เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] – ตอนที่ 88.2

ตอนที่ 88.2

จิ่งเหิงปัวก้มหน้าแน่นิ่ง มองดูคนคนนั้นบนพื้น นั่นคือเพื่อนคนแรกที่นางผูกสัมพันธ์ได้หลังจากทะลุมิติมา ตนเองเคยเชื่อใจนางและเคยสงสัยนาง เคยเย็นชากับนางและเคยระบายความในใจกับนาง นางจำใบหน้าซีดเผือดที่โผล่ออกมาจากไอควันในห้องครัวได้ ซ้ำยังจำได้ว่าตนเองเคยกุมมือของนางไว้กล่าวว่าจะปกป้องนาง เรื่องราวและคำกล่าวเหล่านี้ พอนางหัวเราะฮ่าๆ ก็ลืมไปแล้ว ข้างกายนางมีคนมากมายขนาดนั้น คนมากมายขนาดนั้นเดินไปเดินมาด้วยท่าทางร่าเริงมีชีวิตชีวา บางครั้งนางนึกไม่ออกเลยว่ายังมีสาวแก่นแก้วคนนั้น ภายหลังกลายเป็นสาวสับสนคิดมาก แต่ไม่ว่าเรื่องราวแปรเปลี่ยนอย่างไร ต่างกำหนดชะตาชีวิตของชุ่ยเจี่ยผู้ไม่สะดุดตา 

 

 

จากนั้นวันหนึ่ง เมื่อนางถูกมวลชนบีบบังคับ สตรีที่ถูกนางมองข้ามนางนี้พลันบุกเข้ามา หลังเอวปักไว้ด้วยมีดหนึ่งเล่ม กินยาพิษที่แต่เดิมนางควรกินลงไปแล้วสิ้นใจบนตักของนาง 

 

 

ชุ่ยเจี่ยทำตามสัญญาด้วยชีวิต ทว่านางไม่รู้ว่าชั่วชีวิตนี้จะใช้อะไรมาตอบแทนได้อีก 

 

 

เบื้องลึกภายในใจคล้ายพลันถูกปักไว้ด้วยกริชเล่มหนึ่งเช่นกัน ลึกล้ำมิดด้าม กริชหลอมด้วยหิมะน้ำแข็ง ยามพบเจอโลหิตร้อนผ่าวละลายไปในพริบตา ขวางอยู่เบื้องลึกในใจนางตลอดกาล ดึงออกมาไม่ได้อีกแล้ว 

 

 

โลหิตเย็นยะเยือกคดเคี้ยววกวนใต้ฝ่าเท้า ประชิดเข้ามาอย่างเงียบเชียบประหนึ่งอสรพิษ 

 

 

นางแหงนหน้าขึ้น 

 

 

“อ๊าก!” 

 

 

เสียงโศกเศร้าพรั่งพรูสู่ท้องฟ้า หิมะโปรยปรายทั่วท้องฟ้าดั่งหยุดชะงัก เหนือท้องนภาดุจมองเห็นโพรงว่างเปล่า 

 

 

ไอสีม่วงกลางหน้าผากนางกะพริบวูบ 

 

 

สองมือดิ้นรนเพียงครั้ง เชือกเอ็นวัวที่ยืดหยุ่นขาดสะบั้นดัง เพียะ! 

 

 

“ขวางนางไว้!” เหล่าขุนนางประชิดเข้ามาอย่างตื่นตระหนก 

 

 

นางก้มตัวลงแล้ว โอบกอดศพชุ่ยเจี่ยขึ้นมาในครั้งเดียว ก่อนกะพริบวูบหายไป 

 

 

 

 

 

“นางหนีไปแล้ว!” เหล่าขุนนางตื่นตระหนกหน้าถอดสี 

 

 

“ไม่ต้องกังวล!” เฟยหลัวมีสีหน้าเขียวคล้ำ เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “นางหนีไปไหนไม่รอดหรอก นอกพระราชวังมีแต่คนที่โอบล้อมนางทั้งนั้น!” 

 

 

ไกลออกไปพลันมีเสียงสตรีกรีดร้องเสียงหนึ่ง พอฟังโดยละเอียด แว่วมาจากทางตำหนักบรรทมของราชินี 

 

 

“นางอยู่ที่ตำหนักบรรทม!” ทุกคนฮึกเหิมขึ้นมา เร่งรีบตามไป 

 

 

 

 

 

บนพื้นหิมะหน้าประตูตำหนักบรรทม รอยโลหิตคดเคี้ยววกวนตลอดทาง 

 

 

ยามเหล่าขุนนางตามมาถึงตำหนักบรรทม มองเห็นประตูตำหนักเปิดกว้าง จิ่งเหิงปัวยืนอุ้มชุ่ยเจี่ยอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง 

 

 

เตียงอยู่ไม่ไกลออกไป ทว่านางไม่ได้วางชุ่ยเจี่ยไว้บนเตียง 

 

 

ผ้าคลุมสีเหลืองสว่างของนางเปรอะเปื้อนหิมะและโลหิตด่างพร้อย มุมปากมีคราบโลหิตสายหนึ่งเช่นกัน ขับให้ดวงพักตร์ขาวราวหิมะ นัยน์ตามืดมิดดั่งรัตติกาล 

 

 

“ราชครูมาเยือน…” เสียงป่าวร้องแว่วมาจากที่ไกลแล้วใกล้เข้ามาในพริบตาเดียว 

 

 

ทุกคนหันหน้ากลับมา มองเห็นอาภรณ์ขาวราวหิมะของกงอิ้น ดุจดั่งหิมะเย็นเยือกทอดลงหน้าตำหนักอย่างเงียบเชียบ 

 

 

เขามองเหล่าขุนนางที่มองดูลาดเลาอยู่หน้าประตูไม่ยอมเข้าไปเพียงปราดเดียว ยามปริปากเสียงดั่งผลึกน้ำแข็งเอ่ยว่า “เหตุใดไม่เข้าไป?” 

 

 

เหล่าขุนนางพะว้าพะวังราชินี แต่พะว้าพะวังเขาเสียยิ่งกว่า ข้างหลังมีเขาผู้หนึ่งนั้น ลางสังหรณ์บอกให้กระทำตาม ได้แต่ทยอยเข้าสู่ตำหนัก 

 

 

หลังจากทุกผู้คนเข้าสู่ตำหนักแล้ว กงอิ้นถึงได้เยื้องกรายก้าวเข้ามาในตำหนัก สายตาปราดแรกมองมาทางจิ่งเหิงปัว 

 

 

จิ่งเหิงปัวกำลังมองดูเขาอยู่เช่นกัน ค่อยๆ อุ้มชุ่ยเจี่ยในอ้อมแขนขึ้น 

 

 

“กงอิ้น” นางกล่าวว่า “ชุ่ยเจี่ยตายแล้ว” 

 

 

น้ำเสียงราบเรียบคล้ายมึนชา คล้ายเพียงบอกกล่าวเท่านั้น 

 

 

แววตาของกงอิ้นเฉียดผ่านคราบโลหิตตรงมุมปากนางและผิวกายระหว่างข้อมือที่มีรอยถลอก จากนั้นหลุบตาลง 

 

 

ยามเอ่ยวาจาอีกครั้ง เขาเอ่ยว่า “วางนางลงเถิด” 

 

 

“กงอิ้น เหตุใดเมื่อครู่เจ้าถึงไม่อยู่ด้วย?” นางถามอย่างไม่รู้สึกรู้สา 

 

 

สติปัญญาค่อนข้างเฉื่อยเนือย คล้ายพลันถูกกระบี่ทะลวงจนเป็นโพรงมืดมิดลึกล้ำ แลคล้ายพลันทะลุผ่านหิมะหนักหน่วง 

 

 

เขานิ่งเงียบ 

 

 

เศษหิมะเสี้ยวหนึ่งพัดพลิ้ววูบไหวผ่านนัยน์ตาเขา พริบตานั้นสายตาเขาดุจทั้งถอนใจทั้งสงสาร ดั่งทั้งจำใจทั้งเด็ดเดี่ยว ประหนึ่งแสงรัศมีกะพริบวูบผันผ่าน พริบตาต่อมายังคงดำขลับดุจค่ำคืนมืดมิด เพียงสะท้อนหิมะเหินว่อนคืนหนึ่งนี้ 

 

 

นางพลันรู้สึกว่าห่างไกลจากเขาเหลือเกิน ไม่เพียงห่างกันแค่ระยะทางครึ่งตำหนัก ไม่เพียงห่างกันแค่ฝูงชนที่คัดค้านกลุ่มนี้ ทว่ายังห่างกันด้วยความเหม่อลอยในแววตานี้ คำอธิบายที่ไร้วาจา รวมทั้งศพในอ้อมแขน 

 

 

ที่อ้อมแขนกลายเป็นความหนักหน่วง นางใกล้จะโอบอุ้มต่อไปไม่ไหวแล้ว 

 

 

นางรู้สึกว่าเหนื่อยเหลือเกิน 

 

 

ไม่อยากถามอีกแล้ว ไม่อยากครุ่นคิดอีกแล้ว ไม่อยากเผชิญหน้ากับการบ่อนทำลายและช่วงชิงอำนาจกับอิทธิพลนี้อีกแล้ว ไม่อยากเผชิญหน้ากับเจตนาร้ายและกับดักที่พลุกพล่านทั่วโลกหล้านี้อีกแล้ว 

 

 

แท้จริงแล้วนางเป็นแค่คนบ้าคนธรรมดาในอีกโลกใบหนึ่ง ประสบพบเจอเรื่องร้ายโดยบังเอิญ ไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน ไร้ซึ่งความปรารถนาส่วนตัว เพียงหวังอยากเป็นตัวของตัวเอง ชื่นชมทัศนียภาพชนบท ใช้ชีวิตโดยปราศจากความกังวลกับเพื่อนสักสามหรือห้าคน 

 

 

ตลอดเส้นทางที่ทั้งหลบหนีทั้งหยุดพักนี้เป็นประสบการณ์ทางจิตใจของนาง สิ่งที่นางต้องการตั้งแต่ไหนแต่ไรมีเพียงแค่การเป็นอิสระ 

 

 

เพียงเท่านั้นเอง 

 

 

ไม่อาจยอมรับ ไม่ได้รับการยอมรับ 

 

 

วันนี้นางสูญเสียชุ่ยเจี่ยไปคนหนึ่งแล้ว แล้วภายภาคหน้า นางจะสูญเสียอะไรไปอีก? 

 

 

จิ่งเหิงปัวผลิแย้มรอยยิ้มเชื่องช้า 

 

 

ความคิดของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วเหลือเกิน ครู่ก่อนหน้านี้ นางยังคิดอยู่ว่าจะหลอกล่อเหล่าขุนนางจากตำหนักหลวงไปยังตำหนักบรรทมอย่างไร จากนั้นจะใช้การค้นพบสถานที่ข้างใต้ตำหนักบรรทมโดยบังเอิญครั้งนี้เสริมด้วยวิธีการสมัยใหม่ของตนเอง บีบบังคับโกหกหลอกลวงให้คนเหล่านี้ยอมแพ้ 

 

 

ขอเพียงผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปได้ ขอเพียงกงอิ้นยังอยู่ในตำแหน่ง ขอเพียงนางยอมอดทนกระทำการเชื่องช้า ย่อมมีวันหนึ่งนั้นที่นางบรรลุเป้าหมาย 

 

 

แต่ตอนนี้นางไม่คิดอะไรแล้ว 

 

 

ไม่อยากสิ้นเปลืองความคิดอีก ไม่อยากโกหกหลอกลวงอีก ไม่อยากสิ้นเปลืองชีวิตที่มีจำกัดและความอบอุ่นเพื่อการแย่งชิงอำนาจเย็นชาน่าเบื่อหน่ายเช่นนี้ 

 

 

ร่างเย็นยะเยือกของชุ่ยเจี่ยในอ้อมแขนบอกนางว่า อย่าเลย เจ้าไม่เหมาะสม 

 

 

เจ้าดูสิ ขนาดยังไม่เริ่มต้นยังต้องจ่ายค่าตอบแทนเช่นไร 

 

 

ความเป็นความตายย่อมบอกคำตอบที่ทำให้มนุษย์เข้าใจได้โดยสมบูรณ์ 

 

 

นางไม่เป็นราชินีก็ได้ 

 

 

แต่ก่อนหน้านั้น ความแค้นต้องชำระ! 

 

 

นางเขย่งเท้าขึ้นทันที มองไปทางนอกตำหนักแวบหนึ่ง ผุดเผยสีหน้าตื่นตระหนกตกใจออกมา 

 

 

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกมีเสียง เพล้ง! ดังขึ้น 

 

 

เหล่าขุนนางตกใจ ทยอยหันหน้าไปมอง 

 

 

เดิมทีกงอิ้นยืนอยู่ใกล้ปากประตูข้างหลังสุดของเหล่าขุนนาง เรือนร่างเฉียดไปข้างหลังโดยสำนึก 

 

 

ในพริบตาหนึ่งนี้ที่ทุกคนทยอยหันหลัง 

 

 

ในมือของจิ่งเหิงปัวพลันมีหวีเล่มหนึ่งเพิ่มเข้ามา นางหันหลังใช้หวีเคาะบนหางหงส์ข้างหลังอย่างรวดเร็วสามครั้ง 

 

 

จากนั้นนางกอดชุ่ยเจี่ยไว้แน่น เข้าใกล้โต๊ะเครื่องแป้ง รอคอยการจมดิ่งในพริบตาหนึ่งนั้น 

 

 

ไม่มีการเคลื่อนไหว 

 

 

ได้ยินเสียง แกร๊กๆ ดังขึ้นอย่างเลือนราง จากนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะ “คิกๆ” 

 

 

เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวแข็งทื่อ 

 

 

กงอิ้นที่เฉียดออกจากธรณีประตูยืนนิ่งงัน ค่อยๆ หันหลังกลับมา 

 

 

ม่านกระโจมหน้าเตียงถูกมือขาวซีดคู่หนึ่งเลิกออกโดยพลัน 

 

 

นิ้วมือเรียวยาว เล็บขาวบริสุทธิ์อิ่มเอิบ รูปร่างมือเล็กเรียว เพียงแต่ผิวกายแลดูขาวซีดเล็กน้อย 

 

 

ท่วงท่าที่นิ้วมือเลิกม่านออกสง่างามยิ่งนัก คล้ายแม้แต่รัศมีโค้งของปลายนิ้วยังกรีดกรายอย่างตั้งอกตั้งใจ ชั่วพริบตานี้จิ่งเหิงปัวแทบจะนึกว่าตนเองมองเห็นจื่อหรุ่ย 

 

 

ทว่าไม่ใช่จื่อหรุ่ยแน่นอน นางเพิ่งตามมาถึง กำลังยืนอยู่บนพื้นหิมะหน้าตำหนักด้วยใบหน้าซีดขาวเศร้าโศก 

 

 

นิ้วมือตั้งใจหยุดลงข้างม่านเล็กน้อย ดึงดูดสายตาของทุกผู้คน คนหลังม่านนั้นหัวเราะแผ่วเบาอีกครั้ง เอ่ยว่า “กงอิ้น เจ้าดูสิ หิมะของวันนี้ดียิ่งนัก” 

 

 

จิ่งเหิงปัวสั่นสะท้าน นางฟังออกแล้วว่าเสียงนี้คือเสียงของจิ้งอวิ๋น แต่นึกไม่ถึงว่าวาจาประโยคแรกของนางเอ่ยขึ้นกับกงอิ้น 

 

 

วาจาประโยคนี้เฉื่อยเนือยไร้ความแปลกใจ ทว่าดั่งคล้ายมีกลอุบายซ่อนเร้น 

 

 

กงอิ้นชะงัก เงยหน้าขึ้นฉับพลัน 

 

 

ในแววตาดำขลับของเขามีแสงรุ่งโรจน์กะพริบวูบ ทิ่มแทงดุจคมมีดในพริบตาเดียว 

 

 

“เจ้า…คือผู้ใดกัน!” 

 

 

เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกเสียงหนึ่ง ทว่ามิใช่เสียงหัวเราะที่เจือด้วยความกระดากอายเฉกเช่นแต่ก่อนของจิ้งอวิ๋นอีกแล้ว เสียงนี้เฉื่อยเนือย เย็นชา ระยะห่างทั้งไกลทั้งใกล้ 

 

 

ม่านเปิดออก ผู้ที่ก้าวออกมาคือจิ้งอวิ๋น เพียงแต่การแต่งกายของนางทำให้สายตาของทุกคนจับจ้องเขม็ง 

 

 

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

Status: Ongoing

ตอนที่ 1 – 30 อ่านนิยาย


ยามนั้น อสนีเปรี้ยงเวหา พสุธายุบหลุมลี้ เพชรพลอยเกลื่อนธรณี เกิดจานเหินที่กลางอากาศ มีนารีนางหนึ่งจักกำเนิดตนจากฟ้าถล่มดินทลาย…กลายเป็นราชินีแห่งต้าฮวง!

คำทำนายจากสรวงสวรรค์ ก่อกำเนิดเป็นความอัศจรรย์จากฟากฟ้า นำพาให้ จิ่งเหิงปัว หญิงสาวจากศตวรรษที่ 21 ผู้เลอเลิศในปฐพี (?) ต้องตกอยู่ในสถานะราชินีแห่งลุ่มแม่น้ำต้าฮวงด้วยความจำยอม… แต่ใครเล่าจะรู้ว่าตำแหน่งราชินีสูงส่งที่อยู่เหนือผู้คนนับหมื่นพัน จะกลายเป็นเพียง ‘ตำแหน่ง’ กันชนเพื่อการช่วงชิงอำนาจระหว่างราชครูฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย…

หากนางรู้ว่า ตำแหน่งราชินีที่นาง ‘จำยอม’ รับมาด้วยความสุข จะเป็นเพียงแค่หมากเกมหนึ่งในกระดานของชายหนุ่มทั้งสอง…ครานั้นนางจะทำอย่างไรดีเล่า

“หนีสิโว้ยยย!”

“กระหม่อมอนุญาตให้พระองค์หนีสามครา ฝ่าบาท”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท