แคว่ก
คอเสื้อฉีกขาด ผิวกายตั้งแต่ลำคอจรดหน้าอกเปล่งประกายสลัวดุจจันทร์ ผ่องอำไพท่ามกลางความมืดมิดในห้อง
เขายกมือเล็กน้อย คล้ายหวังจะขัดขวาง ซ้ำยังคล้ายชะงักงันแล้ว
คงนึกไม่ถึงว่าบนโลกนี้ยังมีผู้หญิงที่กล้าหาญขนาดนี้ล่ะมั้ง จิ่งเหิงปัวคิดว่าท่านอาจารย์จื่อเวยที่สมญาสะเทือนโลกหล้า ผู้ที่ถูกกราบไหว้บูชาประหนึ่งเทพ โดนตัวเองทับไว้พลางฉีกเสื้อผ้า ข่าวแพร่ออกไปจะทำให้ราษฎรต้าฮวงตกใจจนตาถลนหรือไม่? เพียงแต่นางแน่ใจได้ว่าเจ็ดสังหารจะต้องปรบมือร้องว่าเยี่ยม เฉลิมฉลองหนึ่งปี
เมื่อจะทำแล้วต้องทำให้ถึงที่สุด ฉีกเสื้อผ้าแล้วก็ทำต่อไป อย่างไรเสียนางกำลังเปลื้องผ้าตาเฒ่า นางใช้สองมือคว้าคอเสื้อสองฝั่งที่ฉีกขาดไว้ กระชากออกจากกันอย่างรุนแรง
ตอนที่กระชากออกจากกันแบบนี้ ฉากหนึ่งพลันแวบผ่านในสมองนาง
หญิงสาวที่สวมกระโปรงโบราณสีแดงเข้ม คร่อมบนร่างชายหนุ่มที่สวมเสื้อผ้าขาวราวหิมะ
ดึงด้ายทองทิ้ง ดึงไข่มุกทิ้ง ฉวยมือเหวี่ยงเพียงครั้ง คว้าคอเสื้อของเขาไว้ สองมือกระชากอย่างรุนแรง
“มิฉะนั้นข้าก็จะเปลื้องผ้าเจ้ากลางวันแสกๆ!”
…
จำได้รางๆ ว่าก็เป็นท่วงท่านี้ การกระทำนี้…
นิ้วมือนางสั่นเทิ้ม แต่ไม่ได้หยุดยั้ง เสียง แคว่ก อีกครั้ง
เสื้อผ้าท่อนบนของเขาถูกนางทำลายเสียส่วนใหญ่ ทะลุผ่านเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น ทั้งสิ่งที่ควรเห็น ทั้งสิ่งที่ไม่ควรเห็น ก็เห็นหมดสิ้นแล้ว
ผมดำของเขาพลิ้วสยาย โค้งบนไหล่ปานธารหลาก โปรยปรายบนหน้าอกที่เสื้อผ้าขาดวิ่น ท่วงท่าคุ้นเคยรำไร
นางไม่อยากมอง แต่สายตายังคงแฉลบลงไป แอบรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง…ท่านอาจารย์จื่อเวยอายุปูนนี้แล้ว แม้ผิวหน้าหยกนวลชะลอวัยไม่แก่ชรา นึกไม่ถึงว่าบนร่างกายก็เช่นเดียวกัน ดุจหยกดั่งดวงจันทร์ ประหนึ่งกุหลาบเฉียงเวยแย้มบานกลางสระหยกอ่อน…
เพียงแต่มองได้แวบเดียว นางใจเต้นรัวทันที คล้ายผีสางเทวดาดลใจ นิ้วมือก็เอื้อมไปแหวกเสื้อผ้าตรงหน้าอกที่ขาดวิ่น อยากจะมองให้ชัดเจน
ตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรตัวเองต้องทำแบบนี้ หรือว่าเป็นจิตใต้สำนึก หรือว่าเป็นลิขิตฟ้า
นิ้วมือเพิ่งจะเอื้อมออกไป คนที่ถูกทับไว้ไม่แค่นสักเสียงกอดนางไว้โดยพลัน นางตกใจจะดิ้นรน เขาพลิกตัวครั้งหนึ่ง ทับนางไว้แล้ว
นางตื่นตระหนก กลัวว่าตัวเองทำให้เรื่องยิ่งแย่ รีบงอเข่าจะต้านไว้ เข่ายังไม่ทันได้ยกขึ้นไป เข่าของเขาจมลงมาแล้ว ค้ำยันหัวเข่านางไว้พอดี เข่าของสองคนชนกันดังกังวาน นางเจ็บจวนจะเปล่งเสียงร้อง เรี่ยวแรงบนร่างกายเหือดหายกะทันหัน
เรือนร่างอ่อนยวบ เขาทับลงมาแล้ว สองมือล็อกข้อมือของนางไว้ ปราณแท้เย็นเยือกพุ่งเข้ามา เรี่ยวแรงทั่วร่างนางหายไปทันที
จิ่งเหิงปัวแอบร้องว่าแย่แน่ เอียงศีรษะกัดไปทางคอหอยเขาอย่างรุนแรง…ไม่มีขายังมีมือ ไม่มีมือยังมีฟัน เพื่อปกป้องความบริสุทธิ์ของพี่ ต้องต่อสู้ไม่หยุด
ทว่าเขาเอียงศีรษะอย่างว่องไวยิ่งนัก หลบหลีกการกัดนี้ ฉวยโอกาสก้มศีรษะข้างคอนาง ปากกัดผิวข้างคอนางไว้
นางขนลุกขนชันทั่วร่าง ชั่วขณะนี้โกรธแค้นความบ้าบิ่นของตัวเองอย่างมาก ซ้ำยังแปลกใจกับการคาดการณ์ของตัวเองอย่างมาก…ท่านอาจารย์จื่อเวยฐานะระดับไหน ซ้ำยังอายุปูนนี้ ต่อให้หยอกเย้าโลกมนุษย์แค่ไหน ในใจก็ย่อมมีคุณธรรม จะปรากฏสภาพแบบนี้ได้อย่างไร?
แต่ไม่ว่าเป็นไปได้หรือไม่ สภาพนี้โผล่มาแล้ว จะเสียใจก็สายไป นางจะตะโกนเรียกเผยซู แต่ข้อศอกของเขากดคอหอยนางไว้ นางได้แต่ตะโกนถ้อยคำอู้อี้ออกมา นางเข้าใจอย่างถ่องแท้ ตะโกนออกมาก็ไม่มีประโยชน์ สองคนดิ้นรนเกลือกกลิ้งขนาดนี้ ถ้าคนที่อยู่ข้างห้องยังมีสติก็น่าจะได้ยิน ควรเข้ามาตั้งนานแล้ว ไม่ได้เข้ามา เท่ากับว่าเผยซูก็อาการกำเริบแล้ว
นางรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของคนข้างบนแล้ว ความร้อนผ่าวกับความแข็งแกร่งพวกนั้น พอจะเห็นได้ว่านั่นคือการเกิดอารมณ์ที่แท้จริง นางกัดฟันหลับตา ฟันค้ำลิ้นไว้ กำลังจะเตรียมกลั้นความเจ็บปวดกัดลิ้นอย่างรุนแรง นิ้วมือนิ้วหนึ่งพลันต้านฟันของนางไว้
ของเหลวกระจายไปทั่วช่องปากอย่างรวดเร็ว ทั้งคาวทั้งหวานเล็กน้อย แต่กลับไม่ใช่เลือดของนาง
นางหลุบตาลง มองหลังมือที่มีเลือดไหลของเขา ในใจเกร็งแน่นอยู่บ้าง เขากลับไม่ได้ชักนิ้วมือออกไป ซ้ำยังไม่ได้เปล่งเสียงร้องเจ็บปวดสักเสียง
ศีรษะของเขาวางอยู่ข้างคอนาง เรือนร่างนางแข็งทื่อกะทันหัน…ริมฝีปากของเขาพลันทอดลงบนติ่งหูนาง
อ่อนนุ่มหนาวเย็นเล็กน้อย ริมฝีปากที่ประหนึ่งวุ้นแช่เย็น
นางแข็งทื่อ รู้สึกรางๆ ว่าฉากนี้ก็คุ้นเคยน่าตื่นตะลึง แต่ตอนนี้ในใจตึงเครียดสับสน ไม่มีแรงเหลือใคร่ครวญ ตึงเครียดพลางดีใจว่าโชคดีที่เจ้าคนนี้มีท่าทางคล้ายเด็กหนุ่ม ไม่รู้จักมุ่งสู่ประเด็นหลักด้วยซ้ำ ตอนที่คิดแบบนี้แอบรู้สึกเอะใจอยู่บ้าง จากนั้นสั่นสะท้าน…เขาเลียติ่งหูของนาง
แสงสายฟ้าเฉียดทะยาน ล่องลอยทะลวงผ่าน ผิวกายนางเกิดขนลุกขนพองหลายระลอก ไม่ใช่ขยะแขยง แต่เป็นความตื่นตะลึงที่กระตุ้นความทรงจำ
ริมฝีปากแตะต้องติ่งหู จากนั้นหลีกถอยปานโดนลวก ยามที่ก้มลงมาอีกครั้ง มาถึงจอนผมของนาง
จอนผมดำขลับอ่อนนุ่ม ดุจมีดตัดจอนผมโฉมงาม ความงามกับความดีของนางก็เป็นมีดที่ปักเข้าดวงใจ สะบั้นเส้นโลหิต เข้าสู่เลือดเนื้อ ทิ่มแทงถึงกระดูก ถอนออกไปไม่ได้ชั่วนิรันดร์
นางเลิกดิ้นรน ดวงตาจ้องข้างบนแน่วแน่ ในใจไม่รู้ว่าหวาดกลัวหรือว่าเฝ้าปรารถนา
พริบตาต่อมาริมฝีปากของเขาทอดลงบนหน้าผากนาง
นางสั่นสะท้าน กลางแววตาค่อยๆ คลอด้วยน้ำตา
จะอธิบายอย่างไร จะเผชิญหน้าอย่างไร ลำดับเช่นเดียวกันนี้เป็นความบังเอิญในโลกนี้ หรือว่าเป็นการยอมจำนนเมื่อสติเลือนราง
หน้าผากเกลี้ยงเกลาดุจหยก ริมฝีปากสัมผัสแล้วจึงคล้ายจะลื่นไหลลงไปเสียเอง ใกล้ขนาดนี้ ใกล้ขนาดนี้ นางรู้สึกถึงลมหายใจที่ร้อนผ่าวกับร่างกายที่สั่นเทิ้มเล็กน้อยของเขา เขากำลังตื่นเต้น ความตื่นเต้นที่ใกล้สูญเสียการควบคุม เขาพาเรือนร่างใกล้ชิดมาทางนางแนบแน่น ถูไถไม่หยุดหย่อน คล้ายจะซึมซับอุณหภูมิความร้อนของนาง ซ้ำยังคล้ายจะถ่ายทอดอุณหภูมิความร้อนของเขา ระหว่างผิวกายนวลเนียนเย็นสบายเสียดสีกันคล้ายเกิดเปลวไฟ เขากำลังลุกไหม้ ทว่าวนเวียนไปมาอีกครั้ง คล้ายไม่รู้ว่าจะไปสู่ฟากฝั่งอย่างไร
ความรู้สึกแบบนี้ทำให้นางไม่สบายใจยิ่งขึ้น หัวใจเริ่มเต้นตึกตัก ขานรับกับเสียงใจเต้นของเขา เสียงแล้วเสียงเล่า ต่างเป็นปริศนาที่ยากจะแก้ไข
ราวกับนางวนเวียนอยู่ท่ามกลางความสับสนสงสัยกับความตื่นตะลึงอย่างไม่หยุดยั้ง ทว่าเขาว่ายข้ามระหว่างความเจ็บปวดเร่าร้อนกับการต่อต้านอย่างไม่มีทางเลี่ยง ไม่ได้รับการแก้พิษพักผ่อนที่ทันเวลา เข็มพิษในร่างโลดแล่นพาให้เจ็บจนไม่อาจเอื้อนเอ่ย เข็มพิษเหล่านั้นยิ่งชุมนุมกันอย่างต่อเนื่อง จู่โจมการควบคุมตนเองกับสติสัมปชัญญะของเขา สติสัมปชัญญะบอกเขาว่าควรลุกขึ้นจากไปโดยพลัน ทำตามแผนการที่วางไว้ ทว่าร่างกายกับพละกำลังสั่งให้เขาต้องหยุดอยู่ที่เดิม ภายใต้ร่างกายคือผู้ที่คิดถึงทุกเวลา ผู้ที่ยอมจำนนด้วยหัวใจ ผู้ที่ความทรงจำสลักไว้ในวิญญาณต่อให้วิงเวียนหรือสิ้นใจก็ไม่อาจลืมเลือน จะหักใจได้อย่างไร จะหักใจได้อย่างไรเล่า
ขนตาแน่นขนัดของนางกวาดผ่านบนใบหน้าของเขา ครั้งแล้วครั้งเล่า กวาดผ่านจนผู้คนหงุดหงิดคลางแคลงสูญเสียจิตใจ กวาดผ่านจนทะเลสาบดวงทหัยของทั้งสองฝ่ายเกิดระลอกคลื่นสงบเงียบ แต่ละครั้งล้วนเป็นเกลียวคลื่นที่พร่างพราย
นางเริ่มรู้สึกว่าสองแขนขยับได้แล้ว อดจะยกมือขึ้นไม่ได้ การกระทำแรกไม่ใช่ผลักเขาออก แต่ไปลูบคลำมือของเขา
ท่าทางที่เขาเคยกระทำ ท่าทางที่นางเคยกระทำ
ปลายนิ้วสัมผัสความเย็นเยือก ในใจนางส่งเสียงดังครืน ไม่รู้ว่าตกใจหรือหวาดกลัว กลัวว่าพริบตาต่อมาก็จะคลำเจอน้ำแข็งที่แตกร้าว แต่ว่าไม่เจอ ชั่วพริบตาเดียวปลายนิ้วนั้นก็เริ่มร้อน ร้อนจนนางต้องชักมือกลับไป ความร้อนเช่นนี้ ราวกับความเยือกเย็นเมื่อครู่เป็นเพียงความรู้สึกลวง นางงงงัน รู้สึกแค่ว่าสับสนไปชั่วขณะ
ทว่าเขาคล้ายได้รับการกระตุ้น พลันกอดนางไว้พลิกตัวครั้งหนึ่ง ท่ามกลางความมึนงงวิงเวียนริมฝีปากทาบทับลงมาอย่างเร่าร้อนแล้ว ครานี้มุ่งสู่ปลายทางจนได้ คล้ายคลื่นทะเลลูกใหญ่ ฟันฝ่าพันหมื่นลี้ สุดท้ายแล้วพุ่งสู่หาดทรายที่มุ่งมาดปรารถนา
ชั่วพริบตาต่อมาบนร่างนางเหน็บหนาว ชั่วพริบตาเดียว นางเห็นเสื้อผ้าของตัวเองลอยคว้างออกไปจากปลายนิ้วเขาอย่างตื่นตะลึง
การกระทำครั้งนี้ยังคงอยู่เหนือความคาดหมายของนาง นางเบิกตากว้าง ลืมสิ้นทุกการกระทำในชั่วขณะ
หลังจากแข็งทื่อชั่วครู่ การรับรู้สัมผัสค่อยๆ กลับมา ขณะนี้ความรู้สึกของผิวกายยิ่งชัดเจน อุณหภูมิในร่างกายที่ร้อนผ่าวปานนั้นคล้ายจะเผาไหม้สติสัมปชัญญะให้กลายเป็นเถ้าถ่านได้ นางรู้สึกถึงความเร่งร้อนของเขา สิ่งนี้ทำให้ในใจนางยิ่งหมดหวังมากขึ้น ยิ่งรู้สึกว่าเขาแปลกหน้ามากขึ้น นางเริ่มดิ้นรนอีกครั้ง แต่ดึงดันไม่พ้นความมุ่งมั่นของเขา เขาประชิดใกล้ทีละก้าว นางทยอยถอยหลัง ครู่ต่อมาเขาก็จะเหาะเหินราวกับมังกรพิโรธ พัดพาฟ้าดินของนาง
นางพลันหลั่งน้ำตาออกมา
เพียงแค่น้ำตาที่ไร้ซึ่งสรรพเสียง ทั้งที่ความสนใจของเขาอยู่ที่อื่น ทว่าพลันตกใจ เงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก
แต่นางเอียงศีรษะไปฝั่งหนึ่ง กระซิบว่า “ชั่วชีวิตนี้ ข้าหวังเพียงมอบให้ผู้ที่ข้าต้องการจะมอบให้ ภายใต้สถานการณ์ตัวข้ายินยอมพร้อมใจ นอกเหนือจากนี้ ผู้ใดต้องการข้า ข้าจะฆ่าผู้นั้น”
เขาชะงักงัน
นางฉวยโอกาสผลักเขา เขาหลีกถอยอย่างมึนชา ฝ่ามือนางค้ำยันหน้าอกเขา รู้สึกทันทีว่าใต้นิ้วนูนขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยาว คล้ายเป็นแผลเป็น…นางก้มหน้าทันที
ทว่าเขาพลันลุกขึ้น สะบัดแขนพาอาภรณ์ของนางลอยมาแล้ว เขาก้มลงม้วนผ้าห่อนางมั่วซั่ว รวมทั้งห่อผ้าที่เต็มไปด้วยสิ่งของนั้นก็ห่อไว้ด้วยกัน ยกเท้าถีบประตูให้เปิดออก เหวี่ยงนางไปนอกประตูอย่างรุนแรง
ร่างนางอยู่กลางอากาศ หันหน้ากลับมามองข้างหลัง นิ้วมือเอื้อมออกมา รักษาท่วงท่าที่หวังจะสืบเสาะไว้ ชั่วพริบตาผมยาวพลิ้วสยาย สีหน้าซับซ้อนและโศกเศร้า
ทว่าเขาถีบประตูอีกครั้งอย่างเด็ดเดี่ยว เสียงพลั่กดังสนั่น ปลายนิ้วของนางกระแทกบนประตู เกิดความเจ็บปวด
นางล้มลงร่วงพื้น หอบสิ่งของที่ระเกะระกะกองนั้นไว้ นางไม่มองด้วยซ้ำ โยนสิ่งของไว้ สวมเสื้อผ้า พอยกเท้าได้ก็ถีบประตู
แต่ประตูคล้ายถูกอะไรสักอย่างค้ำไว้ นางถีบให้เปิดออกไม่ได้ นางแนบหูฟังบนประตู คล้ายได้ยินเสียงหอบหายใจที่แผ่วเบาและถี่กระชั้นรำไร
เสียงนี้ทำให้นางตกใจ อยากหายตัวเข้าไปก็ไม่กล้า กลัวว่าเรื่องราวเมื่อครู่จะเกิดขึ้นอีกครั้ง ถ้าเกิดความผิดพลาดอะไร นั่นก็จะไม่มีโอกาสให้นึกย้อนเสียใจอีกแล้ว
ประตูถูกเปิดออกกะทันหัน นางแทบล้มทิ่มเข้าไปในอ้อมกอดของคนที่เปิดประตู นางทั้งดีใจทั้งตกใจ พอเงยหน้ากลับเห็นหน้าของท่านอาจารย์จื่อเวย ท่านอาจารย์จื่อเวยก้มหน้า มองนางด้วยท่าทางคล้ายยิ้มทว่ามิได้ยิ้ม บนหน้าตางดงามที่นุ่มนวลสง่างามมีสีหน้าประหลาด นางไม่ทันได้สนใจเขา ชะโงกหน้าหวังมองข้างใน แต่ท่านอาจารย์จื่อเวยออกมาพร้อมปิดประตูดังพลั่ก
นางเงยหน้ามองท่านอาจารย์จื่อเวย เขายังคงสวมกระโปรงผู้หญิงสีม่วงชุดนั้น แน่นอนว่าตรงหน้าอกขาดวิ่นแล้ว เขาโอ้อวดเครื่องแต่งกายท้าทายสายตาของนาง เหลือแค่ไม่ได้ยืดอกหน่อยก็เท่านั้น
หน้าอกเขาเกลี้ยงเกลา ไม่มีแผลเป็น
“เมื่อครู่…เจ้า…นั่น…” นางรู้สึกว่าคำถามนี้เหลวไหลมาก อยากถามก็ไม่รู้ว่าควรถามอย่างไร
บนใบหน้าท่านอาจารย์จื่อเวยพลันแดงซ่านทั้งสองข้าง เอ่ยอย่างเขินอายว่า “นึกไม่ถึงว่าข้ายังคงงดงามเช่นนี้ ทำให้เจ้าควบคุมตนเองไม่ได้…”
จิ่งเหิงปัวอยากตบใบหน้างดงามของเขาให้แบนราบเหลือเกิน
ท่านอาจารย์จื่อเวยหุบยิ้มเอ่ยต่อไปว่า “แน่นอน เจ้าคิดจะแทะโลมผู้ชราเช่นข้าเป็นเรื่องไม่ถูกต้องยิ่งนัก นี่เป็นการหมิ่นแคลนเขาชีเฟิงของข้า ด้วยเหตุนี้ข้าตัดสินใจหักคะแนนเจ้าหนึ่งแต้ม!”
“แล้วแต่เลย!” จิ่งเหิงปัวห่วงแค่ประตูที่อยู่ข้างหลังเขา “คนชุดป่านคนนั้นเล่า?”
“เจ้าหมายถึงที่รักของข้าหรือ?” ท่านอาจารย์จื่อเวยกะพริบตา “ไปแล้ว”
“เขาเป็นผู้ใดกันแน่!” จิ่งเหิงปัวอยากเดินอ้อมเขาไปเปิดประตูหลายครั้ง หมดหนทางเพราะว่าอ้อมไปทางซ้ายเขาขวางซ้าย อ้อมไปทางขวาเขาขวางขวา เป็นตายไม่ยอมให้นางเข้าไป
ในใจนางคล้ายโดนแมวข่วน ไม่รู้ว่าเป็นทุกข์หรืองงงวยหรือว้าวุ่น ประตูบานนี้คล้ายสิ่งกีดขวางตามธรรมชาติ ขวางกั้นสายตา ซ้ำยังขวางกั้นคำตอบของความลับบางอย่าง
แต่นางต้องการคำตอบแบบนั้นหรือไม่กันแน่ นางไม่รู้เช่นกัน