บทที่600 ยอมให้จับโดยดี
อากาศเย็นเฉียบพลันอีกครั้ง ทั้งในห้องโถงอึดอัดไปหมด ลูกหลานตระกูลหวางกลุ่มหนึ่งแม้แต่ใครก็ไม่กล้าพูด วันนี้นายท่านใหญ่…โกรธเป็นฟืนเป็นไฟของจริงแล้ว
“คุณปู่! ขอความเมตตาด้วยครับ!” ทันใดนั้น มีเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านนอกห้องโถงอีกครั้ง
เวลานี้ หวางเหวินห้าวก็พุ่งเข้ามาเช่นกัน ขวางไว้ด้านหน้าของนายท่านใหญ่หวาง
“คุณปู่ครับ ขออย่าได้โกรธเลยนะครับ ถึงแม้ลุงสองจะทำผิดครั้งใหญ่ แต่ยังทำประโยชน์ให้ตระกูลหวางมากกว่า หลายสิบปีมานี้ตระกูลหวางพึ่งลุงสองดูแลมาตลอด ถ้าไม่มีลุงสอง เกรงว่าภายในตระกูลหวางคงวุ่นวายไปตั้งนานแล้ว คุณปู่โปรดเมตตาด้วยนะครับ!” หวางเหวินห้าวพูดเกลี้ยเกล่อมอย่างจริงจัง
วันนี้ ตระกูลหวางเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ถ้าพ่อบ้านใหญ่เกิดเรื่องขึ้นอีก เกรงว่าตระกูลหวางคงวุ่นวายถึงที่สุด ด้วยเหตุผลนี้ จึงจำเป็นต้องหยุดยั้ง
นายท่านใหญ่หวางสีหน้าอึมครึมไม่สบายใจ ในตายังคงแค้นเคือง
ลุงสองคุกเข่าอยู่ที่พื้น น้ำตาไหลนอง ออกแรงคำนับศีรษะลงพื้น “ผมสมควรตาย…เป็นผมที่สมควรตาย…เจ้าบ้าน…คุณชาย พวกคุณไม่ต้องรักษาชีวิตแทนผมหรอกครับ เป็นผมที่ทำผิดต่อตระกูลหวาง…”
นายท่านใหญ่หวางถือปืนไว้ในมือ ไม่ได้พูดสักประโยคเดียว วันนี้…ตระกูลหวางเขาเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ผลกระทบใหญ่หลวงเหลือเกิน ความโกรธของเขาจะสงบลงได้อย่างไร?
“เล่ยิงคือกลยุทธ์สังหารที่ตระกูลหวางปิดซ่อนไว้ ถ้าไม่มีคำสั่งลับสุดยอด จะแตะต้องไม่ได้เด็ดขาด! แกตัดสินใจออกคำสั่งเอง ทำให้เล่ยิงตาย…ตอนนี้ตระกูลหวางของฉันตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ…ถ้าสถานะของเล่ยิงถูกคนเปิดโปง ถูกทางประเทศเจอเข้า…ทั้งตระกูลหวางของฉันจะได้รับหายนะแบบที่ไม่มีทางจินตนาการได้! โทษของแกคือตายสถานเดียว!” นายท่านใหญ่หวางโกรธเคืองมาก ไม่ได้วางปืนในมือลงตั้งแต่ต้นจนจบ เล็งที่ลุงสองตลอด
หวางเหวินห้าวหลานชายรีบก้าวมาตรงหน้านายท่านใหญ่ พูดกล่อมอย่างจริงจัง “คุณปู่ครับ วันนี้ตระกูลหวางของเราเจอหายนะแบบนี้แล้ว ตอนนี้…ถ้าในบ้านเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก…ไม่ว่าภายในหรือภายนอกตระกูลหวางของเราจะวุ่นวายใหญ่! ตระกูลจะขาดการดูแลของลุงสองไม่ได้ครับ!”
ได้ยินคำพูดนี้ ปืนในมือของนายท่านใหญ่หวางถึงค่อยๆ ปล่อยลงมาแล้ว
“คุณปู่ครับ ลุงสองมีความผิด แต่ความผิดไม่สมควรตาย…วิธีจัดการในตอนนี้คือพวกเราควรรีบหาศพของเล่ยิงให้เจอให้ไวที่สุด จากนั้นทำลายศพเผาหลักฐานทิ้ง ขณะเดียวกันกำจัดเบาะแสใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเล่ยิงทั้งหมด แบบนี้ถึงแม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสงสัยมาถึงพวกเราเข้า ก็ไม่มีหลักฐาน!” หวางเหวินห้าวพูดจาแบบลุ่มลึกจริงจัง
นายท่านใหญ่หวางดวงตาเคร่งขรึม ทันใดนั้นเขายกปืนขึ้นฉับพลัน “ปัง!”ลั่นไกกะทันหัน
กระสุนลูกหนึ่งยิงออกไปเฉียบไว ยิงหูซ้ายของลุงสองไปโดยตรงจนเลือดสดกระจาย
“วันนี้จะไว้ชีวิตแกสักครั้ง ไสหัวไป!” เสียงนายท่านใหญ่หวางโกรธเคืองหนาวเหน็บ
ลุงสองไม่ได้ดิ้นรนแต่อย่างใด คำนับศีรษะลงบนพื้นหลายครั้ง…จากนั้นถึงอุดใบหูไว้ ภายใต้การประคองของคนใช้ ลุกขึ้นมาแบบสั่นเทา…
คนใช้ประคองลุงสองออกจากห้องโถงด้วยความระมัดระวัง…วันนี้ ในที่สุดลุงสองภายใต้การโน้มน้าวอ้อนวอนของหวางเหวินห้าว จึงรักษาชีวิตของตนเองไว้ได้…
ที่ห้องโถง ทุกคนยังคงเงียบกริบ ไม่กล้าพูดจา
หวางเหวินห้าวกวาดสายตามองทุกคนทีหนึ่ง พูดว่า “พวกคุณออกไปกันเถอะ”
ลูกหลานตระกูลหวางกลุ่มหนึ่งฟังคำสั่ง ต่างถอยออกไปจากห้องโถงแล้ว…
ทั้งในห้องโถง เหลือเพียงนายท่านใหญ่หวางกับเจ้าบ้านหวางหมิงเฉิง และหวางเหวินห้าวทั้งสามคน
นายท่านใหญ่หวางจ้องหวางเหวินห้าว ค่อยๆ ถาม “เหวินห้าว หลานมีวิธีอะไร?”
หวางเหวินห้าวสีหน้าแข็งทื่อ ตอบแบบจริงจัง “อย่างแรก รีบส่งคนไปที่หู้ไห่ หาร่างเล่ยิงกลับมาทำลายหลักฐาน อย่างสอง กำจัดเบาะแสทั้งหมดโดยรอบของเล่ยิง…รวมทั้งคนที่มีความเกี่ยวข้องกับเขาทั้งหมด…!”
นายท่านใหญ่หวางจ้องเขาอยู่ “ความหมายของหลานคือฆ่ายกครัว?”
หวางเหวินห้าวพยักหน้าช้าๆ “ญาติใกล้ชิดทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเล่ยิง กำจัดทิ้งให้สิ้นซาก!”
นายท่านใหญ่หวางเงียบงันอยู่นาน ถึงพยักหน้าหนักแน่นตอบว่า “ได้ ทุกอย่าง ให้หลานไปจัดการ!”
“ครับ คุณปู่!” หวางเหวินห้าวโค้งตัวรับปากด้วยความเคร่งขรึม
นายท่านใหญ่หวางกวาดสายตาหนาวเย็นมองหวางหมิงเฉิงลูกชายตนเองทีหนึ่ง พูดอย่างโมโห “ดูลูกชายตัวดีของแกสิ ฉันให้เวลาแกวันหนึ่ง รีบเอาตัวหวางอู๋ตี๋เจ้าหลานชายสารเลวนั้นมาตรงหน้าฉันให้ได้!”
หวางหมิงเฉิงรีบโค้งตัวก้มลง “ครับ คุณพ่อ…ผมจะรีบเอาตัวหวางอู๋ตี๋กลับมาเมืองจิง..ง”
หวางเหวินห้าวกลอกตา ทันใดนั้นพูดกล่อมไปก่อน “คุณปู่ครับ…ตอนนี้อู๋ตี๋เขาอยู่ที่หู้ไห่……”
“เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ รีบลากมันกลับมาให้ฉัน!” พอพูดถึงหวางอู๋ตี๋ ชั่วขณะนั้นนายท่านใหญ่หวางโกรธเคืองขึ้นมาอีก ถ้าไม่ใช่หลานชายสารเลวคนนั้น ตระกูลหวางของเขาจะเจอวิกฤติขั้นนี้ได้อย่างไร?
หวางเหวินห้าวคิดสารพัดวิธีอยากเกลี้ยกล่อมคุณปู่ไว้ แต่คุณปู่กลับตัดสินใจไม่เปลี่ยนแปลง จะต้องเอาตัวหวางอู๋ตี๋กลับมาที่เมืองจิง หวางเหวินห้าวโน้มน้าวไม่สำเร็จ…ทำได้เพียงถือโอกาสถอยออกมา
หวางเหวินห้าวมาถึงด้านหน้าลานห้องมุข ถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง…เมื่อคืนเกิดความเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ ทำให้วันนี้ตระกูลหวางพัวพันกับคนมากมายเช่นนี้…อู๋ตี๋เขาตัดสินใจในครั้งนี้โดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์เกินไปจริงๆ…ทำให้เกิดหายนะใหญ่หลวง
หวางเหวินห้าวค่อยๆ หยิบโทรศัพท์ออกมา ต่อสายไปยังหมายเลขของน้องชาย…
…
หู้ไห่ คฤหาสน์ตระกูลจาง
หวางอู๋ตี๋นอนอยู่บนเตียง บนตัวคลุมผ่าห่มผืนหนาชั้นหนึ่ง…เหตุการณ์สั่นสะเทือนจิตใจเมื่อคืนนั้น ทำให้เขาไม่มีทางผ่านช่วงค่ำคืนไปได้อย่างสงบจนถึงตอนนี้…จิตใจของเขาสับสนถึงที่สุด แม้กระทั่งร่างกายยังอ่อนแรงหนาวสั่น
ทันใดนั้นมือถือดังขึ้น หวางอู๋ตี๋รีบหยิบมือถือขึ้นมาดู เป็นพี่ชายโทรศัพท์มา เขารีบรับสายโทรศัพท์ทันที
“พี่…ที่บ้าน…สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?” หวางอู๋ตี๋ถามแบบกังวลนิดๆ…เมื่อคืนเขารู้ว่าตนเองก่อเรื่องใหญ่แล้ว…เพราะเหตุนี้ จนถึงปัจจุบันนี้จึงไม่กล้าติดต่อที่บ้าน…
“เฮ้อ…คุณปู่โกรธมาก” ในสายโทรศัพท์ หวางเหวินห้าวพูดด้วยความจำใจ
“เดี๋ยวพ่ออาจจะโทรศัพท์ไปหานาย ให้นายกลับมาที่เมืองจิง…ไม่ว่ายังไงนายอย่ากลับมาเด็ดขาด…หาข้ออ้างเอาเอง บอกว่าที่นี่มีเรื่องสำคัญบางอย่าง สรุปคือบอกปัดไม่ต้องกลับบ้าน” หวางเหวินห้าวบอก
“ทำไม…ผมกลับไปไม่ได้?” หวางอู๋ตี๋ถามด้วยสีหน้าอ่อนแรง มีความไม่เข้าใจนิดๆ
“นายเลอะเลือนเกินไปมั้ย? ตอนนี้คุณปู่กำลังโกรธเลือดขึ้นหน้า เมื่อกี้เขาเกือบจะจัดการลุงสองทิ้งแล้ว! ถ้านายกลับมาที่บ้านในเวลานี้…คุณปู่จะไม่หักขานายหรอกเหรอ?” หวางเหวินห้าวค่อยๆ พูดอธิบาย
ได้ยินคำพูดของพี่ชาย หวางอู๋ตี๋สีหน้าซีดขึ้นไปอีกหลายระดับในชั่วขณะนั้น…เขาสามารถจินตนาการได้ถึงภาพที่คุณปู่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟในเวลานี้ได้…
หวางอู๋ตี๋ลังเลนิดหน่อย ทันใดนั้นบอกว่า “พี่…ผู้ชายคนนั้น เบื้องหลังของเขาไม่ธรรมดาเด็ดขาด ก่อนเล่ยิงตาย เปิดเผยเบาะแสบางอย่างแล้ว…”
หวางเหวินห้าวเงียบงัน ตั้งนานถึงค่อยๆ พูด “ฉันรู้แล้ว เบาะแสก่อนที่เล่ยิงจะตาย ฉันจะค้นหาให้หนัก”
“พี่ ผมอยู่ที่หู้ไห่ ต้องการการสนับสนุน…” เสียงหวางอู๋ตี๋มีความซับซ้อนและล้ำลึกนิดๆ ในที่สุดเอ่ยปากบอก…หลายปีมานี้เขาพึ่งพาฝีมือของตนเองสร้างกิจการมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรไม่เคยยืมมือของพี่ชาย…แต่วันนี้…เขากลับรู้สึกถึงความไม่ปกติของเรื่องราว…เขาจึงได้แต่เอ่ยปากร้องขอการสนับสนุนของพี่ชาย
“อู๋ตี๋ ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว งั้นก็เผชิญหน้าจัดการมัน ตอนนี้สิ่งสำคัญสุดคือหาศพของเล่ยิงกลับมา นายอย่าพึ่งทำอะไรบุ่มบ่าม ฉันจะส่งคนไปที่เมืองหู้ไห่ เป้าหมายมีสองอย่าง อย่างแรกหาศพของเล่ยิงกลับมา อย่างที่สองปกป้องนาย” หวางเหวินห้าวค่อยๆ พูดขึ้น
หวางอู๋ตี๋ได้ยินคำพูดนี้ ความกังวลภายในใจสุดท้ายค่อยๆ สงบลงมาบ้าง “พี่ ผมเข้าใจแล้ว…”
“อู๋ตี๋ จำไว้…เอ๋อตงเฉินคนนั้น ตอนนี้จะแตะต้องไม่ได้!” หวางเหวินห้าวพูดเตือนอีกครั้ง
“ครับ…ผมเข้าใจ…” หวางอู๋ตี๋พูดไม่กี่คำนี้ออกมาด้วยความอัดอั้นที่สุด…วันนี้เขาอยู่ที่หู้ไห่ คาดไม่ถึงโดนเฉินเป่ยคนนั้นเหยียบย่ำเช่นนี้ โดยเฉพาะยังไม่มีโอกาสได้โต้กลับใดๆ อีก…นี่ทำให้เขาอัดอั้นขั้นสุด…
…
เมืองหู้ไห่ ในห้องทำงานที่หรูหราอลังการห้องหนึ่ง หลัวห้าวหรานหัวหน้าสโมสรหู้ไห่นั่งอยู่บนโซฟา ค่อยๆ สูบซิการ์แท่งหนึ่ง…กลิ่นควันซิการ์ที่ตลบอบอวลเข้มข้นปกคลุมเต็มห้องนั้น…เขาถือเอกสารหนาปึกนั้นไว้ในมือ…ดวงตาค่อยๆ หรี่ขึ้นมา
หลัวห้าวหรานต่อสายโทรศัพท์สายหนึ่งแล้ว
“ฮัลโหล ผู้บัญชาการโล่ ผมมีคดีที่มีพยานบุคคลพยานวัตถุครบครันคดีหนึ่ง คุณจะรับหรือไม่?” หลัวห้าวหรานพูดจาแบบมีความหมายลึกซึ้ง
ในสายโทรศัพท์นั้น ผู้บัญชาการโล่ก้วนจองตะลึงนิดหน่อย ถามว่า “หัวหน้าหลัว คดีอะไรครับ?”
ดวงตาหลัวห้าวหรานลุ่มลึกทอดยาว ค่อยๆ พูดว่า “คดีฆาตกรรมใหญ่พิเศษที่ต่อเนื่องมาในช่วงนี้ของเมืองหู้ไห่…”
ได้ยินคำพูดนี้ ผู้บัญชาการโล่ก้วนจองสีหน้าแข็งทื่อขึ้นมาในชั่วขณะหนึ่ง
“หัวหน้าหลัว ยังต้องขอให้คุณช่วยอธิบายสักหน่อย!”
หลัวก้าวหรานหรี่ดวงตา พูดแบบลุ่มลึกไร้ที่เปรียบ “ผู้อำนวยการโหวผมว่า…ช่วงหลายเดือนมานี้ พวกคุณได้รับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่ใหญ่พิเศษมาไม่น้อยมั้ง? โดยเฉพาะ…ไม่มีเบาะแสใดๆ…”
เสียงผู้บัญชาการดูเคร่งขรึมอย่างยิ่ง “ครับ หัวหน้าหลัว หรือว่า…คุณกุมเบาะแสไว้?”
“ผมไม่เพียงแค่กุมเบาะแสเอาไว้…ผมยังรู้อีกว่าคนร้ายคือใคร…” หลัวห้าวหรานพูดแบบล้ำลึกทอดยาว
“อะไรนะ? ใครกัน?” โล่ก้วนจองถามด้วยความเคร่งเครียด คดีฆาตกรรมต่อเนื่องของเมืองหู้ไห่ในช่วงนี้ส่งผลกระทบกว้างขวาง แทบจะถูกจัดว่าเป็นคดีที่คาราคาซังไปแล้ว ไม่มีใครหาเบาะแสใดๆ เจอ เวลานี้กลับมีคนบอกเขาว่าคนร้ายเป็นใครขึ้นมากะทันหัน? นี่ทำให้โล่ก้วนจองตื่นตกใจขั้นสุด ขณะเดียวกันก็ดูเคร่งขรึมแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถ้าสามารถจัดการคดีใหญ่พวกนี้ได้ ตำแหน่งของเขา…ต้องเลื่อนขึ้นอีกขั้นแน่
หลัวห้าวหรานสูบซิการ์ลึกๆ พูดช้าๆ “ผู้ชายของหลีชิงเยียนประธานบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป เฉินเป่ย”
ในสายโทรศัพท์นั้น ชั่วขณะนั้นสีหน้าโล่ก้วนจองเปลี่ยนไป บริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป? เขารู้จักชื่อเสียงบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปมานานแล้ว แต่ตอนนี้ดันมาพัวพันกับคดีที่แบบนี้เข้า?
“ผู้บัญชาการโล่ คดีนี้…มอบให้คุณแล้ว…คุณจะต้องจัดการให้ผมจนเรียบร้อยด้วย แล้วเพื่อนผมจะต้องตอบแทนคุณอย่างดีแน่…” หลัวห้าวหรานพูดอย่างลุ่มลึก
“หัวหน้าหลัว คุณวางใจได้ ถ้าเฉินเป่ยคนนี้เป็นคนร้ายจริง ผมจะต้องจับกุมเขามาดำเนินคดีแน่นอน!!” โล่ก้วนจองพูดจาเคร่งขรึมจริงจัง
…
อาคารตระกูลหลี เฉินเป่ยกำลังนั่งอยู่ในห้องทำงาน มองการวางหมากแบบจำลองตรงหน้าด้วยอารมณ์ล้ำลึก…สถานการณ์ตอนนี้นับวันยิ่งวุ่นวาย…เหตุการณ์ยุ่งยากใหญ่โตครั้งหนึ่ง เหมือนกำลังพัดโหมเข้ามา…นี่ทำให้เขาแอบกังวลใจ…หลีชิงเยียนผู้หญิงคนนี้สามารถรับไหวหรือไม่?
เมื่อคืนเขาฆ่าฟันเล่ยิง ตระกูลของเยี่ยนจิง…เกรงว่าต้องวุ่นวายยกใหญ่แล้วมั้ง? เวลาแบบนี้ ตระกูลหวางจะตัดสินใจอย่างไรกัน? รีบมากำจัดอุปสรรคที่หู้ไห่เพื่อสังหารครั้งใหญ่? หรือว่า…?
สายตาของเฉินเป่ยนับวันยิ่งหนักหน่วง ถ้าตระกูลหวางลงมือ งั้นสถานะของเขาอาจจะถูกเปิดเผยเร็วขึ้น…ทุกอย่างนี้พัฒนาไปเร็วเหลือเกิน ทำให้เฉินเป่ยไม่มีทางรับมือได้ในขณะนี้
เฉินเป่ยค่อยๆ หยิบโทรศัพท์ออกมา ต่อสายไปยังหมายเลขหนึ่ง
“เตรียมกองกำลังให้พร้อม รับคำสั่งทุกเวลา…ถ้ามีคำสั่งของฉัน ให้รีบเข้ามา…” เสียงของเฉินเป่ยลุ่มลึกไร้ที่เปรียบ
ชิงเหนียนในสายโทรศัพท์นั้นสีหน้าแข็งทื่อ เขารู้สึกถึงความสำคัญของเรื่องราวเช่นกัน พยักหน้าจริงจัง ตะโกนตอบ “รับทราบ! รับคำสั่งทุกเมื่อ”
ในเวลานี้ ประตูห้องทำงานกลับถูกคนผลักเข้ามา ซูเหลยเดินเข้ามาช้าๆ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว?” ซูเหลยถามอย่างสงสัย
เฉินเป่ยค่อยๆ ส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”
“เกิดเรื่องแล้วสินะ” ซูเหลยส่ายหน้า พูดขึ้น
เฉินเป่ยได้ยินก็ตะลึงไป มองหล่อนด้วยความไม่เข้าใจเต็มที่นัก “มีอะไรเหรอ?”
ซูเหลยพูดแบบมีความหมายแฝง “ไม่มีอะไร…”
สายตาเฉินเป่ยแข็งเล็กน้อย รู้สึกว่าในคำพูดผู้หญิงคนนี้มีเลศนัย “เรื่องอะไร?”
ซูเหลยไม่พูด หล่อนชี้ไปด้านนอกหน้าต่าง
เฉินเป่ยยิ่งสงสัยขึ้นไปอีก ค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปตรงหน้ากระจกชมวิว พอก้มหน้ามอง
เขาตะลึงค้างแล้ว
ด้านล่างตึก…ไฟเตือนเปล่งประกายนับไม่ถ้วน รถตำรวจหลายสิบคันจอดอยู่ด้านล่างอาคารตระกูลหลี ปิดตายหน้าประตูของอาคารไว้ทั้งหมด
พอเห็นฉากนี้เข้า สายตาของเฉินเป่ยแข็งขึ้นมาในชั่วขณะนั้น เรื่องราวเหมือนจะเกินกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้
“ปัง!”เสียงดังสนั่น ประตูห้องทำงานของเฉินเป่ยโดนคนถีบออกฉับพลัน
ตำรวจที่อาวุธครบครันกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาในห้องทำงานกะทันหัน ปืนที่เย็นเฉียบนับไม่ถ้วนจ่อเล็งมาที่เฉินเป่ย
เหล่าตำรวจสีหน้าหนาวเย็นเคร่งขรึม แทบจะติดอาวุธไปถึงฟัน เหล่าตำรวจกลุ่มหนึ่งด้านหน้ายังถือโล่ป้องกันกระสุนไว้ สถานการณ์ที่น่าตกใจและอาฆาตแค้น
เฉินเป่ยมองตำรวจที่พุ่งเข้ามากะทันหันกลุ่มนี้อยู่ด้วยสีหน้าสงบผิดปกติ
เขาค่อยๆ จุดบุหรี่ขึ้นมวนหนึ่ง “คุณตำรวจ ผมไม่ได้ทำผิดกฎหมายอะไรสักนิด พวกคุณบุกเข้ามายิ่งใหญ่กะทันหันแบบนี้ มีเรื่องอะไรกัน?”
สวีปินไห่หัวหน้าคนหนึ่งถือปืนเอาไว้ในมือ ก้าวเท้าหนักแน่นเดินเข้ามา หมายนำจับแผ่นสีแดงใบหนึ่งยื่นมาด้านหน้าของเขาแล้ว
“เฉินเป่ย ตามที่มีบุคคลรายงานมา นายคือผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมใหญ่หลายคดี ตามคำสั่งมาจับกุมนายตอนนี้นายสามารถไม่พูดอะไรได้ คำพูดแต่ละคำของนายที่พูดมานั้น ล้วนกลายเป็นหลักฐานคำให้การ!” เสียงของสวีปินไห่เคร่งขรึมไร้ที่เปรียบ
เฉินเป่ยพ่นควันบุหรี่ออกมานิ่งๆ “ตามที่มีคนรายงาน? หลักฐานล่ะ?”
สวีปินไห่เคร่งขรึมอย่างยิ่ง ตะโกนเสียงดุ “พยานบุคคลพยานวัตถุมีครบ นายยังมีอะไรจะพูดอีก?”
ได้ยินประโยคนี้ ชั่วขณะนั้นสายตาของเฉินเป่ยแข็งขึ้นมา พยานบุคคล…พยานวัตถุ…มีครบ?
“จับไว้!” สวีปินไห่ตะโกนทีหนึ่ง
ตำรวจกลุ่มหนึ่งล้อมเข้ามาโดยตรง ปืนนับไม่ถ้วนเล็งทางเฉินเป่ย กุญแจข้อมือสีเงินแวววาวกวัดแกว่งในมือตำรวจ ตามองเห็นว่าจะล็อกเฉินเป่ยไว้แล้ว
“หยุดนะ! พวกคุณจะทำอะไร?” ทันใดนั้นด้านนอกห้องทำงานมีเสียงตะโกนลอยมา เป็นเสียงของหลีชิงเยียน
ใบหน้าหลีชิงเยียนซับซ้อนเคร่งขรึม อยากเข้ามาในห้องทำงาน ทว่ากลับถูกตำรวจกลุ่มหนึ่งสกัดไว้ด้านนอกประตูอย่างเย็นชาไร้จิตใจ
“พวกเรากำลังปฏิบัติภารกิจ พนักงานที่ไม่เกี่ยวข้องหลบไป อย่าขัดขวางการปฏิบัติงานของพวกเรา” ตำรวจกลุ่มหนึ่งพูดด้วยสีหน้าหนาวเย็นไร้ที่เปรียบ
หลีชิงเยียนโดนดักไว้นอกห้องทำงาน ใบหน้าซีดเซียวทำอะไรไม่ถูก ตะคอกใส่ตำรวจ “เฉินเป่ยเขาทำผิดอะไร? เขาเป็นคนขับรถฉัน ฉันต้องการคุยกับเขา!”
“ขอโทษครับ เสียใจด้วยที่ไม่สามารถทำตามความต้องการคุณได้! เฉินเป่ยเป็นผู้ต้องสงสัยคดีใหญ่พิเศษ ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมใหญ่มากมาย อันตรายอย่างยิ่ง เชิญคุณรีบออกไปด้วย!” ตำรวจแจ้งเตือนอย่างจริงจังเคร่งขรึม
ตอนที่ได้ยินประโยคนี้ ใบหน้าหลีชิงเยียนซีดเซียว สับสนจนเสียการควบคุมที่สุด เฉินเป่ย…ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมใหญ่? นี่……
ในเวลานี้เฉินเป่ยที่อยู่ในห้องทำงานกลับตะโกนออกไปประโยคหนึ่ง “ชิงเยียน รออยู่เฉยๆ ไม่ต้องเป็นห่วง”
นี่คือเขากำลังปลอบใจกับกล่อมให้เธอหยุด ในเวลานี้แล้ว…เขายังปลอบใจตนเอง…นึกถึงตรงนี้ ดวงตาของท่านประธานเทพธิดาก็น้ำตาคลอขึ้นมาทันที…
ในห้องทำงาน สวีปินไห่สีหน้าเคร่งขรึม ตะโกนว่า “จับเอาไว้! เอาไป!”
ซู่! โล่กำบังนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามา เล็งปืนไว้แม่น ตำรวจกลุ่มหนึ่งค่อยๆ เข้าไปใกล้ พวกเขาเห็นเฉินเป่ยเป็นเหมือนศัตรูใหญ่ที่น่ากลัวไปแล้ว
เฉินเป่ยมองตำรวจกลุ่มนี้อย่างสงบ ในสายตาของเขาไม่มีอารมณ์ใดๆ แต่สายตาที่สงบนี้ กลับทำให้เหล่าตำรวจกลุ่มหนึ่งรู้สึกหวาดวิตกแบบน่าประหลาดใจนิดๆ
สวีปินไห่สีหน้าเคร่งเครียด ตะโกนว่า “เฉินเป่ย รีบยอมให้จับโดยดี ไม่อย่างนั้นฉันไม่รับรองว่าจะวิสามัญรึเปล่า!” คำพูดนี้เหมือนข่มขู่ ข่มขู่อย่างโจ่งแจ้ง ตอนที่ตำรวจอาชญากรรมจับกุมผู้ต้องหาคดีร้ายแรง ล้วนใช้การข่มขู่ระดับนี้ทั้งนั้น ตีจิตใจของผู้ต้องหาให้กระเจิง