้า หลังมองที่หวาหย่าหรุ่ยผ่านกระจกหลัง หวาหย่าหรุ่ยพูดว่า “สัมผัสที่หกของฉันแม่นมาก นายกับประธานหลีคิดว่าต้องไม่ธรรมดาเด็ดขาด สายตาที่หล่อนมองนายก็แตกต่างออกไป”
“งั้นเธอคิดว่าพวกฉันสองคนมีความเกี่ยวข้องอะไรกันล่ะ?” เฉินเป่ยขับรถช้าลงมา เอ่ยปากถามด้วยความสนใจ
“ไม่รู้” หวาหย่าหรุ่ยส่ายหน้าแล้ว พูดว่า “ผ่านแยกด้านหน้าก็จอดรถลงเถอะ”
เฉินเป่ยตะลึง “นี่อยู่ห่างจากบ้านเธอตั้งไกล”
หวาหย่าหรุ่ยกลับคืนสู่ท่าทางที่หยิ่งยโสแบบก่อนหน้านี้ “ฉันยังไม่อยากกลับไปบ้านตอนนี้”
เฉินเป่ยพยักหน้า หลังผ่านสี่แยกไป จึงว่าไปตามจุดหมายของหวาหย่าหรุ่ย จอดที่หน้าประตูผับแห่งหนึ่ง
หลังจากหวาหย่าหรุ่ยลงรถ เฉินเป่ยตามลงรถมาติดๆ
“นายกลับไปรายงานได้แล้ว” หวาหย่าหรุ่ยสีหน้าสงสัย
“ภารกิจที่ประธานหลีให้ฉันทำคือคุ้มครองส่งเธอส่งถึงบ้านอย่างปลอดภัย เธอไม่ถึงบ้าน ฉันคงได้แต่ตามไปตลอด” เฉินเป่ยเอ่ยปากตอบนิ่งๆ
หวาหย่าหรุ่ยขมวดคิ้วขึ้น สักพักจึงพยักหน้า “นายอยากตามก็ตามไปแล้วกัน”
หลังจากเดินเข้าผับ หวาหย่าหรุ่ยเดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์คนเดียว สั่งเหล้าแก้วหนึ่ง เฉินเป่ยนั่งลงมาที่มุมหนึ่งไม่ไกลมากนัก สายตากวาดผ่านแต่ละมุมของสถานบันเทิง ตรงมุม ล้วนเป็นแหล่งที่อาจดำเนินการลอบสังหารได้
นี่คือความเคยชินของเขา มีเพียงกำจัดความเป็นไปได้ที่อันตรายทุกอย่างไป ถึงทำให้หวาหย่าหรุ่ยอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ปลอดภัยไร้ข้อผิดพลาด เขาถึงวางใจลงมาได้
หวาหย่าหรุ่ยใส่กระโปรงยาวสีขาวบริสุทธิ์ บุคลิกโดดเด่น ไม่เข้าพวกกับแก้วเหล้าของที่นี่ เฉินเป่ยสูบบุหรี่พลางจ้องหวาหย่าหรุ่ย ตั้งแต่เธอเข้ามาในผับ ก็ทำให้เฉินเป่ยแปลกใจอยู่บ้าง
สาวงามมีบุคลิกภาพดีแบบนี้ คาดไม่ถึงจะเข้ามาในสถานที่บันเทิงแบบนี้…เฉินเป่ยจ้องหวาหย่าหรุ่ยดื่มเหล้าแก้วนั้นจนหมด ไม่นานก็มีผู้ชายสองสามคนเข้ามาตามจีบ
เพียงแต่ว่าหวาหย่าหรุ่ยปฏิเสธไปแบบไม่สนใจไยดีอยู่บ้าง ผ่านไปได้สักพักหนึ่ง หวาหย่าหรุ่ยถึงลุกขึ้นยืนอย่างมึนงงพอสมควร จ่ายเงินเสร็จแล้วเดินไปทางด้านนอก
เฉินเป่ยเดินตามออกไปแล้ว มองเห็นใบหน้าของหวาหย่าหรุ่ยแดงระเรื่อดุจแอปเปิล บนตัวมีกลิ่นเหล้าจางๆ คละคลุ้ง เธอดื่มจนกึ่งเมาแล้ว
“ไปเถอะ กลับบ้าน” เฉินเป่ยพูดเตือนสติ
“ไม่กลับ ฉันไม่กลับไปหรอก นายไปเดินเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ เดินเล่นกัน” หวาหย่าหรุ่ยพูดจาเมามาย เริ่ม ควงแขนของเฉินเป่ยอย่างแนบชิดขึ้นก่อน จากนั้นเดินไปด้านหน้า
ส่วนหวาหย่าหรุ่ยไม่ได้ระลึกถึงว่าตนเองได้เสียอาการไปมากเลยสักนิด วินาทีนั้นที่เธอควงแขนเฉินเป่ย เฉินเป่ยจิตใจสั่นไหว พึ่งมีการตอบสนองเข้ามา รูปร่างของหวาหย่าหรุ่ยไม่ด้อยเลยสักนิด เขาฝืนกลั้นกดความวู่วามของตนเองลง…จะต้องสงบ…กลั้นไว้…
ฉะนั้นหวาหย่าหรุ่ยจึงดึงเฉินเป่ย เดินครึ่งรอบใหญ่บนถนน ตลอดทางมานี้ กลิ่นหอมอ่อนๆ บนตัวหวาหย่าหรุ่ยแทรกเข้าจมูกของเฉินเป่ย ในใจเฉินเป่ยกำลังบังคับใจอย่างบ้าคลั่ง ควบคุมความป่าเถื่อนและความวู่ว่ามของตนเองไว้…
ในเวลานี้ ที่ที่ไม่ไกลนัก วัยรุ่นอายุยี่สิบต้นๆ และบนศีรษะย้อมผมหลากหลายสีกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาแล้ว
ตอนที่พวกเขามองเห็นหวาหย่าหรุ่ยกำลังเดินมา ครู่เดียวสายตาหลายคนโฟกัสบนตัวของหวาหย่าหรุ่ยแล้ว
ดวงตาของพวกเขาเปลี่ยนเป็นมันวาว กวาดสายตาไปมาบนขายาวของหวาหย่าหรุ่ย น้ำลายใกล้จะไหลลงมาแล้ว
“นี่คนสวย ขาดแฟนหรือเปล่า? พวกพี่สามารถทำตามข้อเรียกร้องทุกอย่างของน้องได้หมดเลยนะ~” อันธพาลอายุน้อยผมทองผิวปากใส่หวาหย่าหรุ่ย พยายามพูดหยอกล้อ
“คนสวย ตาแก่คนนี้ทำให้เธอพอใจไม่ได้หรอก ไม่สู้ตามพวกเราไป พวกพี่ต้องทำให้เธอสุขสบายระดับห้าดาวได้แน่!” เหล่าคนผมทองยิ่งพูดยิ่งเกินเหตุ เสียงหยอกล้อนับวันยิ่งดังขึ้น
หวาหย่าหรุ่ยกะพริบตาเบาๆ เหมือนโกรธเคืองอยู่บ้าง
เฉินเป่ยดึงเธอไว้ มองพวกผมทองกลุ่มนั้นนิ่งๆ ทีหนึ่ง “เตือนพวกนายว่าพูดจาให้น่าฟังหน่อย”