“เจ้าเป็นคนทำหรือ” ฝู่เฉิงบนรถขบวนแห่เดิมทีจะโมโหโกรธา พอมองโฉมหน้าของจิ่งเหิงปัวจนชัดเจนในปราดเดียว น้ำเสียงอ่อนโยนลงไปมากในทันที
“หา?” จิ่งเหิงปัวกำลังเป็นผู้กำลังชมเรื่องราวทว่าหายนะมาจากข้างกาย งงงันไปชั่วครู่ก่อนกล่าวว่า “นี่ ผิดคนแล้วกระมัง ข้าห่างสองนางนั่นตั้งแปดจั้งนะ ข้าจะทำให้พวกนางสองคนสลบไสลได้อย่างไร”
ทุกคนมองดูแล้วคิดเช่นเดียวกัน มวลชนจ้องมองไม่มีผู้ใดประชิดใกล้รถขบวนแห่ สตรีนางนี้คงมิอาจกระทำอันใดได้
แต่จิ่งเหิงปัวกลับใจฝ่ออยู่บ้าง…ถ้ามารผกาเสี่ยวเฟิ่งหวงนั้นฟื้นขึ้นมาชี้ไปที่นางเอ่ยว่า ‘ปีศาจ’ เพียงคำเดียว ชั่วพริบตาต่อมานางจะถูกฝูงชนกลบกลืน ฝูงชนหนาแน่นขนาดนี้เคลื่อนย้ายหายตัวได้ไม่ไกลซ้ำยิ่งถูกหาว่าเป็นปีศาจแล้วถูกรุมทำร้าย
กลัวอย่างไหนได้อย่างนั้น
เสี่ยวเฟิ่งหวงที่ถูกคนประคองขึ้นจับผู้อื่นนั้นเอ่ยเสียงอ่อนระโหยเสียงหนึ่งโดยพลัน ถอนหายใจเชื่องช้าค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา แวบแรกมองเห็นจิ่งเหิงปัวที่ถูกลากมาเบื้องหน้ารถก็ชะงักงัน สีหน้าเปลี่ยนไปพลางยกมือสั่นไหวชี้ไปที่นางเอ่ยว่า “ปี…”
“ปีศาจเจ้ายังกล้าเป็น!” จิ่งเหิงปัวขัดจังหวะวาจาของนางในคำเดียว ถลกกระโปรงครั้งหนึ่งก้าวขึ้นรถขบวนแห่แล้วเตะเข้าไปที่เอวของนางเท้าหนึ่งกล่าวว่า “ระบำแย่เช่นนี้เจ้ายังกล้าร่ายรำซ้ำยังมิกลัวจะอับอายขายหน้า! ขยับไป! มารผกานี่พี่เป็นเอง! พี่จะให้เจ้าดูว่าสิ่งใดเรียกว่ามารอันดับหนึ่งซึ่งบุญญายิ่งใหญ่จารไว้ในประวัติศาสตร์ สะท้านเทือนฟ้าดินโศภินล้ำโลกา!”
เสี่ยวเฟิ่งหวงผู้น่าสงสารเดิมทีก็กึ่งสลบกึ่งตื่น พอถูกผู้อื่นด่าทอต่อว่าโครมๆ เช่นนี้เพียงครั้ง ดวงตากลอกขึ้นสลบไสลไปอีกครั้ง
ฝู่เฉิงผู้นั้นจะต่อว่า พอมองดูใบหน้าของจิ่งเหิงปัวโดยละเอียดแววตาก็สั่นไหวขึ้นมา พยักหน้าเอ่ยว่า “เอ่ยวาจาใหญ่โตนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าก็ขึ้นมาเป็นมารผกานางนี้! ทำได้ดีมีความชอบไร้ความผิด ทำไม่ดีลงโทษทวีคูณ!”
จิ่งเหิงปัวหันหน้ามองดูฝูงชน เฮ้ย! คนเยอะจัง! ด้านในแปดชั้นด้านนอกแปดชั้น ท่าทางอย่างนี้หนีก็หนีไม่รอด หายตัวก็หายตัวไม่ได้
เช่นนั้นก็เป็นละกัน
นางดีใจที่วันนี้แม้ว่าข้างในไม่ได้ใส่ชุดกระโปรงของตนเองแต่กระโปรงยาวภายนอกยังแก้ทรงไว้ ตอนนี้ทุกชุดออกแบบให้รัดเอวแนบเนื้อ ถ้าดึงตะเข็บกระโปรงออกจะเต้นรำขึ้นมาคงไม่มีปัญหาอะไร
ให้คนบ้านนอกเขตซีเอ้อพวกนี้ได้รู้จะระบำเลิศล้ำทั่วหล้าขององค์ราชินีสักหน่อยเถอะ!
‘พระนางนั่งผกา’ ปีนขึ้นมาอีกครั้งด้วยมีผู้ประคองขึ้นมา นางกลับไม่ได้เป็นอะไรหนักหนาเพียงสะดุดล้มครั้งหนึ่ง อย่างไรเสียนางก็ไม่จำเป็นต้องทำท่าทางอะไร เพียงจะต้องนั่งลงบนดอกไม้ใหญ่ที่จัดเตรียมไว้พร้อมสรรพในฉากสุดท้ายเท่านั้น ยามนั้นจึงคิดจะยืนหยัดจนถึงที่สุด
แต่จิ่งเหิงปัวกลับไม่พอใจเสียแล้ว
มารผกาต้องร่ายรำรอบพระนางนั่งผกา แต่นางไม่พอใจที่ต้องเต้นรำล้อมรอบสตรีที่เหมือนท่อนไม้ขนาดนี้
เมื่อกล่าวถึงนิสัยหยิ่งยโสในกลุ่มสี่คน จิ่งเหิงปัวกับไท่สื่อหลันเทียบกันได้ คนหนึ่งคิดว่าสิ่งมีชีวิตทั่วโลกล้วนโง่เขลา อีกคนหนึ่งคิดว่าสิ่งมีชีวิตโดยธรรมชาติมีแค่ฉันที่งดงามดั่งดอกไม้
จิ่งเหิงปัวคิดว่าถ้าพูดถึงเรื่องหน้าตา ผู้หญิงทั่วโลกเป็นได้แค่ตัวประกอบของนาง นางจะไปเป็นตัวประกอบของคนอื่นได้อย่างไร
“ข้าจะไม่ร่ายรำล้อมกายนาง” นางคัดค้าน สายตาล่องลอยไปมาท่ามกลางฝูงชนคิดอยากจะหาพระนางนั่งผกาสักนางที่มองแล้วเข้าตา ถ้าไม่สวยมากพอจนทำให้นางยอมรับก็ต้องขี้เหร่มากพอจะขับความสวยของนางให้เด่นขึ้น
เงาคนสายหนึ่งพลันปรากฏกายหน้ารถขบวนแห่ปานสายฟ้า ผู้มาถึงยื่นมือขึ้นมาได้ก็ลากนางไว้พลางเอ่ยว่า “ลงมา!”
ดวงตาของจิ่งเหิงปัวสว่างวูบ
…
“สตรีนางนั้นมาจากที่ใด คือผู้ใด ไม่คล้ายคนที่นี่ ปรากฏกายขึ้นมาได้อย่างไร จงรีบไปสืบมา!” กษัตริย์เทียนหนานบนหอหลากสีใกล้จะบ้าคลั่ง
เงาดำสายหนึ่งขยับเข้ามาเชื่องช้า มือดุจหยกขาวยาวเรียวคู่หนึ่งกุมบนไหล่ของนางแผ่วเบา
“เหตุใดจึงโกรธขึ้นมาโดยพลัน” เขาเอ่ยวาจานุ่มนวลข้างหูนางพลางเป่าลมข้างใบหูของนางแผ่วเบา หางตามองไปยังรถขบวนแห่บนถนนปราดเดียวคล้ายไม่ได้ใส่ใจ สายตาประกายวูบผุดเผยรอยยิ้มลึกลับสายหนึ่ง
“ไม่มีเรื่องใด” กษัตริย์เทียนหนานฝืนยิ้มครั้งหนึ่งหงายมือคว้ามือของเขาไว้ มองเข้าไปในดวงตาของเขาอย่างไม่สบายใจเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่าสตรีเบื้องล่างนางนั้นคล้ายสายสืบยิ่งนัก…เจ้าดูสิคล้ายหรือไม่”
“อ้อ” บุรุษกวาดสายตาปราดเดียวอย่างไม่สนใจใยดี คล้ายไร้ความสนใจแม้แต่น้อยต่อสตรีเบื้องล่างพลางเอ่ยว่า “พระองค์มองว่าคล้าย เช่นนั้นคงคล้ายเสียแล้ว”
เขาเฉยเมยต่อรูปโฉมของจิ่งเหิงปัวพาให้กษัตริย์เทียนหนานอารมณ์ดียิ่งนัก
“ในเมื่อเป็นสายสืบย่อมต้องจับมาสอบสวนให้เต็มที่” กษัตริย์เทียนหนานขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ร่องฟันคล้ายมิได้ขบเคี้ยววาจาทว่าคล้ายขบเคี้ยวใบหน้างดงามแต่กำเนิดนั้นของจิ่งเหิงปัว
“เช่นนี้ย่อมดีแน่” บุรุษยังคงเกียจคร้าน คิ้วเลิกขึ้นเพียงน้อยสายตาเฉียดผ่านจากร่างของสตรีเบื้องล่าง
จากนั้นเขาชะงักเล็กน้อย สายตาทอดลงบนร่างเงาขาวสายหนึ่งที่ปรากฏกายไวว่องท่ามกลางฝูงชน แนววิถีการเดินท่ามกลางฝูงชนของเงาขาวดุจสายฟ้าสายลม เงานั้นอาศัยรอยแยกฝูงชนประชิดใกล้รถขบวนแห่อย่างแผ่วเบา ผู้คนบริเวณนั้นขยับเขยื้อนเป็นกลุ่มทว่าไร้ผู้รับรู้
คิ้วของบุรุษชุดดำเลิกขึ้นเพียงน้อย เรือนร่างหลบไปทางข้างหลัง มือทอดลงบนไหล่ของกษัตริย์เทียนหนานเบาๆ ประคองนางขยับมาบังเบื้องหน้าตนเองอย่างแผ่วเบา
กษัตริย์เทียนหนานฉวยโอกาสหัวเราะคิกคักพักพิงตรงไหล่ของเขา นิ้วมือชี้ไปยังจิ่งเหิงปัวเอ่ยกับองครักษ์ว่า “จับสตรีนางนั้นมา…อ๊ะ ผู้สวมชุดขาวนั้นคือผู้ใด บุรุษนั้นรูปงามยิ่งนัก!”
น้ำเสียงของนางกึกก้องด้วยความดีใจระคนแปลกใจยิ่งใหญ่มหึมาโดยพลัน
…
“ลงมา!”
เมื่อจิ่งเหิงปัวได้ยินน้ำเสียงนี้ก็รู้ว่ามหาเทพกงมาถึงแล้ว
“ทุกท่านที่รัก” นางไม่สนใจกงอิ้นแม้แต่น้อย มือข้างหนึ่งเกาะกุมเสาประดับยิ้มแย้มชม้ายชายตาให้มวลชนครั้งหนึ่งพลางกล่าวว่า “อยากชมข้าร่ายรำหรือไม่”
“อยาก!” เสียงตอบกลับดังก้องยิ่งกว่า โดยเฉพาะบุรุษอ่อนเยาว์ยิ่งขานรับอย่างกระตือรือร้น
“ทว่าสามีของข้าไม่ให้ข้าร่ายรำน่ะสิ…” จิ่งเหิงปัวแบะปากไปยังทิศทางของกงอิ้นกล่าวว่า “ข้าร่ายรำแล้วเขาจะจับข้ากลับไป ซ้ำยังบังคับข้าร่ายรำให้ผู้คนมากกว่านี้ชม ข้ากลัวจังเลย…”
“สามี” สองคำเข้าหู ฝีก้าวที่กงอิ้นยกขึ้นมาชะงักงัน
เขาหลุบตาต่ำโดยพลัน ขนตาหนาแน่นบดบังสายตาดุจระลอกคลื่นใต้น้ำยามนี้
“ยังมีบุรุษเช่นนี้ด้วย!” ฝูงชนฟังแล้วโกรธจนหน้าเขียวหน้านิ่วคิ้วขมวดตะโกนว่า “ลากออกมากระทืบ!”
คนกลุ่มหนึ่งมองตามสายตาของจิ่งเหิงปัวพานพบกงอิ้น ในพริบตาเดียวพลันรู้สึกว่าถูกยั่วยุอารมณ์ มีผู้กำมือไว้เดิมทีหวังจะพุ่งเข้ามาทว่าบรรยากาศสูงส่งเยือกแข็งของกงอิ้นพาให้ผู้คนเพียงเห็นก็เกิดความกลัว สืบเท้าออกมาก้าวหนึ่งแล้วถอยเท้ากลับไปสองก้าว
“อ๊ะ อย่า อย่านะ” จิ่งเหิงปัวไม่กลัวมหาเทพถูกทำร้าย แต่กลัวมหาเทพโกรธาทำลายทั้งเมือง รีบเร่งยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ที่จริงสามีชอบดูข้าร่ายรำเช่นกันนะ เพียงไม่ชอบที่ข้าแสดงต่อหน้าทุกคน พวกเจ้าน่ะ หากให้เขาขึ้นมาได้ ให้เขาขึ้นมานั่งเป็นพระนางนั่งผกานางนี้ได้ ข้าร่ายรำล้อมรอบเขา เขาย่อมไม่มีความเห็นแล้ว”
นางเท้าคางยิ้มแย้มมองกงอิ้น อยากจูงเขาขึ้นมาเป็นความคิดชั่ววูบ อยากยั่วเย้ามหาเทพอิ้นผู้สูงส่งปานหิมะบนยอดภูผา ถ้าเป็นพระนางนั่งผกาขึ้นมาจริงๆ จะน่าสนุกแค่ไหนนะ อีกด้านหนึ่งหลังจากกงอิ้นขึ้นมาจะพานางหนีไปก็สะดวก ปีศาจที่ล่องไปลอยมาก็จะกลายเป็นกงอิ้นไม่ใช่นาง ส่วนอีกด้านหนึ่ง…ระบำรูดเสาระบำหน้าท้องระบำฮาวายของนางยังไม่เคยเต้นให้เขาดูเลยนะ!
แต่ว่านางใช้นิ้วมือคิดยังรู้ว่าระดับความร่วมมือของมหาเทพเท่ากับศูนย์ มองเขายืนอยู่ที่นั่นด้วยสภาพคนเป็นห้ามเข้าใกล้ รอบกายไกลห่างว่างเปล่าสามนิ้วโดยอัตโนมัติ ใครกล้าฝืนใจเขา
“ชายชาตรีผู้หนึ่งเหตุใดจึงก้าวก่ายสตรีมากมายเยี่ยงนั้น” มหาเทพไร้ระดับความร่วมมือทว่าสามัญชนย่อมมีปัญญาของสามัญชนเอง พลันมีบุรุษหลายคนพุ่งมาจากด้านหลังของกงอิ้นพุ่งศีรษะไปทางกงอิ้น
จิ่งเหิงปัวมองเห็นมือของกงอิ้นพลันยกขึ้นมาได้ชัดเจน ระหว่างนิ้วคล้ายอบอวลด้วยไอเยือกเย็นเบาบางทว่าวางลงไปในพริบตา
จิ่งเหิงปัววางใจว่ากงอิ้นมีหลักการดังคาด เขาสุขุมรอบคอบแต่ไหนแต่ไรคงจะไม่ยอมก่อความวุ่นวายทำร้ายคนที่ต่างแคว้นนี้แน่นอน
เพียงแต่การชะงักเพียงครั้งนี้ทำให้ผู้คนได้กำลังใจ คลื่นฝูงชนพลันผลักทะลักล้นเข้ามาผลักกงอิ้นจนโซเซหนึ่งครั้งทั้งอย่างนั้น ร่างเขาประชิดใกล้รถขบวนแห่ มหัศจรรย์ที่ว่าท่ามกลางผู้คนที่ผลักเขายังมีสตรีไม่น้อยแอบซ่อนแฝงบดบัง
รูปโฉมงดงามอยู่ที่ไหนล้วนได้รับความนิยม สายตาของผู้คนนับมิถ้วนแวววาวชื่นชมการแสดงของ ‘สามีภรรยา’ รูปงามคู่นี้ด้วยท่าทีสนใจไม่เบา
“เจ้าก็พยายามนั่งๆ สักหน่อย ให้พวกเราได้ดูโฉมงามร่ายรำ!” ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นมาเสียงหนึ่ง คนกลุ่มใหญ่พุ่งขึ้นมาผลักกงอิ้นไปบื้องหน้า ยังมีผู้กระโดดขึ้นไปบนรถนานแล้วลาก“พระนางนั่งผกา” ผู้โชคร้ายลงมาร้องว่า “ถอยมา! ถอยมา! พวกเราจะชมโฉมงาม!”
จิ่งเหิงปัวยิ้มอย่างดีใจมากยิ่งขึ้น มองมหาเทพกงแพ้พ่ายสะใจจัง
คลื่นฝูงชนโหมซัดสาด คนนับร้อยพันเบียดกงอิ้นไปเบื้องหน้ารถขบวนแห่ทั้งอย่างนั้นในทันที ชั่วครู่ก่อนกำลังจะถูกเบียดขึ้นรถไป มือของกงอิ้นยกขึ้นเพียงครั้งจับริมขอบรถขบวนแห่ดังเพี้ยะเสียงหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวมองเห็นเขาหลุบตาต่ำ ปลายนิ้วออกสีขาวน้อยๆ ด้วยใช้แรง สีหน้าคล้ายกำลังอดทนอดกลั้นแลคล้ายกำลังลังเล ขนตาหนาแน่นสยายลงมาดุจแสงทิวาวนเวียนหน้าผากงามโชติช่วงด้วยความพร่างพราวยวดยิ่ง
นางรู้สึกทันทีว่าเขาเป็นแบบนี้แล้วน่ารักจัง
ความรู้สึกเช่นนี้แปลกประหลาดมาก กงอิ้นผู้ดุจหิมะบนผาสูงโดดเดี่ยวปานน้ำแข็ง แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยแปดเปื้อนผงธุลีอุปนิสัยหนึ่งในใต้ฟ้า ใครก็ไม่กล้าใช้คำศัพท์ที่เปี่ยมด้วยความธรรมดาบนโลกมนุษย์เหล่านั้นพรรณนาถึงเขาด้วยรู้สึกว่านั่นคือการดูหมิ่น แต่ขณะนี้จิ่งเหิงปัวรู้สึกเพียงว่าดวงตาของเขาที่หลุบต่ำเผยความงงงวยเล็กน้อยและการปฏิเสธเบาบางทั่วร่างนั้นเปี่ยมด้วยความเย้ายวนเป็นเอกลักษณ์ยั่วเย้าให้ใจนางสั่นไหว
อยากจะเต้นรำรอบกายเขาสักครั้งต่อหน้าผู้คนขึ้นมาในทันที ให้มีเพียงเขาคนเดียวได้มองเห็นความงามของนางอย่างแจ่มชัดท่ามกลางทุกผู้คน
ก่อนตนเองจะรู้สึกตัวขึ้นมา นางย่อกายลงยื่นมือออกไป
กงอิ้นกำลังครุ่นคิดว่าชั่วพริบตาต่อมาจะลงมือหรือว่าลักพาตัวสตรีวุนวายนางนี้ไปเลยดี พลันเบื้องหน้ามีมือข้างหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
มือขาวบริสุทธิ์ ปลายนิ้วเรียวยาว เล็บสดใสนุ่มลื่นทอประกายวิบวับประหลาดสีม่วงอ่อนงามประณีตดุจงานสลักของครูผู้เลื่องชื่อ
ท่วงท่าเชื้อเชิญครั้งหนึ่ง
เขาค่อยๆ ช้อนสายตาขึ้นมามองเข้าไปในนัยน์ตาธาราหลั่งไหลของนางซึ่งเจือด้วยรอยยิ้มแพรวพราวให้กำลังใจเล็กน้อย สนิทสนมแลมีชีวิตชีวา แววตาสายหนึ่งนั้นคล้ายมัจฉาตัวน้อยว่ายวนเข้าไปในดวงทหัยของเขา
เขายิ่งไม่ยินยอมพร้อมใจขึ้นมาโดยพลัน
ร่ายรำย่อมได้ ทว่าร่ายรำให้ผู้คนมากมายเช่นนี้เชยชม…ไม่ได้!
เขายื่นมือเตรียมจะลากนางลงมา เคลื่อนกายจากไปหาที่ใดสักแห่งก็ได้แล้วลงโทษนางอีกครั้ง
…
บนหอหลากสีเงียบงันไร้สรรพเสียง
กษัตริย์เทียนหนานจับตามองกงอิ้น ฟันขาวกัดกรอดทว่าควบคุมทั่วร่างที่กำลังสั่นเทาด้วยตื่นเต้นดีใจไว้มิได้
นิ้วมือของผู้ชุดดำหยุดอยู่บนผมของนางทว่าดวงตามองไปเบื้องล่างหอหลากสีอย่างควบคุมมิได้ มองเห็นกงอิ้นถูกผลักเข้าไปใกล้รถขบวนแห่พอดี ส่วนสตรีนางนั้นพลันย่อกายลงยื่นมือออกไปให้กงอิ้น
จากมุมสายตาของเขามองเห็นสีหน้าของกงอิ้นพอดี
ดวงตาของผู้ชุดดำขยับเพียงครั้งโดยพลัน เอนกายออกไปเบื้องหน้าโดยสำนึก หวังจะเพ่งมองสีหน้าของศัตรูการเมืองตัวฉกาจที่สุดในยามนี้ให้ชัดแจ้ง
ใต้การเอนกายเพียงครั้ง เขาพลันรู้สึกตัวรีบเร่งถอยกายไปด้านหลังอีกครั้ง
ทว่าเบื้องล่างหอนั้นกงอิ้นเงยหน้าโดยพลัน สายตาดุจสายฟ้ากวาดมาทางหอหลากสีเสียแล้ว!
…
นิ้วมือของจิ่งเหิงปัวสัมผัสถึงมือของกงอิ้นแล้ว นางรู้สึกได้ถึงแรงฉุดจากกงอิ้น เข้าใจในทันทีว่าเขายังคงไม่ยอมร่วมมือจึงอดจะถอนหายใจเบาๆ เสียงหนึ่งในใจไม่ได้…ระบำนี้คงจะเต้นไม่สำเร็จแล้ว
ทว่าตอนนี้นี่เองกงอิ้นเงยหน้าโดยพลัน สายตากวาดไปสักแห่งหนึ่งข้างบน
จิ่งเหิงปัวใจเต้นตึกตักจับตามองกงอิ้น
สายตาของกงอิ้นกวาดไปด้านบนหอหลากสีอย่างแม่นยำ มองเห็นเพียงสตรีนางหนึ่งบดบังด้วยม่านคลุมหน้าครึ่งหนึ่งคล้ายกำลังชม้ายชายตามาทางเขา
กงอิ้นขมวดคิ้ว เขามองปราดเดียวก็รู้ว่าสตรีนางนี้ไม่มีวรยุทธและมิได้คุกคาม เช่นนั้นลางสังหรณ์เตือนภัยเมื่อครู่มาจากที่ใด
ที่สุดแล้วในใจยังมีความรู้สึกประหลาดอยู่บ้าง เขาครุ่นคิดชั่วครู่ยกมือครั้งหนึ่งรับมือของจิ่งเหิงปัวไว้แล้วกระโดดขึ้นมาเพียงครั้งอย่างแผ่วเบา
จิ่งเหิงปัวมองเขาขึ้นบนเวทีจริงๆ ด้วยท่าทางปากอ้าตาค้าง
มหาเทพย่อมเป็นมหาเทพ แม้ว่าไม่ยินยอมในทุกสิ่งทว่ายามขึ้นเวทีจริงๆ ยังสุขุมเยือกเย็น มิต้องให้มีผู้ใดเชื้อเชิญหันกายเพียงครั้งนั่งลงบนตำแหน่งของพระนางนั่งผกา สีหน้าท่าทางนั้นดุจดังขึ้นประทับบนบัลลังก์แห่งตำหนักอวี้จ้าวของเขา
จากนั้นคางของเขาเชิดขึ้นมามิได้สนใจฝูงชนที่พลันเงียบงัน เอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยกับจิ่งเหิงปัวผู้งงงันไปเสียแล้วว่า “ร่ายรำเถิด”