“อืม นี่เป็นเพียงวิธีการใช้บึงโคลน” จิ่งเหิงปัวเปลี่ยนหัวข้อสนทนากะทันหัน มุมปากเชิดขึ้น กล่าวต่อไปว่า “ที่จริงแล้วย่อมไม่นับว่าดีเพียงใด อย่างน้อยที่สุดยังคงเพาะปลูกธัญญาหารไม่ได้…”
“ดีเสียยิ่งนักแล้ว!” มหาปราชญ์ที่หมอบอยู่เบื้องล่างเวทีมีหยาดน้ำตาเอ่อล้น หลงลืมความโกรธแค้นก่อนหน้านั้นไปเนิ่นนานแล้ว เอ่ยว่า “ขอเพียงบึงโคลนที่ทิ้งร้างนับร้อยปีสามารถใช้ประโยชน์ได้ ขอเพียงสามารถใช้ได้แม้เพียงส่วนน้อยส่วนหนึ่ง ต้องแก้ไขปัญหาปากท้องของราษฎรต้าฮวงให้ดีขึ้นได้แน่! ฝ่าบาทพระองค์ทรงมีคุณูปการล้นพ้นพ่ะย่ะค่ะ!”
“ข้ายังเอ่ยไม่จบนะ…” จิ่งเหิงปัวประคองเจ้าผู้ชราขึ้นมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม กล่าวว่า “ท่านนั่งให้ดี อืมนั่นล่ะนั่งให้ดี ข้ากลัวว่าประเดี๋ยวท่านจะตื่นเต้นดีใจจนร่วงลงไป…ที่จริงแล้วน่ะ ได้ยินว่าคุณภาพดินของต้าฮวงมีปัญหาต่างๆ เช่นกัน ทำให้ปริมาณผลผลิตธัญญาหารน้อย เรื่องคุณภาพของดินนี้น่ะ แท้จริงแล้วสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้เช่นกัน เช่น ผืนดินเป็นกรดเกินไปสามารถเพาะปลูกพืชไร่เกษตรที่มีค่าเป็นด่าง เช่น เหมาเยี่ยเสาจื่อ[1] หรือโหยวไฉ่มาปรับปรุง ผืนดินค่อนข้างเป็นด่างต้องหมั่นปลูกมู่ซวี[2] เฉ่ามู่ซี[3] หรือเฮยไม่เฉ่า[4]…”
ทุกคนกำลังฟังอย่างเคลิบเคลิ้มลุ่มหลง นางเบนสายตาครั้งหนึ่งฉับพลันแล้วหยุดลง
“โอ๊ย ข้าเองเอ่ยจนเหนื่อยแล้ว”
ที่จริงไม่ใช่กล่าวจนเหนื่อยแล้วแต่ลืมแล้วต่างหาก นางไม่ได้มาจากครอบครัวที่ทำไร่ไถนาสักหน่อย จะจำได้เยอะขนาดนี้ได้อย่างไร
ในตอนนั้นประกายรัศมีกะพริบวูบ นึกได้ว่าในกระเป๋ามีสารานุกรมความรู้เล่มหนึ่ง ส่วนอุตสาหกรรมในนั้นส่วนใหญ่ไร้วิธีทำให้เป็นจริง แต่ส่วนการเกษตรพุ่งเป้าหมายไปยังวิธีการปรับปรุงผืนดินทุกชนิดให้ดีขึ้น รวมทั้งวิธีเพาะปลูกบนผืนดินทุกชนิดพอดี นางหาบทเกี่ยวกับบึงโคลนนั้นจนเจอ
ระหว่างทาง นางค้นหาโดยละเอียด พบเจอชนิดพันธุ์มากมายที่สามารถเพาะเลี้ยงในบึงโคลน หลูเฮาและต้นหม่อนต่างพบเจอระหว่างทาง ต้าฮวงไม่ได้กันดารสักหน่อยแต่ถูกสภาวะแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยเกินควรผูกมัดพลังการทดลอง
พอผสมผสานกับภูมิปัญญาการเกษตรในยุคปัจจุบันที่ประสบการณ์ของคนนับไม่ถ้วนสืบเสาะออกมา นางได้กระทำการคัดลอกที่สมบูรณ์แบบ นี่ยังเป็นสาเหตุที่นางกล้าเดิมพันกับกงอิ้น ซ้ำยังกล้าทุ่มสุดตัวรับการท้าทายทั้งที่รู้อยู่แก่ใจตนเองว่าขาดแคลนความสามารถ
นางเชื่อว่าหากเทียบกับบทกลอนบทกวีการทหารที่พรรณนาสายลมดอกไม้หิมะพระจันทร์ไร้ประโยชน์สิ้นดีอะไรนั่น ปากท้องของราษฎรที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนนับไม่ถ้วนถึงจะเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เรื่องนี้คือแรงดึงดูดใจที่ผู้ทะเยอทะยานยิ่งใหญ่กว่านี้หรือผู้คัดค้านไร้ยางอายกว่านี้ยังไร้หนทางต่อต้าน ผู้เฉยเมยต่อเรื่องนี้จักต้องถูกความโกรธแค้นของราษฎรล้มล้าง
“อา ราชินีทรงเหนื่อยแล้ว!” มหาปราชญ์กระโดดขึ้นมาย้ายม้านั่งตนด้วยตนเองเป็นผู้แรก เอ่ยว่า “ทรงประทับ! ทรงประทับ!”
เจ้าผู้ชรากระโดดขึ้นกระโดดลง ใบหน้าแดงก่ำ กระตือรือร้นจนคล้ายนักเรียนผู้หนึ่งซึ่งเร่งรีบต้องการเอาใจอาจารย์ให้สอบผ่าน
คนกลุ่มหนึ่งหลั่งเหงื่อเย็นเยียบรีบเร่งปรามผู้สูงอายุเช่นเขาไว้ มีผู้สืบเท้ารวดเร็วมาขยับบัลลังก์ให้ราชินี
จิ่งเหิงปัวมองเขาอย่างขออภัยเล็กน้อยแวบหนึ่ง…ขอโทษด้วยนะ แม้ท่านกระตือรือร้นแค่ไหน ตอนนี้ฉันก็ไม่คิดจะกล่าวต่อแล้ว
ไพ่ตายไม่อาจเปิดออกมาแบบครั้งเดียวทิ้ง ต้องเก็บไว้ค่อยๆ หลอกล่อ แบบนี้ถึงจะรักษาตำแหน่งไว้ได้ นางเข้าใจหลักการนี้แจ่มแจ้ง
“เหนื่อยเกินไปแล้ว นึกไม่ออกแล้ว…” นางหันกายนั่งลงอย่างเชื่องช้า ยกขาขึ้นมาไขว่ห้างท่ามกลางสายตาเฝ้ารอคอยเป็นที่สุดของคนฝูงหนึ่ง
ไม่มีใครสนใจการไขว่ห้างนางด้วยต่างจ้องมองริมฝีปากแดงสดงดงามของนาง รอคอยประโยคถัดไปซึ่งเป็นเส้นทางแห่งชีวิตใหม่ที่ได้สูญสลายเมฆหมอกนำพาผู้คนออกมา
จิ่งเหิงปัวหาวครั้งหนึ่ง ศีรษะก้มต่ำลงไม่ขยับเขยื้อนแล้ว
“ขอฝ่าบาทจักต้องทรงลองคิดดูให้ดี จักต้องทรงลองคิดดูให้ดีนะพ่ะย่ะค่ะ…” หน้าผากของคนกลุ่มหนึ่งมีเหงื่อซึม เบียดเสียดกันอยู่ข้างเวที มองนางตาปริบๆ
“ข้าว่า” จิ่งเหิงปัวไม่ตอบรับ ดีดเล็บมือสวยสดงดงาม ผ่านไปครู่ใหญ่จึงกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ยามนี้นับว่าผ่านการทดสอบแล้วหรือไม่”
ไม่รอให้ผู้อื่นเอ่ยตอบ มหาปราชญ์กระโดดขึ้นมาประหนึ่งถูกเข็มทิ่มแทง ตะโกนครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “นับว่าผ่านแน่นอน! หากเรื่องนี้ไม่นับยังมีเรื่องใดนับได้ว่าผ่าน!”
“นับว่าผ่านแน่นอน!” เสียงของราษฎรดังเสียยิ่งกว่าเขา ทหารเยียนซาที่ยืนอยู่ห่างไกลถอดเกราะหนังเผยกล้ามเนื้ออีกครั้งแล้ว มือกุมมีดไว้ไอสังหารคละคลุ้งวนเวียนทั่วทั้งลานกว้าง เปี่ยมด้วยกลิ่นอายที่ผู้ใดเอ่ยว่าไม่นับก็สังหารผู้นั้น…ผู้ใดต่างรู้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขานับว่ามาจากลุ่มน้ำเฮยสุ่ยซึ่งเป็นดินแดนแห่งการเนรเทศ ที่แห่งนั้นทุรกันดาร เมล็ดพืชพันธุ์ไร้ผลเก็บเกี่ยวตลอดทั้งปี ผู้คนหิวโหยสิ้นชีพเกลื่อนกลาด ต่างพึ่งนักโทษเหล่านี้ออกมาเป็นทหารรวมถึงเป็นโจรเก็บเงินเล็กน้อยเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัวเลี้ยงดูญาติพี่น้องในภายหลัง
เหล่าขุนนางและผู้นำหกแคว้นแปดชนเผ่านิ่งเงียบ อารมณ์ฝูงชนดุจคลื่นธาร ผู้ใดก็ไม่กล้าย้อนศรทวนคลื่นด้วยกลัวถูกคลื่นยักษ์แห่งความโกรธแค้นพัดพาออกไป
“อ้อ…” จิ่งเหิงปัวที่ครอบครองต้นลมโดยสิ้นเชิงเพียงพยักหน้าก็ผ่านด่านไม่ร้อนใจแล้ว
นางนั่งอย่างสบายอกสบายใจ ยิ้มแย้มเขย่านิ้วมือ
“ยังนึกว่าราชินีต้องแสดงความสามารถพิเศษสุดยอดเพียงใดในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จเสียอีก นึกไม่ถึงว่าความสามารถของข้ายังแสดงออกมาไม่ถึงสามส่วน พวกเจ้าก็ตกใจจนตัวสั่นเทิ้มค้อมศีรษะกราบกรานแล้ว เฮ้อ…” นางขมวดคิ้วเปี่ยมด้วยท่าทางแห่งวีรบุรุษเดียวดาย ถอนใจเสียงยาว
ทุกผู้คนมองดูนางอย่างตกตะลึง ไม่รู้ว่านางมีแผนการจะทำอะไรกันแน่
“ก่อนหน้านี้ ข้าเอ่ยว่าความสามารถพิเศษใดข้าก็ทำไม่ได้ นั่นคือข้าจงใจ!” จิ่งเหิงปัวกล่าวเสียงดังว่า “ข้าน่ะอยากมองเห็นสีหน้าท่าทางของคนบางคนว่าจักอัปลักษณ์ถึงเพียงใด!”
สีหน้าท่าทางของคนบางคนย่ำแย่ยิ่งนัก
“บัดนี้ ข้าจะให้พวกเจ้าได้รู้จักอย่างแท้จริงว่าสิ่งใดเรียกว่าผู้วิเศษล้ำโลกา ความสามารถพิเศษเยี่ยมยอด!”
จิ่งเหิงปัวหันกายดังสวบเดินไปยังขอบเวที หันหลังให้ทุกคนลูบคลำบริเวณเอวอย่างเงียบเชียบ คว้าการ์ดโพลารอยด์ที่ประณีตงดงามที่สุดออกมากุมไว้ในฝ่ามือ
สถาบันวิจัยไม่ขาดแคลนสินค้าเทคโนโลยีระดับสูงไม่ว่าอะไรก็ตาม ซ้ำยังมีทิศทางการวิจัยแบบคนบ้าคลั่งซึ่งก็คืออุปกรณ์เทคโนโลยีต้องเบาบางพกง่าย ตอนที่หนีออกมาจิ่งเหิงปัวนำของพวกนี้มาด้วยมากที่สุดเพราะนางคิดว่าหลังจากออกไปแล้วจะอาศัยขายของพวกนี้แลกเงิน
ฉะนั้นโพลารอยด์พลังงานแสงอาทิตย์แบบการ์ดในมือก็คือฉบับยอดเยี่ยมที่หาไม่ได้ในท้องตลาด
“บัดนี้” นางหันหน้ามากล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ให้พวกเจ้าได้รู้จักตาทิพย์แรกในโลกนี้ก่อน!”
ฝูงชนเกิดความวุ่นวายเล็กน้อย มีผู้เอ่ยเสียงดังว่า “ตาทิพย์หรือ ฝ่าบาทพระองค์ทรงล้อเล่นกระมัง บนโลกนี้มีตาทิพย์อะไรที่ใดกัน หลายปีก่อนในประวัติศาสตร์ต้าฮวงเคยมีผู้มีสายตาล้ำเลิศ ว่ากันว่าสามารถจำแนกแมลงวันได้แม้เกินสามจั้ง พระองค์จะแสดงความสามารถเทวะเฉกเช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“จำแนกแมลงวันได้แม้เกินสามจั้งนับว่าเป็นความสามารถอะไร” จิ่งเหิงปัวพ่นลมออกจมูก กล่าวว่า “ตาทิพย์ของข้าเห็นความเคลื่อนไหว! เห็นข้างหลัง!”
ทุกคนฮือฮา ทยอยแสดงความเห็น
“เห็นสิ่งของที่เคลื่อนไหวได้ก็ช่างเถิด เห็นข้างหลังหรือ ข้างหลังมีดวงตาหรือ”
“จะเป็นไปได้อย่างไร!”
“ข้าคือราชินีฟ้าประทาน ทวยเทพมอบความสามารถในการรับรู้สัมผัสสรรพสิ่งให้ข้า” จิ่งเหิงปัวชี้นิ้วมือขึ้นฟ้าด้วยสีหน้าท่าทางบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า “พวกเจ้าสามารถทดสอบได้ วางของสิ่งหนึ่งไว้หรือว่าทำเรื่องหนึ่งข้างหลังข้า ดูว่าข้ารู้หรือไม่!”
ฝูงขุนนางต่างเบนสายตาไปทางกงอิ้น กงอิ้นโบกมืออย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
จิ่งเหิงปัวยืนเผชิญหน้าทุกคนอยู่เบื้องหน้าเวที ข้างหลังนาง มหาปราชญ์ประคองของสิ่งหนึ่งวางไว้บนโต๊ะเซ่นไหว้ข้างหลังนางอย่างมือเบาเท้าเบาด้วยตนเอง แล้วเดินลงไปอย่างมือเบาเท้าเบา
ทุกคนกลั้นลมหายใจมองดู สายตาแวววาว
ซังต้งเดินยิ้มแย้มมาโดยพลัน จิ่งเหิงปัวจ้องมองท่วงท่าฝีก้าวของนางเขม็ง
ซังต้งเดินผ่านข้างกายจิ่งเหิงปัวแล้วส่งกระจกบานหนึ่งมา ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “พระเกศาของฝ่าบาทคล้ายยุ่งเหยิงแล้ว จะทรงจัดแต่งสักหน่อยหรือไม่เพคะ”
จิ่งเหิงปัวหลับตาลงทันทีแล้วผลักกระจกออก ยิ้มเย็นชากล่าวว่า “เจ้ากองเซ่นไหว้ซังช่างหวังดีเสียจริง เพียงแต่ข้าเกรงว่ามองปราดเดียว หากมองเห็นสิ่งของข้างหลังนี้แล้วคงถูกเอ่ยว่าเป็นสิ่งที่กระจกสะท้อนออกมา”
ซังต้งถูกเปิดโปงเล่ห์เหลี่ยมยังมิได้โกรธเคือง มองนางปราดหนึ่งด้วยท่าทางคล้ายยิ้มทว่ามิได้ยิ้ม กระซิบว่า “ฝ่าบาทต้องทรงรู้จักพอประมาณ หากทำให้พวกเราดูแย่ วันหน้าพระองค์ย่อม…”
“ไม่ทำให้พวกเจ้าดูแย่ วันหน้าพวกเจ้าคงจะไม่ทำดีต่อข้า” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มสนิทสนมยิ่งกว่านาง เสียงแผ่วเบายิ่งกว่าชั่วร้ายยิ่งกว่ากล่าวว่า “สตรีชั่วที่ประจำเดือนมาไม่ปกติก่อนวัยหมดประจำเดือนสารคัดหลั่งสับสนวุ่นวายฮอร์โมนต่อมหมวกไตผิดปกติเช่นพวกเจ้านี้มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อหาเรื่องใส่ตัว เห็นผู้ใดขัดหูขัดตาก็กัดผู้นั้น เที่ยวกระจายโรคพิษสุนัขบ้าทุกแห่งหนทั้งวันจนกระทบผังเมืองเป็นมลพิษต่ออากาศ ข้าจะไม่เคลื่อนพลกลุ่มจับสุนัขได้อย่างไร โอ้จริงสิ” นางมองดูสีหน้าที่ยิ่งย่ำแย่ของซังต้ง ยิ่งยิ้มแย้มจนอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น กล่าวว่า “เมื่อครู่มีวาจาหนึ่งเจ้าเอ่ยถูกต้องแล้ว พวกเจ้าดูแย่ ถูกต้อง พวกเจ้าดูย่ำแย่ยิ่งนักจริงเชียว ไม่มีผู้ใดบอกพวกเจ้าหรือว่าลักษณะหน้าตาเกิดจากจิตใจ ผู้ที่เล่นเล่ห์เพทุบายเต็มท้องอิจฉาคนทำร้ายคนด่าคนทั้งวันจะยิ่งมีหน้าตาคล้ายแม่สุนัขชรา”
“เจ้า…” ใบหน้าของซังต้งใกล้จะกลายเป็นสีใบหม่อนแล้ว ริมฝีปากขมุบขมิบครู่ใหญ่ อยากด่าด่าไม่ออก อยากกลืนกลืนไม่ลง คนผู้หนึ่งซึ่งดูท่าทางเยือกเย็นสง่างามได้เผยความหน้าเขียวเขี้ยวงอกโดยพลัน หน้าตาอัปลักษณ์หลายส่วนเสียจริง
เปรียบเทียบกันแล้ว จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มจนเรียกได้ว่าเนตรงามดุจภาพวาด โฉมสะคราญแย้มผกา
หากสามคนนั้นในกลุ่มสี่คนอยู่ที่นี่คงจะต้องถุ้ยเสียงหนึ่ง กล่าวสักประโยคว่า “สมน้ำหน้า!”
ทะเลาะกับจิ่งเหิงปัวเหรอ รับกรรม!
นางคนนี้เกียจคร้านอย่างมาก มักปล่อยวางไม่ยอมโต้เถียง แต่หากใครแหย่อะไร นางคงไม่ยอมเลิกราแน่นอน จะไม่เหมือนไท่สื่อหลันที่ให้ความสำคัญกับสถานะไม่ยอมกล่าวคำหยาบคาย จะไม่เหมือนจวินเคอที่ซื่อสัตย์เกรงใจไม่ยอมด่าแรงเกินไป และจะไม่เหมือนเหวินเจินที่กลอกกลิ้งยอมแค่ทำลายคนโดยไม่ระบุนามแน่นอน นางจะหอบศักดิ์ศรีตนเข้าสู่สนามรบ โจมตีบนล่างพร้อมกันสามทิศทาง สะบัดกรงเล็บควักหัวใจทักทายเจ้าทั้งตระกูล
ซังต้งอัดอั้นตันใจอยู่ครู่ใหญ่ถือกระจกไว้แน่น ไม่แค่นแม้เพียงเสียงหนึ่งหันกายเดินจากไป จิ่งเหิงปัวหัวเราะเหอะๆ
นางจำได้จากท่วงท่าฝีก้าวการเดินของซังต้งแล้วว่านางคือใคร
คนขายอาหารว่างที่ถนนอาหารว่างเมืองซีคัง!
ฮูหยินวัยกลางคนที่ร้องเรียกลูกค้านางนั้นคือนาง คนแก่ที่นั่งหลังค่อมทำอาหารคือเซวียนหยวนจิ้ง!
บุคคลระดับอาวุโสสองคนนี้ปรากฏกายที่นั่นปลอมตัวเป็นแบบนั้นด้วยตนเองในตอนนั้น ไม่ต้องถามเป้าหมาย คงเป็นองค์ราชินีหุ่นเชิดเช่นนางเป็นธรรมดา
ในใจคงไร้ซึ่งเจตนาดีแน่นอน ก๋วยเตี๋ยวต้มยำชามนั้นของนางถูกก้อนหินอึหมาเขวี้ยงใส่สองครั้ง กงอิ้นเป็นคนลงมือแน่นอน ก๋วยเตี๋ยวต้มยำนั่นผิดปกติ!
พูดอีกแบบหนึ่งคือสตรีนี้ไม่ใช่เพิ่งกลั่นแกล้งนางร้อยแปดพันเก้าในวันนี้ แต่มีความคิดจะสังหารนางตั้งนานแล้ว สตรีนี้คือศัตรูแท้จริงที่ไม่ว่านางจะทำอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความคิดที่มีต่อนางได้
แล้วยังจะเกรงใจอะไรอีก
ซังต้งถูกทำให้โกรธจนเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดข้างกายนางจึงไม่มีใคร จิ่งเหิงปัวเอามือไพล่หลังทำท่าทางแหงนมองฟ้าใคร่ครวญ
ทุกคนต่างเงียบขรึมมองท้องฟ้าตามนาง…ฝ่าบาททรงกำลังเชิญโองการเทพให้จุติใช่หรือไม่
ฉวยโอกาสตอนทุกคนกำลังมองท้องฟ้า การ์ดกล้องถ่ายรูปที่จิ่งเหิงปัวกุมไว้ในฝ่ามือข้างขวาจ่อเล็งหลังกาย ขยับตัวเปิดปิดหน้ากล้องอย่างรวดเร็ว
“แชะ” เสียงหนึ่งดังแผ่วเบาไร้คนได้ยิน จิ่งเหิงปัววางมือลง นิ้วมือเวียนวนคว้าภาพถ่ายไว้ในฝ่ามือ มองแวบหนึ่งแล้วโล่งอกโล่งใจ
ภาพถ่ายแม้ว่าเอนเอียงไปหน่อยแต่ยังคงถ่ายของสิ่งนั้นได้อย่างชัดเจน มันคือปะการังแดงสูงครึ่งตัวคนต้นหนึ่ง
เดิมทีจิ่งเหิงปัวยังกังวลนิดหน่อยว่าของที่วางเล็กเกินไป จ่อเล็งข้างหลังจ่อไม่ตรงสิ่งของถ่ายไม่ติด สุดท้ายตอนนี้จึงวางใจแล้ว ฝ่ามือขยี้ครั้งหนึ่งนำภาพถ่ายที่ขยี้จนเละแล้วสอดเข้าไปในแขนเสื้อ กระแอมไอเสียงหนึ่ง
ทุกคนก้มศีรษะลงมา มองดูนางอย่างเฝ้ารอคอย
จิ่งเหิงปัวกล่าวเสียงดังอย่างไม่ทำให้ผิดหวังว่า “ปะการังแดงสูงสามฉื่อต้นหนึ่ง!”
บนลานกว้างเงียบสงบเป็นแผ่นผืน จากนั้น เสียงโห่ร้องฟาดเปรี้ยง
“ฝ่าบาทยอดเยี่ยม!” อีชีแทบจะกระโดดไปถึงศีรษะของผู้ที่อยู่ข้างกาย ถูกเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมแรงร่วมใจกดลงไป ฝ่าเท้าฉวยโอกาสเหยียบย่ำจนหนำใจรอบหนึ่ง
[1] เหมาเยี่ยเสาจื่อ ชื่อวิทยาศาสตร์ ViciavillosaRoth พืชตระกูลถั่วชนิดหนึ่ง ออกดอกสีม่วง นิยมใช้เป็นพืชคลุมดินและปุ๋ยพืชสด
[2] มู่ซวี ชื่อวิทยาศาสตร์ Medicago Sativa Linn พืชตระกูลถั่วชนิดหนึ่ง ออกดอกสีเหลือง เป็นพืชอาหารสัตว์ที่สำคัญ
[3] เฉ่ามู่ซี ชื่อวิทยาศาสตร์ Melilotus officinalis (L.) Pall. พืชตระกูลถั่วชนิดหนึ่ง ออกดอกสีเหลืองเป็นพุ่ม นิยมใช้เป็นอาหารสัตว์
[4] เฮยไม่เฉ่า ชื่อวิทยาศาสตร์ Lolium perenne L. หญ้าชนิดหนึ่ง เติบโตเป็นกระจุก ใบสีเขียวเข้มเรียบมันวาว นิยมใช้เป็นอาหารสัตว์