บทที่ 201 ผิวหนังสักหนึ่งจินราคาเท่าไร
ท่านยายฉินและคนอื่นๆ มองทั้งสองนำเอาฝักเม็ดบัวไม่กี่ก้านกลับมาแล้วพูดไม่ออก ทั้งสองใช้เวลาทั้งบ่ายด้วยกันที่บึงแล้วเก็บฝักเม็ดบัวมาเพียงไม่กี่ก้านเท่านั้นเองหรือ
เมื่อเห็นสีหน้าจนคำพูดของท่านยายฉินและคนที่เหลือ หนิงเมิ่งเหยาก็เอื้อมแตะจมูกนาง “เรากินที่เหลือหมดแล้ว”
พวกนางพากันมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างไม่อยากเชื่อ ทำให้นางนึกเขินอายแล้วหันไปขอความช่วยเหลือจากเฉียวเทียนช่าง
“ข้าวต้มเม็ดบัวไม่ต้องใช้เม็ดบัวเยอะนักหรอก” เฉียวเทียนช่างยืดอกมั่นใจมองพวกนาง
ชิงเสวี่ยและคนอื่นพากันหันไปอีกทาง พวกนางคิดว่าตั้งแต่นายน้อยแต่งงานกับคุณหนูของพวกนาง เขาก็หน้าหนาขึ้นมาเชียว และไม่ใช่หน้าหนาธรรมดาเสียด้วย
“เทียนช่าง ไปจับปลากันเถอะ” หนิงเมิ่งเหยารีบเปลี่ยนเรื่อง ถ้ายังคุยกันต่อไป เขาคงเสียอาการ
เฉียวเทียนช่างคว้าแหจับปลาแล้วเดินออกไปที่บึงอีกครั้ง หนิงเมิ่งเหยารีบไล่ตามหลัง ทิ้งท่านยายฉินและคนอื่นๆ ไว้ข้างหลัง ท่านยายฉินเพียงส่ายศีรษะแล้วเริ่มแกะฝักเม็ดบัวในมือ
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองก็จับปลาราวสองถึงสามจินกลับมา หนิงเมิ่งเหยาคิดหลังเห็นปลาพวกนั้น “ข้าว่าถึงคราวเราเอาปลาในบึงไปขายบ้างแล้ว เซียวฉีเทียนอยากได้ปลาบ้างหรือไม่”
“เขาต้องอยากได้แน่” เฉียวเทียนช่างผงกศีรษะ หลังจากทราบว่าพวกเขาเลี้ยงปลาและยังปลูกฝักเม็ดบัวด้วย ชายผู้นั้นก็บอกว่าอยากได้บ้างเช่นกัน
“เช่นนั้นก็ให้เขาส่งคนมาเมื่อถึงตอนนั้นแล้วกัน”
“ตกลง”
ทั้งสองเดินพลางพูดคุยอย่างสนิทสนมขณะมุ่งหน้าไปยังครัว
ส่วนใหญ่เหล่าข้ารับใช้จะไม่เข้าไปยุ่งตอนทั้งสองเข้าไปในครัว
หลังมื้อเย็น ทั้งเฉียวเทียนช่างและหนิงเมิ่งเหยาต่างเข้าไปในห้องหนังสือใต้หลังคาเพื่ออ่านหนังสือ เฉียวเทียนช่างติดต่อเซียวฉีเทียนเพื่อบอกข่าวเรื่องพร้อมจะส่งปลาออกจากบึงในไม่ช้า
สองวันให้หลัง เซียวฉีเทียนพาข้ารับใช้จำนวนหนึ่งมาหาหนิงเมิ่งเหยาผู้ตกตะลึง “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“ไม่ใช่เจ้าบอกว่าปลาพร้อมแล้วหรือ”
หนิงเมิ่งเหยาไม่อยากคุยกับเจ้าทึ่มคนนี้ นางจึงหันไปหาเฉียวเทียนช่าง ชัดเจนว่ากำลังบอกให้เขาจัดการเอง
เฉียวเทียนช่างปรายตาแหลมคมมองเซียวฉีเทียน “ข้าหมายถึงหลังจากนี้สักเดือน”
เซียวฉีเทียนจ้องเฉียวเทียนช่างด้วยแววตาเหม่อลอย “แล้วเจ้าบอกข้าหรือเปล่าว่าใช้เวลาอีกสักเดือน ทำไมข้าจำไม่เห็นได้”
ปราศจากซึ่งความกระตือรือร้นใดๆ เฉียวเทียนช่างเองก็ไม่อยากคุยกับอีกฝ่ายนานนัก “ปูเองก็จะพร้อมในอีกหนึ่งเดือน ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยมาแล้วกัน”
“เจ้าจะไล่ข้าไปทันทีที่ข้าเพิ่งมาถึงอย่างนั้นรึ”
“จะให้ข้าทำอะไรอื่นเล่า” เฉียวเทียนช่างมองเซียวฉีเทียนอย่างเหยียดหยาม
เซียวฉีเทียนปวดเศียรเวียนเกล้า “เฉียวเทียนช่าง เจ้าอย่าใจร้ายนักได้หรือไม่”
“ไม่ได้หรอก เพราะข้าต้องเห็นด้วยกับภรรยาของข้า” เฉียวเทียนช่างอาจหาญบอกเขากลับ
เซียวฉีเทียนได้ยินแล้วนึกโกรธ จากนั้นก็หัวเราะ เขายื่นมือสั่นเทาชี้ไปที่เฉียวเทียนช่าง “ดูพูดเข้า นี่หนิงเมิ่งเหยาคอยค้ำจุนเจ้าหรือกลับกันกันแน่”
แม้จะโดนสงสัยในศักยภาพ เฉียวเทียนช่างก็หาได้โกรธเคืองไม่ เขายังยิ้มแย้มกล่าวไป “เจ้าอิจฉาที่ข้ามีภรรยาเก่งฉกาจหรือ แต่อิจฉาไปก็ไม่ช่วยอะไรเจ้าหรอกนะ” เซียวฉีเทียนส่ายศีรษะแล้วเอ่ย “เทียนช่าง ข้ารู้ว่าเจ้าหนังหน้าหนาขึ้นตั้งแต่แต่งงานมา” เขายืดอกรับถ้อยคำเหล่านั้นแทนที่จะโกรธ เซียวฉีเทียนนึกอยากอัดเขายิ่งนักพอได้เห็นสีหน้านั่นแล้ว
เฉียวเทียนช่างปั้นหน้าดูหมิ่นใส่เซียวฉีเทียน “ข้ามีภรรยาแล้ว จะต้องมีหน้าไปทำไม สักจินหนึ่งจะได้ราคาเท่าไรเล่า ข้าจะได้ขายให้เจ้า”
เซียวฉีเทียนเป๋ไปจนเกือบล้มลงกับพื้น นี่ใช่เฉียวเทียนช่างที่พวกเขารู้จักจริงหรือ รึเขาโดนสับเปลี่ยนตัวกับใครอื่นเสียแล้ว
แม้หนิงเมิ่งเหยาจะชื่นมื่นที่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น แต่นางก็เอื้อมมือไปลูบมือเขาเพื่อถนอมน้ำใจสามี “พอได้แล้ว”
“ย่อมได้”
“เทียนช่าง เจ้าไม่ต้องว่านอนสอนง่ายนักก็ได้ จริงๆ เลย” เซียวฉีเทียนจดจ้องมองเฉียวเทียนช่างให้เต็มตา
เฉียวเทียนช่างไม่อยากจะรับมือคนผู้นี้ในตอนนี้ เพราะเขามาที่นี่เพียงเพื่อหาเรื่องให้คู่สามีภรรยาทะเลาะกัน
โชคยังดีที่เซียวฉีเทียนไม่รู้ว่าเฉียวเทียนช่างคิดอะไรอยู่ ไม่เช่นนั้นเขาคงกระอักเลือดเพราะไม่เคยเจอคนหน้าหนาเช่นนี้มาก่อน
บทที่ 202 เฉียวเทียนอวี๋มาถึงแล้ว
เซียวฉีเทียนไม่อยากก่อกวนไปมากกว่านี้จึงเปลี่ยนเรื่อง “เซียวจื่อเซวียนได้ลูกชาย สถานะของนางตอนนี้เลื่อนจากอนุภรรยาเป็นภรรยารองแล้ว”
“อย่างนั้นรึ” เฉียวเทียนช่างดูไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าใดนัก เขาตอบอย่างขอไปทีโดยไม่สนใจอีกฝ่ายเลย
เซียวฉีเทียนขมวดคิ้ว “พวกเจ้าทั้งสองคนต้องระวังให้ดีนะ นางผู้นั้นไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปหรอก”
“ข้ารู้” เฉียวเทียนช่างผงกศีรษะลง
ในเมื่อเขาก็ได้พูดไปแล้ว เซียวฉีเทียนไม่มีอะไรอื่นจะกล่าวอีก เขาทำได้เพียงไหวไหล่แล้วเงียบปาก
เซียวฉีเทียนอยู่ที่นั่นอีกครู่หนึ่งก่อนเดินทางกลับ ทว่าตอนที่เขากลับไปถึงก็มีข่าวที่ไม่คาดฝันมาถึงเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว
ท่านลุงคนนั้นของเขาสร้างปัญหาให้เสียแล้ว แม้จะไม่โจ่งแจ้ง แต่เขาก็ลอบหาปัญหามาให้ธุรกิจของเขา
“ท่านพี่ ดูท่าท่านลุงของพวกเราจะไม่ได้ไร้พิษสงอย่างตาเห็น” เซียวฉีเทียนกล่าวน้ำเสียงประชดประชัน
“มีอะไรหรือ”
“ไม่มีหรอก ถ้าเขาแตะข้าได้ ข้าคงไม่ได้ทำการค้าของข้าแล้ว” เซียวฉีเทียนกล่าวอย่างชิงชัง
เขาไม่มีหัวด้านการเมือง แต่ช่ำชองการทำการค้า นอกจากหนิงเมิ่งเหยาแล้วไม่มีใครเทียบเขาได้ ถ้าคนพวกนั้นอยากจะใช้เรื่องค้าขายบดขยี้เขา เขาก็อยากจะเห็นนักว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะ
“ท่านพี่ ท่านเตรียมชมเรื่องสนุกได้เลย” เซียวฉีเทียนบอก
ถ้าคนพวกนั้นกล้ามาแตะเขา ก็ย่อมต้องเตรียมตัวชดใช้ให้สมน้ำสมเนื้อ
เซียวชวี่เฟิงเงยหน้าขึ้นมองแล้วลอบคิดอย่างเงียบงัน ดูแล้วน้องชายของเขาโกรธมาก ท่าทางครานี้ชายผู้นั้นจะเจอปัญหาใหญ่เสียแล้ว
เฉียวเทียนช่างเปิดประตูออกมาเจอใครคนหนึ่งยืนอยู่ สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“พี่สาม ท่านพ่อต้องการให้ท่านกลับไป” เฉียวเทียนอวี๋น้ำเสียงห่างเหิน ดุจว่าไร้อารมณ์ใดๆ
เฉียวเทียนช่างมองเฉียวเทียนอวี๋แล้วบิดปากดูคล้ายรอยยิ้ม “เขาอยากให้ข้ากลับไปอย่างนั้นหรือ เขามีอำนาจอะไรมาสั่งให้ข้ากลับไปกันเล่า” หรือก็คือ ชายผู้นั้นมีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้เขากลับไป
เฉียวเทียนอวี๋เงียบไป สายตาเขามองเลยไปยังด้านหลังเฉียวเทียนช่าง หญิงนางนั้นโฉมสะคราญนัก
“เทียนช่าง ใครหรือ”
“ไม่สำคัญ เจ้าพร้อมหรือยัง ไปกันเถอะ”
“ได้” หนิงเมิ่งเหยาเบือนหน้าจากเฉียวเทียนอวี๋แล้วเดินตามเฉียวเทียนช่างอยู่ข้างๆ ไปยังหลังเขา
เฉียวเทียนอวี๋ไม่ได้ตามทั้งสองไป เขาเพียงจ้องมองจนทั้งสองเดินไปด้วยกันอย่างคนชิดใกล้
พี่ชายเขาแต่งงานโดยไม่บอกใครอย่างนั้นหรือ
บางทีเขาอาจใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ได้
ครั้งนี้เขาได้รับคำสั่งถึงตาย ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องพาเฉียวเทียนช่างกลับไปให้จงได้
เขารู้ดีว่าเฉียวเจิ้งหงมีเจตนาเช่นไร เขาอยากจะใช้ประโยชน์จากสถานะของเฉียวเทียนช่างเพื่อกู้อำนาจตัวเองกลับมามิใช่หรือ
แต่พอเห็นเฉียวเทียนช่างเช่นนี้แล้ว เป็นไปได้ว่าแผนของเขาจะล้มเหลวไม่เป็นท่า
เฉียวเทียนอวี๋กลับเข้าไปในตัวเมือง ดูท่าแล้วเขาจะต้องคิดทบทวนอีกหน่อยถ้าอยากจะพาตัวชายหนุ่มไป
“เทียนช่าง เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” หนิงเมิ่งเหยามายืนข้างหน้าเฉียวเทียนช่างแล้วมองเขาด้วยสายตาเป็นกังวล
ตั้งแต่ออกมา เขาเงียบตลอดทาง ถึงนางจะถามไถ่เขา จิตใจเขาก็ลอยไปไกลนัก
“คนผู้นั้นคือเฉียวเทียนอวี๋” เฉียวเทียนช่างบอกหนิงเมิ่งเหยาน้ำเสียงจริงจังหลังจากเงียบมาพักใหญ่
หนิงเมิ่งเหยาชะงักไป “เขาคือเฉียวเทียนอวี๋”
“ใช่”
“และเจ้ากังวลใช่หรือไม่”
เฉียวเทียนช่างจับมือหนิงเมิ่งเหยาขณะทั้งสองเดินไปยังป่าเขียวชอุ่ม “ใช่ เขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เขารู้ถึงการมีอยู่ของเจ้าแล้ว อีกไม่นานก็คงจะรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา ข้าเกรงว่าเขาจะมายุ่มย่ามกับเจ้า”
เขาไม่ห่วงเรื่องอื่นใด นอกจากว่าอาจมีอะไรเกิดขึ้นกับหนิงเมิ่งเหยา
“ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าจะระวังตัว”
เฉียวเทียนช่างยิ้ม แต่ไม่ได้สบายใจเท่าไรนัก
“อย่าห่วงเรื่องข้าเลย ข้าไม่ได้อ่อนแออย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ” หนิงเมิ่งเหยารู้สึกอบอุ่นในใจที่เขาคอยห่วงหา แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาคิดมากเกินไปทุกครั้งเวลาเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวนาง
เฉียวเทียนช่างดึงหนิงเมิ่งเหยาเข้ามากอด “ข้ารู้ แต่ข้าก็ยังเป็นห่วงเจ้าอยู่ดี”
“อย่ากังวลนักเลย ข้าไม่โดนรังแกง่ายๆ หรอก” ถ้านางโดนข่มเหงง่าย นางคงไม่ประสบความสำเร็จเฉกเช่นทุกวันนี้
เฉียวเทียนช่างหัวเราะเสียงแผ่วเบา เขาเข้าใจว่านางหมายถึงอะไร
“ไปกันเถอะ อย่าพูดเรื่องนี้กันอีกเลย เรามาเก็บผลไม้ป่ากันไม่ใช่หรือ”
“จริงด้วย ไปกันเถอะ”