สีหน้าของเหมิงหู่กับอวี่ชุนน่าเวทนานัก
แม่นางน้อย วาจานี้ของเจ้ายิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่าไอสังหารคุกคามเมื่อครู่นั้นอีกนะ?
เจ้านึกว่าด้วยเพราะเจ้านำผลประโยชน์ของแคว้นมาข่มขู่ นายท่านถึงได้ฝ่าฝืนหลักการยอมอ่อนข้อให้ทั้งสิ้นจริงหรือ!
ทำอย่างไรดีมีวาจาเอ่ยไม่ได้ เหมิงหู่ชี้เงาด้านหลังของกงอิ้นแล้วชี้จิ่งเหิงปัว เทียบภาษามือกว่าระลอกหนึ่ง จิ่งเหิงปัวมองจนรู้สึกประหลาดใจ “ถุ้ย” เสียงหนึ่ง
เสียงดังกังวาน
เหมิงหู่ใช้มือกุมหน้าผาก…โอ้ นายท่าน แท้จริงแล้วท่านพบเจอจิ่งเหิงปัวถึงเป็นโศกนาฏกรรม…
“ยังไม่ไปอีก!” กงอิ้นที่เดินออกไปไกลลิบแล้วตะโกนลั่นเสียงหนึ่ง เหมิงหู่อวี่ชุนได้แต่ก้าวตามไปด้วยท่าทางไม่พอใจ
จิ่งเหิงปัวยืนอยู่หน้าประตู มองดูกงอิ้นข้ามผ่านประตูตำหนักกลับข้างห้องไป ประตูห้องหนังสือปิดลงแน่นหนาดังพลั่กเสียงหนึ่ง ไม่เหมือนแบบเมื่อวานนั้นที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่งให้นางแอบมองโดยตลอดอีกแล้ว
“ไร้เหตุผล!” จิ่งเหิงปัวด่าเสียงหนึ่ง ตนเองกลับมานั่งตรงขอบเตียง หน้าบูดบึ้ง
“ฝ่าบาท…ฝ่าบาท…” จื่อหรุ่ยร้องไห้สะอึกสะอื้นคลานเข้ามา กอดขาของนางไว้ในครั้งเดียว ร้องว่า “ขออภัยเพคะ…ขออภัยเพคะ…”
“เป็นข้าที่ต้องขอโทษเจ้านะ” จิ่งเหิงปัวจูงนางขึ้นมา ฉวยมือหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งมาเช็ดหน้าให้นาง กล่าวว่า “ข้าไม่ควรทำตามอำเภอใจ ผลลัพธ์กลับทำร้ายเจ้า…” นางหัวเราะขมขื่นเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “ลุกขึ้นเถิด ลุกขึ้นเถิด ไม่เป็นอะไรแล้ว อย่าใช้ใบหน้าขมขื่นขนาดนั้นมามองดูข้า จะทำให้ข้าเข้าใจผิดว่าเจ้าติดค้างข้าแปดล้านเท่า…จิ๊จ๊ะ ดูเครื่องประทินโฉมบนใบหน้าเจ้าสิ ร้องไห้จนกลายเป็นภูตผีเสียแล้ว อัปลักษณ์ตายแล้ว…”
จื่อหรุ่ยค่อยๆ สงบเงียบลงมาท่ามกลางเสียงกล่าวเจื้อยแจ้วแผ่วเบาที่ไม่เข้าท่าทว่าอบอุ่นอย่างยิ่งของนาง
“เรื่องนั้น…การรักษาความลับที่เจ้าสาบานเมื่อครู่…” จิ่งเหิงปัวลังเลอยากสืบถาม
“หม่อมฉันเอ่ยคำสาบานพิษ เรื่องนี้หากพระองค์ทรงอยากรู้ คงต้องรอให้หม่อมฉันสิ้นชีพแล้วเพคะ” จื่อหรุ่ยเงยหน้า สีหน้าจริงจัง
“ได้ ได้ ข้าไม่ถาม ปฏิบัติตามคำสัญญาเป็นเรื่องดี” จิ่งเหิงปัวคิดว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่นะอย่างหดหู่
“หม่อมฉันเพียงอยากเอ่ยว่า” จื่อหรุ่ยเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “พระองค์อย่าได้ทรงเข้าใจราชครูผิดเชียว เรื่องราวในวันนี้เป็นความผิดของหม่อมฉันจริง เขาลงโทษหม่อมฉันเป็นเรื่องสมควร เขา…เขาเป็นคนดีมากคนหนึ่งจริงแท้ ดีมากกับพระองค์…เช่นกันเพคะ”
“ดีหรือ?” โทสะระลอกหนึ่งของจิ่งเหิงปัวพวยพุ่ง หัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันทั้งกล่าวว่า “ดีหรือ? ดีจริง!”
จื่อหรุ่ยมองสีหน้านางพลันรู้ว่าไร้หนทางโน้มนาวอีกชั่วคราว จำเป็นต้องถอนใจแผ่วเบา เอ่ยว่า “ฝ่าบาท ชีวิตนี้ของจื่อหรุ่ยได้พระองค์ทรงช่วยเอาไว้สุดชีวิต นับแต่นี้เป็นต้นไป พระองค์จะทรงทุบตีหรือสังหาร จะให้จื่อหรุ่ยฝ่าลมลุยเพลิง จื่อหรุ่ยยินยอมพร้อมใจทั้งนั้น นับแต่นี้ชีวิตนี้เป็นของพระองค์”
“จะต้องการไปเพื่อเหตุใดเล่า” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มตามใจตน ตบไหล่ของนาง สายตาชำเลืองไปข้างห้องอย่างควบคุมไม่ได้
ที่สุดแล้วนางไม่ใช่คนสมัยโบราณ ความต้องการชีวิตของใคร ความต้องการความจงรักภักดีของใคร สำหรับนางแล้วไร้ซึ่งแรงดึงดูด
สิ่งของที่นางอยากได้อย่างแท้จริง กลับไม่รู้ว่าผู้อื่นให้ได้หรือเปล่า
…
จิ่งเหิงปัวเหงื่อท่วมร่างดั่งสายฝนอยู่ในห้องครัว
แต่ไม่ใช่เพราะสมองนางเกิดปัญหาเลยเข้าครัวด้วยตนเอง นางแค่มุดอยู่ในไอร้อนน้ำแกงของยงเสวี่ย พลางเขย่าซองกระดาษน้อยในมืออย่างตื่นเต้นดีใจ
“ข้าให้จื่อหรุ่ยหามาให้ข้าเลยนะ” จิ่งเหิงปัวลำพองใจ กล่าวว่า “ยาสูตรลับในวังเอาไว้รับมือกับนางในที่มีนิสัยดื้อรั้นเย่อหยิ่งเหล่านั้นโดยเฉพาะ กินแล้วจะอ่อนแอท้องเสียไร้เรี่ยวแรง ยอมให้คนรังแกประหนึ่งทั่วร่างเป็นตะคริว ผ่านไปสามวันอาการจะหายไปเอง ถึงขนาดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสามวันได้ไม่ค่อยชัดเจน…ดียิ่งนัก! นี่มันสร้างขึ้นเพื่อเหยียลี่ว์ฉีแท้ๆ เลย!”
“เป็ดตุ๋นโสมกับหวงฉี” ยงเสวี่ยเอ่ยว่า “น้ำแกงใสรสเข้มข้นกลบกลิ่นไว้ได้”
บิดาของยงเสวี่ยเคยเป็นพ่อครัว ภายหลังป่วยไข้เสียชีวิต มารดาขายนางเข้าหอนางโลมเพื่อเลี้ยงดูน้องชาย นางเรียนรู้ฝีมือการทําอาหารจากบิดาตั้งแต่เด็ก หกขวบเริ่มทำอาหารดูแลมารดาและน้องชายแล้วจึงมีความสามารถเรื่องงานบ้านสัพเพเหระ จิ่งเหิงปัวพบว่าเมื่อเทียบกับสาวห้าวแบบชุ่ยเจี่ยและสาวงามขี้โรคแบบจิ้งอวิ๋นแล้ว แม่หนูน้อยที่ไม่สะดุดตาถึงเป็นของล้ำค่า
ยงเสวี่ยนำน้ำแกงที่เพิ่มวัตถุดิบแล้ววางไว้บนจานรอง จิ่งเหิงปัวกำลังจะยกออกไป ยงเสวี่ยพลันถามว่า “จะเตรียมไว้อีกสักชุดหรือไม่?”
จิ่งเหิงปัวมองสายตานางก็รู้ว่านางถามว่าจะเหลือน้ำแกงดีไว้ให้กงอิ้นหรือไม่ เมื่อวานส่งไปเขายังไม่ได้ดื่มเลย
“เหอะ ผู้เป็นมิตรไม่ยุ่งกับผู้เย็นชา!” จิ่งเหิงปัวเชิดหน้ายกน้ำแกงเดินไปแล้ว
ยงเสวี่ยมองดูเงาด้านหลังของนางอย่างประหลาดใจ…เอ๊ะ เจ้าผู้เป็นมิตรชอบไปยุ่งกับผู้เย็นชา ซ้ำยังยุ่งเกี่ยวอย่างเริงร่านักโดยตลอดไม่ใช่หรือ?
…
กงอิ้นฝังตนเองอยู่ในกองสมุดพับอีกครั้ง คราวนี้ในห้องหนังสือไม่ได้จุดตะเกียงด้วยซ้ำ
เหมิงหู่กับอวี่ชุนได้แต่ยืนอยู่ในความมืดมิดเช่นกัน แลไม่กล้าหายใจเสียงดัง เหมิงหู่ยิ่งไม่กล้าไปบอกเรื่องอาหารเย็นเป็นนัยให้ทางจิ่งเหิงปัวนั้นเฉกเช่นเมื่อวาน
ทว่ามีกลิ่นหอมทอดยาวโชยมาเชื่องช้า ในใจสองคนตึงเครียด ต่างรู้ว่าในสถานการณ์ปกติ ห้องครัวข้างห้องอยู่ห่างไกล กลิ่นหอมโชยมาไม่ได้ นอกเสียจากว่าราชินียกน้ำแกงเดินกรีดกรายไปตามถนนอีกแล้ว
เหมิงหู่ขนหัวลุก แอบอธิษฐานให้องค์ราชินีเกิดมโนธรรมในใจส่งน้ำแกงให้ราชครู เช่นนี้แรงกดอากาศในห้องย่อมแก้ไขได้แล้ว
ทว่ามองจากระดับการทอดยาวและความเร็วในการประชิดใกล้ของกลิ่นหอมแล้วคล้ายว่าผิดปกติยิ่งนัก
เหมิงหู่แอบชำเลืองตามองกงอิ้นเพียงครั้ง
เขาตั้งใจอ่านสมุดพับ หันหน้าเพียงน้อย บนใบหน้างดงามหล่อเหลาไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลงคล้ายว่าไม่ได้รับรู้สิ่งใดทั้งนั้น
เหมิงหู่หันกายเพียงน้อย ชำเลืองมองข้างนอกปราดหนึ่งถึงมองเห็นองค์ราชินีผู้สูงศักดิ์ยกน้ำแกงเยื้องย่างอยู่ข้างประตูพอดีแน่ะ
…
จิ่งเหิงปัวเดินกลับไปกลับมารอบประตูข้างสามรอบแล้ว
ในใจนางแอบรู้สึกประหลาดใจ ประตูไม่ได้ล็อกชัดๆ ทางหลักใกล้มาก กลิ่นหอมมีแรงทะลุทะลวงอย่างยิ่ง ช่วงเวลากำลังพอเหมาะพอดี เมื่อวานเหยียลี่ว์ฉีแย่งน้ำแกงไปได้ วันนี้ทำไมถึงไม่มาแล้วล่ะ?
ถ้าเขาไม่มา น้ำแกงเป็ดตุ๋นโสมกับหวงฉีใส่ยาเทียนซือซั่นชามนี้ของนางคงขายไม่ออก ไม่เท่ากับส่งสายตาหวานให้คนตาบอดดูเหรอ?
นางยังอยากมองดูเหยียลี่ว์ฉีแบบสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจะมีท่าทางแบบไหนกันนะ
ถ้าไม่มาอีกจะทำอย่างไรดี? จะเปิดประตูไปทางนั้นเสียเลยดีไหม?
…
เหมิงหู่แอบร้องขมขื่น
องค์ราชินียั่วยุเก่งเกินไปแล้ว
ไม่นึกเลยว่าจะส่งน้ำแกงต่อไปซ้ำยังเตร็ดเตร่ไม่ยอมเลิกรา นางคงไม่รู้แน่ว่าเมื่อวานฝั่งสำนักเจาหมิงนั้นถูกองครักษ์เฝ้าดูแลอย่างเข้มงวดมากขึ้นแล้ว หากราชครูเหยียลี่ว์อยากออกมาคงไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นแล้ว
กลิ่นหอมนี้มีไอสังหารเช่นนี้โอ้อวดอยู่เบื้องล่างจมูกเจ้านายไม่จบไม่สิ้นเช่นนี้ นี่นางเบื่อหน่ายว่าวันเวลาสงบเงียบเกินไปแล้วหรือว่าอย่างไรเล่า?
ราชครูไม่ขยับเขยื้อนแม้เพียงน้อยดุจรูปสลักที่จมดิ่งในแสงเงา ยิ่งมองยิ่งพาให้คนอกสั่นขวัญแขวน
เหมิงหู่กำลังจะคิดหาหนทางแอบลอบออกไปโน้มน้าวให้ราชินีออกห่าง
กงอิ้นพลันวางสมุดพับไว้บนโต๊ะเพียงครั้ง สมุดพับร่วงบนพื้นโต๊ะหวงหลีดังกึกเสียงหนึ่ง สะเทือนจนสองคนต่างสั่นสะท้าน
จากนั้นกงอิ้นลุกขึ้นโดยพลัน เปิดประตูออกไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ทิศทางคือประตูข้าง
…
จิ่งเหิงปัวหยุดฝีเท้าลงในการเดินไปมารอบที่สาม สุดท้ายแล้วถอดใจล้มเลิกแผนการไม่ลง ยกน้ำแกงไว้ เท้าหนึ่งถีบประตูข้างให้เปิดออก
มือข้างหนึ่งพลันยื่นออกมายกโถกระเบื้องนั้นไปจากข้างหลังนาง
ท่าทางนี้เหมือนกับเมื่อวานราวเป็นพิมพ์เดียวกัน จิ่งเหิงปัวดีอกดีใจ ยังนึกว่าเหยียลี่ว์ฉีจู่โจมกะทันหันอีกครั้ง แต่นึกได้ทันทีว่าทิศทางเหมือนจะไม่ถูกต้อง?
นางหันหลังอย่างเซ่อซ่าอยู่บ้าง
แล้วมองเห็นกงอิ้นผู้ประหนึ่งไผ่เขียวบนผาไกลใต้ลำแสงมืดสลัว
กงอิ้นยกน้ำแกงชามนั้นไว้ เลิกคิ้วขึ้นตามองดูนาง กลางหน้าผากคล้ายมีน้ำค้างหิมะ
“อยากส่งไปให้เขาหรือ?” เขาถามนาง
จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดว่าเป็นแบบนั้น พยักหน้า
“อยากให้เขาดื่มหรือ?” สีหน้าเขาคล้ายอึมครึมเล็กน้อยทว่าน้ำเสียงยังสงบเงียบ
จิ่งเหิงปัวพยักหน้าอีกครั้ง
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนอย่างไร?” เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยพลัน
หัวข้อสนทนาที่กระโดดข้ามแบบนี้ จิ่งเหิงปัวกลับตามติดไปด้วย นางอดจะระบายอารมณ์ไม่ได้ด้วยเพราะอารมณ์ฉุนเฉียวที่โหมซัดระลอกหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมากะทันหัน
“อ๊ะๆๆ เจ้ามันไอ้หน้านิ่งที่ชอบเป็นศัตรูกับข้า! ภูเขาน้ำแข็ง! จักรพรรดิเย็นชา! ไอ้น่ารำคาญ…”
“เจ้าเอ่ยถูกแล้ว” เขายกน้ำแกงหันไปทางนางปานดื่มคารวะ เอ่ยว่า “ข้าเป็นศัตรูกับเจ้าเสมอ”
เขายกชามขึ้นดื่มไปสองอึก ฉวยมือสะบัดเพียงครั้ง ชามกระเบื้องกระแทกบนพื้นแหลกละเอียด น้ำแกงกระเซ็นทั่วพื้น
จากนั้นเขาหันกายจากไปอย่างสง่างามโดยไม่เอ่ยวาจาแม้แต่คำเดียว
ทิ้งจิ่งเหิงปัวที่ถูกท่วงท่ากะหันนี้ทำให้ตะลึงจนปากอ้าตาค้างไว้
จวบจนเงาด้านหลังที่พึงพอใจของกงอิ้นสูญสลายไปในห้องหนังสือข้างห้อง จิ่งเหิงปัวที่คืนสติขึ้นมาแล้วถึงเปล่งเสียงกรีดร้องบ้าคลั่งเสียงหนึ่ง
“กรี๊ดๆๆ เจ้าดื่มผิดแล้ว!”