นางรู้สึกเพียงว่าอบอุ่น ดีใจ สบายใจและปลาบปลื้มจนอยากจะเงยหน้าตะโกนขึ้นฟ้า ร้องเพลงรักแม่งสักสามร้อยเพลง!
แน่นอนว่านางร้องไม่ได้ นางเพียงแต่กะพริบตา ปลายนิ้ววาดลงบนฝ่ามือเขา
เขากลับคล้ายอดรนทนไม่ไหว ฝ่ามือใช้แรงเล็กน้อยซ้ำยังลากนางออกมาหลายก้าวอย่างไร้ซึ่งอารมณ์ขนาดนั้น
จิ่งเหิงปัวก็ไม่ได้โกรธเคือง ยิ้มแย้มก้มหน้าเล็กน้อย ก้าวออกจากรถม้า ดวงตาเผชิญกับชายผ้าสีขาวราวหิมะของเขาพอดี อยากจะนอนลงไปทั้งอย่างนั้น กอดขาอ่อนเขากลิ้งไปมาสามรอบอย่างเอาอกเอาใจ กล่าวสักคำว่ามหาเทพมหาเทพนายเย่อหยิ่งได้น่ารักตะมุตะมิจังเลย
อารมณ์ดีเกินไป นางยิ้มพราวเงยหน้าขึ้นมา
ทั่วลานกว้างสงบเงียบโดยพลัน
ความเงียบในยามนี้มิใช่ความเงียบจากความอึดอัดก่อนหน้านี้อีกต่อไป ทว่าเป็นความเงียบจากความตื่นตะลึง ความเงียบจากความตะลึงพรึงเพริ้ด ความเงียบไร้ซึ่งมวลอากาศที่เกิดจากสายตาและจิตใจที่ถูกสั่นสะท้าน
ทุกผู้คนต่างมองดูสตรีเบื้องหน้ารถม้านางนั้น
นางสวมชุดสีดำบริสุทธิ์ทั้งร่าง ส่วนเอว คอเสื้อและแขนเสื้อประดับด้วยแร่เงินโบราณฉลุนูนรูปตราสัญลักษณ์ แร่เงินบริสุทธิ์ซึ่งเจือด้วยลมหายใจแห่งกาลเวลาผันผ่านล้วนเป็นสีสันโบราณอึมครึม คนธรรมดาสวมใส่แล้วชราลงไปหลายปีในพริบตา ทว่าสำหรับนางเพียงขับดวงพักตร์ของนางให้ยิ่งนุ่มนวลอ่อนหวาน สีผิวขาวเสียยิ่งกว่าหิมะ ริมฝีปากแดงสีดอกท้องดงาม นัยน์ตาคู่หนึ่งซึ่งแต่งแต้มสีแดงดอกท้อเพียงน้อยยังสยบกระแสคลื่นแห่งแสงนัยน์ตานั้นไว้มิได้ พาให้ผู้คนนึกถึงแสงวสันต์สายพิรุณห้วงวายุที่งดงามที่สุด แลแสงอรุโณทัยระบายเวิ้งนภาที่เฉิดฉายที่สุด
ส่วนท่วงท่างดงามอรชรโดยกำเนิดของนาง แม้ชุดคลุมสีดำโบราณแบบดั้งเดิมตามประเพณีนี้ยังไร้หนทางบดบังไว้ ชายผ้ากว้างใหญ่ทอดขึ้นไปเบื้องบนเป็นทรงหยดน้ำกระหวัดเอวบางกลมกลึง มองถัดไปอีกกลับเป็นทรวดทรงทะลักล้นรัดตึงอีกครา แจกันกระเบื้องเคลือบที่มีเค้าร่างงามประณีตที่สุดซึ่งปรมาจารย์ผู้ชำนาญนักเป็นผู้ปั้นแต่งต่างมืดมิดอับแสงเบื้องหน้าเค้าร่างของนาง ความงามซึ่งเป็นของสตรีเพศทยอยแสดงออกมาในเค่อหนึ่งนี้ จนทำให้ความงามตะลึงพรึงเพริ้ดในครู่หนึ่งนี้ปลุกความตระหนักที่มีฝุ่นจับในเรือนร่างของสตรีเพศแห่งต้าฮวงให้ตื่นฟื้น พาให้หญิงสาวระดับผู้สูงศักดิ์ได้รับรู้เป็นครั้งแรกว่าแท้จริงแล้วเครื่องประดับรูปแบบโบราณตามแบบแผนยังมิอาจบดบังความงามแท้จริงของสตรี แท้จริงแล้วนอกจากหน้าตางดงามแล้ว ความงดงามของรูปร่างขโมยสายตาของทุกผู้คนได้เช่นกัน จากนั้นจึงพลิกฟื้นความคิดควบคุมรูปร่างและการปลดปล่อยตนขึ้นมา แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงวาจาภายหลังแล้ว
แขนเสื้อกว้างของชุดคลุมสีดำของนางสยายลงมาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ทว่าริมแขนเสื้อโผล่เล็บสีแดงสดออกมาอย่างไม่เรียบร้อยอะไรขนาดนั้นเล็กน้อย สีสันสดใสแวววาวยิ่งกว่าดอกต้าลี่ โดดเด่นยิ่งนักท่ามกลางสีดำสีเงินเพียงสองสีทั่วทั้งเรือนร่าง ยามประสานกับลมหายใจเคร่งขรึมยิ่งนักผุดเผยความแพรวพราวและการยั่วเย้าเบาบางซึ่งมีเพียงสตรีผู้อ่อนวัยในชั่วครู่ สายตาของบุรุษจำนวนมากทอดลงบนสีแดงสดผืนนั้น เบนสายตาออกมาไม่ได้ครู่ใหญ่
ผู้คนส่วนใหญ่กลับจดจ้องรอยยิ้มของนาง รู้สึกเพียงว่าสตรีนางนี้งดงามทั่วเรือนร่าง ทุกส่วนล้วนเจือด้วยการยั่วยวนอย่างไม่สนใจใยดีและการยั่วเย้าด้วยแผนการเพียงน้อย ทว่าสิ่งที่งดงามที่สุดยังคงเป็นรอยยิ้มของนางในพริบตาหนึ่งนี้ ทั้งเป็นธรรมชาติ ลำพองใจ แจ่มชัด มาจากในจิตใจและเป็นแสงสีสาดส่องผู้คน ทำให้ผู้คนมองไปเพียงปราดเดียวย่อมรับรู้ถึงความสุขสันต์ของนางโดยไม่รู้ว่าอย่างไร ย่อมถูกความสุขสันต์ของนางแพร่กำจายโดยไม่รู้ว่าอย่างไร แม้แต่จิตใจยังเบิกบาน
สองฝั่งเส้นทางเบียดเสียดแน่นขนัดด้วยศีรษะผู้คน มีเพียงชั่วเค่อนี้ที่ไร้ซึ่งสรรพเสียงโดยสิ้นเชิง
เหยียลี่ว์ฉีจดจ้องจิ่งเหิงปัว แววตาเปี่ยมด้วยสีสัน
ผู้ชราหลายคนลูบเคราถอนหายใจว่าชั่วชีวิตของผู้ชราคำนับราชินีห้าพระองค์ ไม่มีผู้ใดมีท่วงท่าสง่างามเช่นนี้! ราชินีองค์ใหม่เอ่ยแล้วรูปร่างหน้าตายังคล้ายราชินีองค์ก่อนยิ่งนัก ทว่าท่วงท่าหรูหราสง่างาม รูปโฉมสะคราญสะท้านใจคน ราชินีองค์ก่อนเทียบไม่ติดเลย!
อาลักษณ์ผู้มีหน้าที่บันทึกแต่ละกิริยาวาจาของราชินีสะบัดพู่กันจดบันทึกว่า “รัชศกเกิงเซินวันจย่าจื่อ[1] นภามืดครึ้ม จักรพรรดินีเสด็จสู่นคร ราษฎรรับขบวนเสด็จทั่วทั้งนคร จักรพรรดิเสด็จแล้ว ทรงพระสิริโฉมงดงามเฉิดฉายประหนึ่งแสงสุริยันรุ่งโรจน์โชติช่วง ทั่วนครจดจ้องยอมสยบ”
ท่ามกลางฝูงชน คนกลุ่มหนึ่งกำลังวิวาทโต้เถียง
“อีชี คนนี้ภรรยาเจ้าหรือ”
“ใช่แล้วๆ นางยังให้ยาทาเล็บขวดหนึ่งแก่ข้าเป็นของขวัญแทนใจด้วยนะ”
“ถุ้ย สารรูปเช่นเจ้าเนี่ยนะ จะได้สมรสกับภรรยาเช่นนี้หรือ มีเพียงข้าที่เหมาะสมกับภรรยานางนี้”
“ผิดแล้ว ข้าต่างหาก”
“ข้า”
“เป็นของข้าแน่แท้”
“เหลวไหล เป็นของข้าได้เท่านั้น”
“ไม่ใช่ข้าแล้วเป็นผู้ใด”
“หยุดโต้เถียงเถิด ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ว่า หมู่นี้ข้าคอยดูแผนภูมิดารายามค่ำคืน ท่องผาย่ำถ้ำ สังเกตดวงดาวเฝ้าอนุมาน ลูบกระดูกทำนายราศี ในที่สุดจึงค้นพบสิ่งใหม่…”
“อ๊ะๆ ซานซานเจ้าพบสิ่งใดหรือ”
“ผ่านการครุ่นคิดอนุมานสามวันสามคืน…”
“อะไรอะไรหรือ”
“ข้าพบว่า…”
“รีบเอ่ยสิรีบเอ่ยเร็ว”
“พวกเจ้าล้วนมีชะตาเดียวดาย ราชินีเป็นของข้า”
“เหล่าพี่น้อง ยามเผชิญหน้ากับการยั่วยุที่เลวร้ายและคำสาปแช่งที่ต่ำทรามเช่นนี้ พวกเจ้าคิดจะทำอย่างไร”
“ซือซือ เจ้าทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง เหตุใดต้องแย่งชิงสตรีเพียงนางเดียวกับเจ้าสามเช่นนี้เล่า พวกเราคือเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องที่รักกันฉันมิตร การวิวาทเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ข้าแนะนำให้เจ้าต่อยเขา”
…
เรื่องชาวโลกสับสนวุ่นวายไม่ได้อยู่ในนัยน์ตาของทั้งสองคนที่อยู่กลางฝูงชนที่สุดผู้นั้น
จิ่งเหิงปัวมองดูกงอิ้นตั้งแต่ต้นจนจบ ยิ้มแย้มหอมหวานปานน้ำผึ้ง ในใจกำลังร้องเพลงหวานปานน้ำผึ้งเช่นกัน
แน่นอนว่ากงอิ้นยังคงสวมชุดคลุมสีขาวซ่อนฝังด้ายเงินทั่วร่าง ระหว่างเยื้องกรายชุดคลุมเปล่งแสงประกายพร่างพราว ถ่อมความฟุ้งเฟ้อ ทว่าสิ่งมหัศจรรย์คือไข่มุกบนคอเสื้อรัดตึงของเขาในวันนี้ไม่ใช่สีทองอ่อนหรือสีเงินตามปกติ แต่กลับเป็นไข่มุกสีดำ
สีดำสว่างเปล่งประกายแสงสลัวสีเขียวคล้ำ ไข่มุกสีดำที่ลึกลับสะกดผู้คนงดงามจนสดใสวูบไหวในสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะเพียงสีเดียว
ด้วยเพราะเหตุนี้รอยยิ้มของจิ่งเหิงปัวยิ่งงดงามอ่อนหวานมากขึ้น กวาดสายตามองชุดคลุมยาวสีดำของตนเองแวบหนึ่ง…นี่นับว่าเป็นชุดคู่รักไหม
หางตากวาดผ่านฝูงชนแล้วเหลือบมองไปทางกงอิ้น นางรู้แน่นอนว่าตนเองงดงามและไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อยว่าตนเองจะทำให้คนพวกนั้นตื่นตะลึงกับความงามของนาง ฉะนั้นสิ่งที่นางกังวลมากคือคนที่ควรถูกทำให้ตื่นตะลึงเป็นที่สุดคนนั้นไม่ได้ถูกทำให้ตื่นตะลึง
แลดูคล้ายไม่มีความตื่นตะลึง
เขายังคงยืนอย่างตรงแน่ว ไร้ซึ่งสีหน้า แม้แต่หางตายังคล้ายไม่ได้กวาดมาทางนาง เค้าร่างด้านข้างแจ่มชัดริมฝีปากเม้มแน่น จิตใจสูงศักดิ์ตลอดกาล
จิ่งเหิงปัวกลับกำลังยิ้มยินดี
ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อยเหรอ
ทำไมฝ่ามือชื้นขึ้นมากะทันหันล่ะ
…
พรมแดงเส้นทางหนึ่งเบื้องหน้าทอดยาวจากประตูนครกว้างขวางจวบจนถึงในนคร องครักษ์เกราะทองยืนเว้นระยะสามก้าวต่อกันตรงแน่วดั่งตะปูทั้งสองฝั่ง ที่ซึ่งไกลโพ้นมีเวทีสูงใหญ่สวยหรู ม่านผืนใหญ่หลากสีสันทิวแถวหนึ่งดุจเปลือกหอยที่สวยสดงดงามทอดสยายบนจัตุรัสกว้างยาวขาวบริสุทธิ์ จุดสิ้นสุดของพรมแดงสองฝั่งและม่านผืนใหญ่ตระหง่านด้วยขุนนางสวมหมวกทรงสูงเข็มขัดกว้างและราษฎรที่มีสีหน้าแพรวพราวแย่งชิงแย่งชมนับมิถ้วน มืดทะมึนดุจกระแสน้ำไร้ขอบเขตไร้สิ้นสุด
จุดสิ้นสุดของมหาสมุทรสีแดงคือเส้นทางที่นางจะต้องก้าวเดิน
พรมแดงใหม่ขนาดนี้ สวยสดงดงามขนาดนี้ ประหนึ่งสีโลหิต
ความคิดเชื่อมโยงในตอนนี้ไม่เป็นมงคลอยู่บ้าง นางส่ายศีรษะสะบัดมันออกไป ตอนนี้อารมณ์ดีงามแบบนี้ นี่ไม่ใช่แสงโลหิตแต่เป็นแสงสายัณห์สว่างไสวในภายภาคหน้า
หลังจากชะงักไปเล็กน้อย เขาจูงมือของนางไว้รับนางขึ้นพรม
ผู้คนที่ถูกรูปโฉมของราชินีทำให้ตื่นตะลึง ยามนี้สังเกตเห็นกิริยาท่าทางราชครูฝ่ายขวาอีกครั้งในที่สุด อุทานอย่างตกตะลึงขึ้นมาอีกครั้ง
ราชินีพระองค์นี้มีสิ่งพิเศษใดหรือ เกียรติยศยิ่งใหญ่ยิ่งนัก!
ราชครูฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายออกนอกแคว้นพันลี้ต้อนรับนางตามลำดับ หกแคว้นแปดชนเผ่าร่วมรับเสด็จร้อยลี้ ยามเข้านครราชครูฝ่ายซ้ายนำขุนนางร่วมร้อยต้อนรับเสด็จ บัดนี้ยังมีราชครูฝ่ายขวาลดตัวรับใช้ ประคองราชินีขึ้นพรมแดงด้วยตนเอง!
การกระทำนี้สื่อนัยว่าราชครูยอมรับและปกป้องราชินีหรือ
ต่อมาพวกเขาสูดหายใจเยือกเย็นเฮือกหนึ่งอีกครั้ง
เหยียลี่ว์ฉีพลันสืบเท้าขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง จูงมืออีกข้างหนึ่งของจิ่งเหิงปัวส่งนางขึ้นพรมแดงด้วย!
ลมหายใจของเหล่าผู้มุงดูหยุดลงโดยพลัน
ราชครูสองท่านก้าวย่างไปด้วยกัน พร้อมแสดงไมตรีต่อราชินีไปด้วย
นี่ๆๆ นี่มันจังหวะอะไรอีกเล่า
ทุกผู้คนต่างรู้ว่าเพื่อความสมดุลของสถานการณ์ในราชสำนัก ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาราชครูฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายยากจะอยู่ร่วมกันดั่งสายน้ำกับเปลวเพลิง โดยทั่วไปแล้วสิ่งที่เจ้ายอมรับข้าจะไม่ยอมรับ เดิมทีข้ายอมรับพอเจ้ายอมรับแล้วข้าก็ไม่ยอมรับอีก สรุปแล้วคือขัดใจกันและกัน ตามสถานการณ์ปกติแล้ว ราชินีที่กงอิ้นให้การยอมรับอย่างเป็นทางการจะได้รับการกลั่นแกล้งจากเหยียลี่ว์ฉีนับแต่นั้น ส่วนการตอบโต้และท่าทางที่กงอิ้นมีต่อเรื่องนี้จะสัมพันธ์กับความสามารถในการตัดสินและอนาคตของเขาโดยตรง
ทว่าสถานการณ์ในยามนี้ เหล่าขุนนางแห่งต้าฮวงรวมถึงหกแคว้นแปดชนเผ่าต่างไม่เข้าใจขึ้นมาเสียแล้ว
เหล่าขุนนางต่างกำลังขมวดคิ้ว การรับขบวนเสด็จครั้งหนึ่งนี้ในวันนี้ แท้จริงแล้วมีลักษณะพิเศษคือแสดงว่าข้าราชบริพารฝ่ายการเมืองทั่วทั้งต้าฮวงไม่ต้อนรับและไม่ยอมรับราชินี
องค์ราชินีองค์นี้อาจจะประเมินได้ว่าอนาถที่สุดในประวัติศาสตร์ ราชครูสองท่านไม่ทันได้เอ่ย เหล่าขุนนางแทบจะไม่เต็มใจให้นางขึ้นครองราชย์ ฝ่ายของราชครูเหยียลี่ว์หวังว่าจะฉวยโอกาสโค่นล้มราชินีโจมตีบารมีของราชครูกง ฝ่ายของราชครูกงกลับไม่พอใจที่มีราชินีจุติจากฟากฟ้า หวังให้ราชครูกงควบคุมรวมแคว้น สองฝักฝ่ายใหญ่รวมเอกภาพเป็นประวัติการณ์ครั้งแรกเนื่องด้วยปัญหาการต้อนรับตำแหน่งราชินี จึงมีพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จที่ยิ่งใหญ่อลังการครั้งนี้
ยามนี้นี่เอง ท่าทางของราชครูสองท่านผิดแผกจากปกติเช่นนี้ นัยน์ตาของทุกคนพัวพันเป็นก้อนไหมนับมิถ้วนในพริบตา
[1] จย่าจื่อ วันแรกในแผนภูมิสวรรค์ซึ่งใช้สำหรับการนับวันและปีแบบดั้งเดิมของจีน