บทที่535 ก็คือเจ้าของหลงหุน!
เฉินเป่ยจู่โจมแบบเผด็จการ…หวาหย่าหรุ่ยอ่อนไปทั้งตัวแล้ว…ร่างกายหมดแรงอยู่ในอ้อมอกของเฉินเป่ย…
ในวินาทีนั้น ความรู้สึกคุ้นเคยที่มีความแตกต่างนิดๆ ผุดขึ้นในจิตใจของเฉินเป่ย ทำให้ในสมองของเฉินเป่ยอดปรากฏใบหน้างดงามใบหนึ่งออกมาไม่ได้ ความรู้สึกแบบนี้เหมือนเคยเจอมาก่อน…
เฉินเป่ยดันหวาหย่าหรุ่ยออกเบาๆ พูดหน้าตาจริงจัง “สาวน้อย…วันนี้เป็นฉันวู่วามเอง ขอโทษ…”
ทันใดนั้นใบหน้าหวาหย่าหรุ่ยแข็งทื่อ โกรธอยู่บ้าง “ทำไม? คุณคิดจะเชิดหนี?”
เฉินเป่ยรู้สึกว่ายุ่งยากมาก เขาไม่รู้ว่าควรอธิบายเช่นไร นี่เหมือนจะยุ่งเหยิงพอสมควร เมื่อสักครู่พึ่งจูบคนอื่นเขา ตอนนี้อยากแบ่งกั้นความสัมพันธ์ ตนเองช่างสารเลวเกินไปหน่อยหรือไม่?
“ฉันแก่แล้ว” เฉินเป่ยถอนหายใจทีหนึ่ง “ส่วนเธอพึ่งอายุยี่สิบ เธอยังเด็กมาก อนาคตของเธอจะรุ่งโรจน์มากด้วย เธออย่าได้วู่วาม ฉันเป็นเพียงตาแก่คนหนึ่ง…”
ดวงตาหวาหย่าหรุ่ยกะพริบเบาๆ มุ่ยริมฝีปากแดงเล็กน้อย พูดแบบไม่สนใจสักนิด “ตาแก่แล้วยังไง? ฉันก็ชอบลุง!”
“อย่าดื้อ อนาคตเธอจะเจอชายหนุ่มที่ดีเลิศมาก ฉันเป็นแค่ลุงมอมแมมที่ไม่น่าสนใจแม้แต่น้อยคนหนึ่งเท่านั้นเอง” เฉินเป่ยค่อยๆ บอกไป เขาจำเป็นต้องแก้ไขความคิดแบบนี้ของหวาหย่าหรุ่ยให้ถูกต้อง เขารู้…สถานะของตนเองอยู่ที่หัวเซี่ยช่างอ่อนไหวเกินไปจริงๆ เขาไม่สามารถให้หวาหย่าหรุ่ยจมสู่อันตรายที่ไม่กระจ่างขนาดนี้ได้
“ใครบอกกัน ถึงแม้ฉันจะเคยเจอชายหนุ่มมามากมาย ก็สู้ลุงคนเดียวไม่ได้!” ใบหน้าหวาหย่าหรุ่ยเกิดความดื้อดึงขึ้น ดวงตาจ้องเฉินเป่ยแน่น วินาทีนี้อากาศเหมือนจะแข็งตัว
เฉินเป่ยทอดถอนใจทีหนึ่ง หลับตาลง ภาพที่โหดร้ายแต่ละฉากปรากฏขึ้นในสมอง…ภูเขาศพทะเลเลือด…ห่ากระสุนปืน…นี่ถึงเป็นโลกที่เขาสมควรอยู่…
“ยัยเด็กน้อย ทำไมเธอถึงดื้อขนาดนี้ล่ะ? ฉันบอกแล้วไง ฉันไม่ชอบพวกเด็กสาวอย่างเธอ!” เฉินเป่ยผลักหวาหย่าหรุ่ยออก สีหน้าเย็นชาอย่างยิ่ง เอามือล้วงกระเป๋ากางเกง จากไปเหมือนพวกอันธพาล…
วินาทีนี้ ดวงตาหวาหย่าหรุ่ยชุ่มชื่น มองภาพเงาของเฉินเป่ยออกไปแบบค้างคา…ทันใดนั้นหัวใจของสาวน้อยดิ้นรนอย่างน่าประหลาด เธอไม่เคยประสบกับความรู้สึกยุ่งเหยิงเช่นนี้มาก่อน นี่…สามารถพูดได้ว่าเป็นครั้งแรกของเธอ ครั้งแรกของเธอที่หลงรักคนคนหนึ่งอย่างสุดจิตสุดใจเช่นนี้ และกล้าหาญเช่นนี้ แต่ว่า…เขา…เขาไม่ชอบฉัน?
…
พลบค่ำ
รถยนต์คันหนึ่งแล่นอยู่บนท้องถนน ซูเหลยขับรถยนต์อยู่ เฉินเป่ยและหลีชิงเยียนนั่งอยู่ในรถ แล่นไปยังทิศทางของโรงแรม…
ภายในรถเงียบสงบมาก ในอากาศมีเสียงดนตรีที่สง่างามดังสะท้อน ส่วนใบหน้างดงามของหลีชิงเยียนเย็นชาอยู่บ้าง
“เฉินเป่ย ฉันจะเตือนนายไว้นะ ดีที่สุดอย่ามีความคิดอะไรที่ไม่ควรมีกับหวาหย่าหรุ่ย” ท่านประธานเทพธิดาเอ่ยปากบอกกะทันหัน เสียงมีความหมายหนาวเย็น
เฉินเป่ยตะลึง หันหน้ามองเธอถามกลับไป “ทำไมถึงพูดแบบนี้?”
บนใบหน้าของหลีชิงเยียนเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ ไม่ได้สนใจเขาอีก
เฉินเป่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นถามว่า “คุณหึงแล้วหรือเปล่า?”
ใบหน้างดงามของหลีชิงเยียนตกตะลึงนิดหน่อย จ้องเฉินเป่ยด้วยดวงตาเมินเฉย คล้ายว่ามีการดูถูกนิดๆ “หึง? ทำไมฉันต้องหึงด้วย? นายคู่ควรให้ฉันหึงเหรอ?”
“ถ้าคุณไม่ได้หึง ทำไมถึงมีท่าทางแบบนี้ล่ะ” เฉินเป่ยมองหลีชิงเยียนอยู่
“บริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปกับสมาคมจิวเวลรี่จะเริ่มร่วมงานกันครั้งหนึ่ง ฉันกลัวนายทำการร่วมงานพัง”
เฉินเป่ยมองท่านประธานเทพธิดา เอ่ยปากอย่างมีเลศนัย “ผมว่าคุณหึงอยู่นะ”
ดวงตาเย็นชาของหลีชิงเยียนถลึงใส่เฉินเป่ยทีหนึ่ง “นายประสาทรึไง?”
เฉินเป่ยหัวเราะเยาะตนเอง “ใช่ ผมเป็นประสาท…ถึงยอมให้คุณกับเซียวจ้านพูดคุยหัวเราะกัน จีบกันอยู่ ผมไม่สบายใจ มีอะไรไหม”
“บ้าบอ” หลีชิงเยียนพ่นสองคำออกมาอย่างเฉยชา กอดหน้าอก ขี้เกียจสนใจเขาอีก
รอยยิ้มเยาะตัวเองที่มุมปากเฉินเป่ยเข้มขึ้น ตนเองหลงรักหลีชิงเยียน อาจจะบ้าจริงๆ นั่นแหละ
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ที่ระยะไกล ภาพเค้าโครงของโรงแรมค่อยๆ แจ่มแจ้งขึ้นจากความเลือนราง
ทันใดนั้นเฉินเป่ยยื่นมือโอบเอวเล็กของหลีชิงเยียนไว้ อุดริมฝีปากแดงเซ็กซี่ของเทพธิดาไว้อย่างรุนแรง
ชั่วขณะนี้ อากาศเหมือนจะแข็งตัว
ดวงตางดงามของหลีชิงเยียนอึ้งค้าง ขนตาที่เรียวยาวงอนสั่นเบาๆ…ทั้งตัวสูญเสียแรงต้านทานไปหมด…
วินาทีนี้ช่างกะทันหันเหลือเกิน ประหนึ่งสายฟ้าแลบ ท่านประธานเทพธิดาเดิมทีไม่ตอบสนองเข้ามา
รถยนต์ที่แล่นบนถนนยามค่ำคืน เฉินเป่ยโอบร่างกายของท่านประธานเทพธิดาไว้แน่น โอบทั้งตัวของเธอเข้ามาในอ้อมอก ยึดครองด้วยการรุกรานริมฝีปากแดงของเทพธิดาอย่างกำเริบเสิบสาน
ซูเหลยที่ตั้งใจขับรถอยู่เบาะหน้า มองเห็นฉากนี้ผ่านกระจกมองหลัง งงไปหมด เกือบจะชนรถยนต์ที่อยู่ด้านข้างเข้า
“ป้าบ——”
ไม่นานเสียงตบหน้ากังวานดังสนั่นขึ้นมาทีหนึ่ง
ท่านประธานเทพธิดาหลีชิงเยียนตบลงบนแก้มเฉินเป่ยอย่างแรงทีหนึ่ง
ตบหน้าครั้งหนึ่ง ตบแรงเสียจนทำให้เฉินเป่ยได้สติ ดึงเขาจากสภาพที่ฮึกเหิมนั้นกลับมาสู่ความเป็นจริง
เฉินเป่ยปล่อยริมฝีปากเทพธิดาออก…สมองของเขางงงวยอยู่บ้าง หอบนิดหน่อย เมื่อสักครู่นี้เขาถูกอารมณ์นิดๆ นั้นทำให้สติหลุดการควบคุม…
เกรงว่าเขาเองก็คงนึกไม่ถึงว่าตนเองที่เผชิญหน้ากับนักฆ่ามือสังหารพวกนั้นไม่มีหอบแม้แต่น้อย แต่เวลานี้กลับหอบหายใจไม่ทันอยู่บ้าง
ในขณะนี้บนแก้มของเขาปรากฏรอยมือที่แจ่มชัดเล็กหน่อยๆ ราวกับอธิบายถึงความโกรธแค้นของเทพธิดา
หลีชิงเยียนใบหน้าหนาวเย็นดูแย่ หายใจยุ่งเหยิงอย่างยิ่ง…เทพธิดาในวินาทีนี้โกรธเคืองมาก เธอใช้แรงเช็ดริมฝีปากแดงของตนเอง ถลึงตาใส่เฉินเป่ยอย่างแรง นั่นคือความกลัดกลุ้มแบบไร้ขอบเขต
ดวงตาหลีชิงเยียนเต็มไปด้วยไฟโกรธ สายตาที่มองทางหนาวเหน็บ แฝงไปด้วยความคิดอยากฆ่าที่เย็นยะเยือก
“นายนี่มันไร้ยางอายสารเลว!” หลีชิงเยียนดุด่าว่ากล่าว มีความผิดหวังขั้นสุดต่อเฉินเป่ย
เฉินเป่ยหัวเราะเยาะตนเอง “คงใช่ บางทีผมคงสารเลวจริงๆ”
รถยนต์ค่อยๆ จอดลงที่หน้าประตูโรงแรมแล้ว พอเฉินเป่ยก้าวเท้าออก ล้วงมือทั้งคู่ในกระเป๋ากางเกง ออกไปแบบหน้าก็ไม่หันมา ภาพด้านหลังดูเหมือนเปล่าเปลี่ยวและเดียวดายอย่างน่าประหลาดใจ
“ประธานหลีคะ ต้องการให้ฉันไปเรียกเขาไว้รึเปล่าคะ?” ซูเหลยมองทางภาพด้านหลังของเฉินเป่ย พลันถามขึ้น
“ไม่ต้อง เข้าไปก่อนเถอะ” หลีชิงเยียนเม้มริมฝีปากแดง จนกระทั่งตอนนี้ เธอยังสามารถรู้สึกถึงได้ว่าริมฝีปากแดงที่โดนเฉินเป่ยจูบลงมา ยังหลงเหลืออุณหภูมิอุ่นนิดๆ
……
ช่วงดึก ริมถนนที่ว่างโล่ง คนขับรถแท็กซี่คนหนึ่งพิงอยู่บนเบาะนั่ง ครึ่งหลับครึ่งตื่น
ทันใดนั้นประตูรถถูกดึงเปิด มีคนหนึ่งมุดเข้ามาแล้ว ชั่วขณะนั้นคนขับรถได้สติแล้ว
“ไปเยี่ยนจิง บ้านตระกูลหลี” เสียงของเฉินเป่ยสงบนิ่งมาก นิ่งถึงขีดสุดเลย
คนขับรถแท็กซี่แปลกใจอยู่บ้าง พูดเตือนสติ “พ่อหนุ่ม…นายหมายความว่า…คือตระกูลหลีของเยี่ยนจิง”
เฉินเป่ยไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่ค่อยๆ พยักหน้า
คนขับรถแท็กซี่ดูผ่านกระจกมองหลัง มองเห็นเฉินเป่ยพยักหน้า…ในใจคนขับรถตื่นตกใจยิ่งขึ้น “พ่อหนุ่ม…บ้านตระกูลหลีนี้…ไม่ใช่ว่าคนธรรมดาสามารถเข้าได้นะ…นั่นไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว…ตระกูลหลีเป็นตระกูลเหนือชั้นของเยี่ยนจิง นั่นไม่ใช่คนทั่วไปจะสามารถเข้าใกล้…”
เฉินเป่ยไม่พูดมาก ทิ้งเงินปึกหนาให้คนขับรถโดยตรง
ลุงคนขับรถรับเงินมากขนาดนี้แล้ว ตาลุกวาวแล้ว รับเงินมาทำธุระ…ก็ขี้เกียจยุ่งว่าสรุปแล้วเขาจะไปทำอะไร…ได้แต่เหยียบคันเร่งลง แล่นไปยังบ้านตระกูลหลี…
เฉินเป่ยนั่งอยู่ในรถ มองด้านนอกหน้าต่างรถด้วยแววตาสงบ…วิวข้างถนนของเมืองแฉลบผ่านรวดเร็วนั้น…ภาพที่คุ้นตาแต่ละฉากนั้น…ราวกับผุดออกจากในความทรงจำส่วนลึกของสมองเขาออกมา…
เมื่อค่อยๆ ผ่านไป ดวงตาของเขาก็ประกายสีแดง…เส้นเลือดฝอยที่ดุร้ายน่ากลัวเต็มลูกตาสองดวงของเขา…จิตสังหารที่ยิ่งใหญ่ค่อยๆ โผล่ขึ้นในดวงตาเขา
แท็กซี่ขับไปทางคฤหาสน์ตระกูลหลีมาตลอดทาง…ระยะห่างนับวันยิ่งใกล้เข้ามา
“นี่พ่อหนุ่ม…ฉันต้องอธิบายกับนายนะ…มากที่สุดฉันส่งนายได้เพียงที่ข้างทางของด้านนอกคฤหาสน์…ในคฤหาสน์ตระกูลหลีมีบอดี้การ์ดเฝ้ายามอยู่…พวกเราแท็กซี่แบบนี้ นั่นไม่ให้เข้า” คนขับรถพูดเตือนสติ
เฉินเป่ยไม่ได้สนใจคนขับรถ นั่งในรถอย่างนิ่งเฉย เขาหยิบของที่ถูกห่อด้วยผ้าดำชิ้นหนึ่งออกจากในกระเป๋าเดินทางที่พกติดตัว
เมื่อเปิดห่อผ้าดำแต่ละชั้นออก ด้านใน…หน้ากากที่ดุร้ายชิ้นหนึ่งสะท้อนเข้าม่านตา
ลักษณะหน้าตาบนหน้ากากแปลกประหลาด ดูไม่ออกว่าร้องไห้หรือหัวเราะ หน้ากากที่ยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม ทำให้คนขนลุกเสียวสันหลัง
ชั่วขณะที่หน้ากากปรากฏขึ้นนั้น ในแท็กซี่เหมือนถูกพลังเหี้ยมโหดปกคลุมเต็มที่
เฉินเป่ยค่อยๆ หยิบหน้ากากขึ้นมา แสงหนาวเหน็บที่น่าสะพรึงกลัวค่อยๆ กระจายรอบ…ด้านบน…ยังคงหลงเหลือกลิ่นอายโหดร้ายนิดๆ…
เขานำหน้ากากใส่บนหน้าช้าๆ…หน้ากากดุร้ายปกคลุมใบหน้าของเขาไว้แล้ว หน้ากากราชาหลง…นานมากแล้วที่เฉินเป่ยไม่เคยได้ใส่มัน…แต่ละครั้งที่ใส่หน้ากากนี้ปรากฏตัวต่อภายนอก ต้องเกิดการสังหารนองเลือดขึ้นครั้งหนึ่ง
ที่สนามรบในต่างประเทศมีตำนานน่ากลัวเรื่องหนึ่งเล่าลือกัน…ราชาหลงมีสองด้าน…ด้านหนึ่งคือเย็นยะเยือกดุจน้ำค้างแข็ง อีกด้านหนึ่งสังหารโหดเหี้ยม ตอนที่ราชาหลงใส่หน้ากากที่ดุร้ายนั้น…ก็คือตอนที่เลือดสดเปื้อนแดงฉาดไปทั้งถนน
ในรถแท็กซี่ ตอนเห็นฉากนี้ของผู้โดยสารเข้า…ชั่วขณะนั้นคนขับรถแท็กซี่ตกใจยกใหญ่…เกือบถูกหน้ากากที่สยองขวัญนี้ทำตกใจแทบตาย
รถแท็กซี่เหยียบเบรกจอดบนถนนแล้ว
“พ่อหนุ่ม…ถึง…ถึงแล้ว…” คนขับรถพูดจาตื่นตกใจสั่นเทาอยู่บ้าง
เฉินเป่ยใส่หน้ากากราชาหลงไว้ ค่อยๆ ก้าวออกจากรถแท็กซี่แล้ว
หน้ากากราชาหลงที่ดุร้ายปกปิดหน้าตาทั้งหมดของเขาเอาไว้…แสงหนาวเหน็บที่สยดสยองเฉียบพลันโหมซัดสาดกระจายราวกับคลื่นยักษ์ที่หยุดไม่อยู่ เขายืนอยู่ตรงนั้น ราวกับยมทูตมาจากนรก
บนถนนใหญ่ เหล่าผู้คนที่สัญจรกลุ่มหนึ่งเห็นผู้ชายที่ใส่หน้ากากดุร้ายคนนี้…ทุกคนที่เดินทางต่างแตกตื่นหลบเลี่ยง…
ผู้ชายที่ใส่หน้ากากดุร้ายคนนี้ปล่อยออร่าที่น่ากลัวออกมา เดิมทีทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้
เฉินเป่ยที่ใส่หน้ากากเดินไปยังทิศทางของคฤหาสน์ตระกูลหลีทีละก้าว เยี่ยนจิงแห่งนี้ พื้นที่แต่ละส่วนของเมืองแห่งนี้…เขาล้วนคุ้นเคยอย่างแจ่มแจ้ง
คฤหาสน์ตระกูลหลีเกินกว่าหลายร้อยเมตร จัดตั้งด่านรักษาความปลอดภัยแห่งหนึ่ง บอดี้การ์ดสองคนที่สวมเครื่องแบบยื่นอยู่หน้าด่าน คอยรักษาสถานการณ์ความปลอดภัย
ในเวลานี้ บนถนนตรงข้าม…มีผู้ชายใส่หน้ากากดุร้ายไว้กำลังเดินมาทางนี้ทีละก้าว…ราวกับมีกลิ่นอายที่น่ากลัวหนาวเย็น
ชั่วขณะหนึ่งบอดี้การ์ดสองคนเริ่มตื่นตัว
“หยุดนะ! จะทำอะไร?” บอดี้การ์ดสองคนสกัดกั้นเฉินเป่ยไว้โดยตรง ตวาดถามด้วยเสียงดุ
ใต้หน้ากากราชาหลง ดวงตาเย็นยะเยือกคู่นั้นของเฉินเป่ยกวาดตาจ้องบอดี้การ์ดสองคนอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง…
บอดี้การ์ดสองคนเพียงรู้สึกสั่นไปทั้งตัว…สั่นเทาอย่างเย็นยะเยือกแพร่กระจายไปตลอดทางจากกระดูกสันหลัง…ดวงตาใต้หน้ากากนี้…สยองขวัญเช่นนี้…โหดเหี้ยมเช่นนี้
บอดี้การ์ดสองคนฉวยโอกาสดำเนินการฉับพลัน มือยื่นไปยังหลังเอวทันใด…อยากจะล้วงกระบองออกมา
ซู่! กระบองที่ดำขลับเย็นเฉียบสองท่อนกวัดแกว่งไปยังเฉินเป่ย
“ฟึบ!” ทันใดนั้นเฉินเป่ยยกมือขึ้นดุจฟ้าแลบ จับแขนของบอดี้การ์ดสองคนไว้ทันใด…
“แกร๊ก!” เสียงแตกทีหนึ่ง แขนของบอดี้การ์ดสองคนถูกพลังที่สยดสยองหักโดยตรง…เลือดสดน่าสะพรึง
เฉินเป่ยจึงเดินไปหน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลหลีทีละก้าวแบบนี้…แต่ละก้าวของเขาเหยียบลงไปนั้น เหมือนมีเจตนาฆ่าอันสยองขวัญไร้ที่เปรียบ
“เฮ้ยแกเป็นใคร? รีบหยุดเลยนะ! ได้ยินรึเปล่า!” บอดี้การ์ดหลายคนล้อมขึ้นมาฉับพลัน ปากกระบอกปืนจ่อที่เฉินเป่ยโดยตรง
ใต้หน้ากากราชาหลง เฉินเป่ยกวาดตานิ่งๆ มองผ่านบอดี้การ์ดกลุ่มนี้
“ฉันมาหาหลีเช่าเทียน” เสียงของเฉินเป่ยสงบนิ่งมาก แต่กลับมีจิตสังหารที่น่ากลัวหนาวเหน็บ…ทำให้คนสั่นสะเทือนสุดๆ
ปืนในมือบอดี้การ์ดหลายคนนั้นมีเหงื่อซึมออกมานิดๆ บอดี้การ์ดทั้งหมดพยายามฝืนต้านไว้ ถลึงตาใส่เฉินเป่ยแบบโหดร้าย ถามอย่างโมโห “แกเป็นใคร? บอกชื่อของแกออกมา!”
ใต้หน้ากากราชาหลง เฉินเป่ยนิ่งสงบอย่างยิ่ง ค่อยๆ พูด “คนที่หลีเช่าเทียนอยากได้ตัวมาตลอด—ราชาหลง”
ซู่! เหล่าบอดี้การ์ดกลุ่มนั้นมองหน้าซึ่งกันและกัน…ในตาทุกคนล้วนมีความตื่นตระหนก…ราชาหลง? นี่คือชื่ออะไร? นี่คือสถานะอะไร?
“มาหาคุณชายรองของพวกเราทำอะไร? ที่นี่คือบ้านตระกูลหลี ไม่ใช่สถานที่ที่แกจะบุกมาได้!” เหล่าบอดี้การ์ดสีหน้าดุร้ายตวาดใส่
ใต้หน้ากาก มุมปากของเฉินเป่ยยกเส้นรัศมีวงกลมขึ้น
“ฉันมาส่งเขาไปตาย”
ซู่! อากาศ…ชั่วขณะนั้นเงียบงัน
เหล่าบอดี้การ์ดกลุ่มนั้นสายตาฝืดค้าง…ถูกคำพูดประโยคนี้สั่นสะท้านจนอึ้งค้างถึงที่สุด…หลังหลายวินาทีต่อมา…บอดี้การ์ดกลุ่มนั้นถึงตอบสนองเข้ามา
“โอหัง!” เหล่าบอดี้การ์ดสีหน้าเปลี่ยน เสียงดังกังวานติดๆ กันชุดหนึ่ง ชั่วพริบตาปืนนับไม่ถ้วนก็ลั่นไก
“ซู่…” ทันใดนั้นภาพวืดแฉลบผ่าน…ร่างกายเฉินเป่ยไวปานฟ้าแลบ
“ปังๆๆ…!” ภาพเงาแต่ละคนล้มกระเด็นออกไป…กลางอากาศเลือดสดนับไม่ถ้วนผสานกัน สยดสยองเสียจริง