นางมาถึงตรอกหออวี้โหลว ไม่ต้องตามหา หอหลังใหญ่ที่สุดที่มีแสงไฟสว่างไสวนั่นเอง บนถนนใต้หอ คนกินข้าว คนเดินถนน และคนเที่ยวเล่นต่างเป็นชายฉกรรจ์แต่งกายคล่องแคล่วเป็นกลุ่มๆ สวมเสื้อผ้าหลากหลายสีสัน แต่ละคนสายตาคมกริบ ก้าวเดินว่องไว พกมีดพกกระบี่ ไอดุร้ายทั่วร่าง ซ้ำยังแบ่งแยกกันชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเป็นคนละกลุ่มกัน
ข้างทางมีคนสองกลุ่มกำลังเล่นพนัน คนกลุ่มหนึ่งกำลังโวยวาย คนฝั่งหนึ่งแพ้แล้ว ยกมือขึ้นสะบั้นมีด นิ้วมือสามนิ้วกลิ้งไปตามถนน ไม่มีคนร้องโหยหวน ทุกคนหัวเราะเกรียวกราว บนถนนมีคนเดินผ่านมา เตะนิ้วมือลงท่อระบายน้ำอย่างไม่สะทกสะท้าน
นี่เป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีให้เห็นที่อื่นในต้าฮวง เต็มไปด้วยความป่าเถื่อนที่เ**้ยมโหด ปีศาจที่ซ่อนเร้น ความกระหายโลหิตที่นิ่งเงียบ การประจัญบานที่เยือกเย็น
ที่นี่คือโลกแห่งยุทธภพ
จิ่งเหิงปัวลูบคาง คิดว่าสักวันต้องให้เจ้าพวกนี้ไสหัวกลับไปในโพรงหนูของตัวเองอย่างว่าง่าย
นอกจากผู้ฝึกวรยุทธแล้ว คนที่เหลืออยู่บนถนนก็คือสตรี ทั้งตรอกหออวี้โหลวเป็นแหล่งสถานเริงรมย์ หญิงคณิกาย่อมอยู่ทั่วทุกแห่ง ข้างกายผู้ที่แต่งกายคล้ายหัวหน้าแทบทุกคนจะมีสตรีหน้าแฉล้มแก้มแดงหนึ่งนางอิงแอบแนบชิด อีกทั้งรูปร่างหน้าตาของสตรีก็เปลี่ยนไปตามระดับตำแหน่งสูงต่ำของหัวหน้า ตั้งแต่ท้ายตรอกสู่หออวี้โหลวที่อยู่กลางตรอก แลคล้ายเห็นการเปลี่ยนแปลงตามระดับตั้งแต่หญิงอัปลักษณ์สู่หญิงงาม
สถานที่เช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเสียแรงปลอมตัวแล้ว พอตกกลางคืน ผิวของจิ่งเหิงปัวฟื้นคืนสู่ปกติ นางเดินเข้าไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
ยามแรกไม่มีคนสนใจนาง สตรีเยอะแยะมากมาย ทว่ายามที่เจ้าคนเมาผู้หนึ่งแกว่งโคมไฟในมือไปตรงหน้านางโดยไม่ตั้งใจ คนผู้นั้นตกตะลึงยิ่งนัก
คนรอบด้านก็ชะงักงัน
คนกินอาหาร คนวางหมาก คนดื่มสุรา และคนเล่นพนันที่อยู่บนถนน ทุกผู้คนพากันเหลียวหลังอย่างเงียบเชียบ จ้องมองจิ่งเหิงปัวที่เดินผ่านตลอดทาง
เหล่าสตรียืดตัวตรงพ้นอ้อมแขนของบุรุษ มองจิ่งเหิงปัวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สายตาฉายแววอิจฉา ยิ่งกว่านั้นคือริษยา
ถนนทั้งสายพลันเปลี่ยนจากเสียงดังที่สุดกลายเป็นเงียบที่สุด สายตาทั้งแปลกประหลาดทั้งสืบเสาะเหล่านั้น จ้องจนแม้แต่คนใจกล้าเช่นจิ่งเหิงปัวนี้ยังรู้สึกขนลุก
นางรู้ว่าตัวเองสวย เดิมทีนึกว่าสถานที่ซึ่งมีทั้งคนดีคนเลวปะปนกันเช่นนี้ พอคนอื่นเห็นหน้าแล้วจะต้องเกิดการแย่งชิงกับการแทะโลมอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่น่าแปลก ทุกคนไม่ได้ทำเช่นนั้น
นางเดินผ่านสายตาที่เงียบเชียบกับแปลกประหลาดตลอดทาง รู้สึกแค่ว่าทั่วร่างอึดอัด
ที่ซึ่งนางเดินผ่าน ทุกคนจะหลีกทางให้ เส้นทางสายนั้นมุ่งสู่หออวี้โหลว นางอยากหลบเข้ามุมยังทำไม่ได้
นางถูกคนพวกนั้นบังคับให้เดินไปหออวี้โหลวที่มีงานเลี้ยงในวันนี้อย่างไม่เต็มใจ
ปากประตูหออวี้โหลวมีเจ้าของร้านยืนอยู่ เหล่าผู้อาวุโสยังไม่มา เจ้าของร้านและเสี่ยวเอ้อร์ทุกคนคอยต้อนรับแขกที่ปากประตูแล้ว มองเห็นนางเดินตรงเข้ามา พลันเดินมาต้อนรับ เอ่ยว่า “เชิญแม่นางไปพักผ่อนในห้องด้านหลัง อีกเดี๋ยวรอเรียกก็พอแล้ว”
จิ่งเหิงปัวรู้สึกแปลกใจ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคนพวกนี้วางแผนจะทำอะไรกันแน่ หรือว่าจำฐานะของนางได้? ดูแล้วก็ไม่น่าใช่นะ
เมื่อมาแล้วก็ต้องอยู่อย่างสงบสุข นางเข้าหออวี้โหลว
เงาร่างของนางเพิ่งจะหายไปในหอ ถนนเงียบสงัดพลันเกิดเสียงฮือฮา กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดั่งกระแสคลื่น แทบจะพัดพาฝนโปรยปรายทั่วถนนเช่นนี้ไป
“ฮ่า หญิงงามอันดับหนึ่งในคืนนี้งดงามยิ่งนัก!”
“ก็ไม่รู้ว่าหัวหน้ากลุ่มหวาหามาจากที่ใด คล้ายไม่ใช่หญิงจากหอบุปผาของกวนจยาชวนแห่งนี้”
“อาจเป็นยอดหญิงงามจากซั่งหยวนกระมัง? ดูท่าทางนั้นทั่วร่างนางสิ”
“เจ้าหนุ่มที่ได้รับเชิญคนนั้นคือผู้ใด? วาสนาดีนัก!”
“พอแล้ว เขานับเป็นผู้ใดกัน? ระวังมีชีวิตมาได้ ไม่รอดชีวิตกลับไปนะ!”
…
จิ่งเหิงปัวยืนอยู่ตรงหน้าต่างชั้นสองของหออวี้โหลว มองการเคลื่อนไหวข้างล่าง
นางถูกเจ้าของร้านต้อนรับเข้ามาอย่างกระตือรือร้น ไม่มีคนถามฐานะของนาง ไม่มีคนสอบสวนอะไรนางทั้งนั้น นางถูกเชิญเข้าห้องพักผ่อนห้องหนึ่งโดยตรง ที่นั่นมีเตียงกระโจมเครื่องนอนโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมสรรพ มีแม้แต่ห้องอาบน้ำ
เจ้าของร้านให้นางพักผ่อนให้เต็มที่ ของใช้ในห้องแล้วแต่นางจะใช้สอย ซ้ำยังส่งชุดกระโปรงงดงามมาให้หนึ่งชุด
จากนั้นมีเด็กหญิงรับใช้สองคนเข้ามาปรนนิบัติ ถามนางว่าจะอาบน้ำหรือไม่ ท่าทางเคารพนบนอบ
แน่นอนว่าจิ่งเหิงปัวไม่ต้องการอาบน้ำ นางต้องการไขปริศนา
ด้วยฝีปากของนาง หลอกเด็กหญิงน้อยสองคนเป็นเรื่องแค่เสี้ยววินาที ผ่านไปไม่นานก็รู้แล้ว แท้จริงแล้วทุกคนที่นี่นึกว่านางเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งที่มารับแขกในคืนนี้
งานเลี้ยงกลุ่มที่ตรอกหออวี้โหลว จะเชิญแม่นางที่งดงามที่สุดออกมาปรนนิบัติแขกที่สำคัญที่สุด นี่เป็นธรรมเนียม
ฉะนั้นตอนที่นางปรากฏตัว ทุกคนตกใจในรูปโฉมของนาง จึงนึกว่านางเป็นยอดหญิงงามที่มารับแขกคนนั้นเป็นธรรมดา
ส่วนเรื่องที่นางแต่งตัวเรียบง่าย เสื้อผ้าอาภรณ์ไม่เหมือนยอดหญิงงามอะไร แต่ก็ไม่มีคนแปลกใจ ไต้เม่าแห่งนี้มีแต่การต่อสู้ สังคมไม่ยุติธรรม ผู้หญิงก็เรียนวรยุทธง่ายๆ หรือเรียนปลอมตัวบ่อยครั้ง เพื่อที่จะปกป้องตัวเอง
จิ่งเหิงปัวยืนอยู่บนหอ เห็นเหล่ายอดหญิงงามของที่นี่มาถึงตามลำดับ บางคนแต่งตัวนั่งเกี้ยว บางคนก็เดินเท้าตามอารมณ์ อย่างไรเสียในร้านนี้จัดเตรียมพร้อมสรรพ มาถึงแล้วค่อยแต่งหน้าแต่งตัวก็ได้
จิ่งเหิงปัวแปลกใจเล็กน้อย นางดูกู๋หว่าไจ๋จนเคย งานเลี้ยงใหญ่ของแก๊งมาเฟียแบบนี้ หรือว่าไม่กลัวศัตรูปะปนเข้ามา? ถ้ามีคนปะปนเข้ามา ลอบสังหารคนนั้นคนนี้คนนู้น ก็อาจเปลี่ยนแปลงการปกครองได้เลยไม่ใช่เหรอ?
เหล่าเด็กหญิงน้อยหัวเราะขึ้นมา
“แม่นางน่าจะมาถึงไต้เม่าไม่นาน ไม่รู้กฎเกณฑ์ของไต้เม่าเรา เมื่อสิบปีก่อน ไต้เม่าได้กำหนดกฎเกณฑ์โดยผู้นำสามสำนักสี่พรรคเจ็ดกลุ่มใหญ่ หากไม่ใช่สถานการณ์ชุมนุมใช้กำลังต่อสู้ ห้ามไม่ให้ผู้ใดก็ตามลงมือทำร้ายผู้อื่น ด้วยวิธีนี้รับรองว่ายามที่ต้องการเจรจาอย่างสันติ ทุกกลุ่มอำนาจจะได้นั่งเจรจากันอย่างปลอดภัย ประการนี้ ผู้นำทุกคนปฏิญาณด้วยโลหิต ไต้เม่าเราให้ความสำคัญกับคำมั่นสัญญายิ่งนัก หากผิดสัญญาจะถูกกลุ่มอำนาจทั้งยุทธภพไล่ล่าสังหาร ไม่ได้สงบสุขอีกเลย ไม่มีคนกล้าฝ่าฝืน”
จากนั้นเหล่าเด็กหญิงน้อยยืนกรานเชิญจิ่งเหิงปัวอาบน้ำอย่างนิ่มนวล ขณะอาบน้ำ จิ่งเหิงปัวพบว่าพวกนางสายตาแพรวพราว เคลื่อนไหวว่องไว แอบตรวจสอบเสื้อผ้าของนางโดยไม่ให้รู้ตัวเสร็จแล้ว ส่วนข้างนอกห้องมีเงาคนกะพริบวูบบ่อยครั้ง
ไม่ใช่ไม่ตรวจสอบ แต่แอบตรวจสอบโดยไม่ให้รู้ตัว จริงแท้แน่นอน ที่นี่ลอบสังหารได้ยากยิ่ง ไม่ต้องกล่าวว่าข้างในข้างนอกห้องนี้มีคนและกับดักมากเท่าไร แค่สมาชิกที่ทุกกลุ่มอำนาจเตรียมไว้ข้างนอกก็เปรียบได้กับกำแพงเหล็ก ใครจะเหาะออกไปได้?
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็เล่นตามน้ำ จิ่งเหิงปัวอาบน้ำอย่างสบายใจ นั่งแต่งหน้าหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
นางปฏิเสธความช่วยเหลือของเด็กหญิงน้อย ตัวเองเปิดกล่องเครื่องสำอางออก ตอนที่เผชิญหน้ากระจกทองแดงทรงดอกกระจับประดับแปดค้างคาวนั้น นางเกิดใจลอยรำไร
ราวกับยังเป็นตำหนักอวี้จ้าว ส่องกระจกบนโต๊ะประทินโฉม โต๊ะเครื่องแป้งของนางตัวนั้นเคยสะท้อนรูปโฉมของนาง เคยจดจำรอยยิ้มของนาง เคยเปิดเผยความลับตำหนักใต้ดิน เคยวางศพชุ่ยเจี่ย
พริบตาสุดท้ายกระจกทองแดงสาดส่อง สะท้อนสีหน้าซีดเผือดของนางใช่หรือไม่
ส่องกระจก ประทินโฉม
นางบรรจงเขียนคิ้ว คิ้วเข้มดกดำดั่งทิวเขาไกลโพ้น
บัดนี้ตำหนักนั้นอ้างว้างเย็นเยือก ใยแมงมุมเกรอะกรัง ฝุ่นร่วงทั่วกระจกทองเหลือง สะท้อนสรรพสิ่งในโลกมนุษย์ สะท้อนวัยเยาว์ไร้กังวลไม่ได้อีกแล้วใช่หรือไม่
ยามนี้คนผู้นั้นในกระจกพเนจรไกลเกินพันลี้ แต่ละก้าวดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดในสถานที่ซึ่งมืดมิดและแปลกหน้า
นางเลือกแป้งชาดสีแดงดอกท้อ แต่งแต้มหางตา พรมผงทองเล็กน้อย
ตำหนักทองคำ ดอกท้อร่วงโรย ฤดูวสันต์ของตำหนักอวี้จ้าวปีนั้น นับแต่นี้เหลือไว้ในความทรงจำของผู้ใด?
นางหยิบชาดทาปากสีแดงสด เม้มปากแผ่วเบา ริมฝีปากจึงคงไว้ซึ่งทิวทัศน์ยามวสันต์ปีนั้น
ชีวิตมนุษย์มีสีสันที่สุดในวัยเยาว์ ผ่านพ้นช่วงเวลาราบรื่นงดงามนั้นแล้ว ย่อมต้องประทินโฉมแต่ละชั้น แต่งแต้มหน้าตา สวมศิราภรณ์ สีสันแพรวพราวบดบังน้ำค้างแข็ง ลืมเลือนความหนาวปลายฤดูสารทเช่นนี้
นางหวีจอนผมดำขลับ วางซ้อนเป็นชั้นสูง ปักปิ่นดอกชิวไห่ถังร่วมกิ่งคู่หนึ่ง
ปีนั้นในกระจกมีคนอยู่ข้างหลัง กลิ่นอายขณะเขาโน้มตัวหอมอ่อนและกว้างไกล นางจำได้ถึงความเหน็บหนาวกับความเกลี้ยงเกลาของหลังมือเขา คล้ายสัมผัสหิมะบริสุทธิ์ในฤดูคิมหันต์
กระโปรงยาวผ้าโปร่งสะท้อนเงาหิมะ ผ้าไหมม่วงพาดผ้าแพรกุ๊นลายเมฆาทองอ่อน เหม่อลอยนึกถึงรูปร่างกระโปรงจีนโบราณ สูงส่งสง่างาม ทว่าชายกระโปรงยาวสยายยังซ่อนเร้นความรักที่งดงามหลายส่วน
นางเองเคยเป็นราชินีโฉมงาม ตี้เกอเหลียวหลังตกตะลึงทั่วเมือง กระโปรงผ้าชีฟองลายดอกไม้ใบหญ้าสะกิดหัวใจคนนับไม่ถ้วน แต่ไม่อาจสยายบนราชบัลลังก์ของตัวเองได้อย่างมั่นคง
ฉะนั้น เริ่มต้นอีกครั้ง
…
นางยืดตัวตรงอย่างสง่างามหน้ากระจก ข้างหลัง เด็กหญิงรับใช้สองคนกลั้นหายใจตั้งนานแล้ว
เดิมทีรู้สึกเพียงว่างดงาม ไม่ต้องใคร่ครวญก็ยอมรับว่าต้องเป็นยอดหญิงงามอันดับหนึ่ง ยามนี้ใบหน้าปานนั้นในแววตา ทำให้พลันรู้สึกว่าคำว่ายอดหญิงงามยังดูหมิ่นเกินไป
พวกนางไม่กล้าแม้กระทั่งหายใจแรง กลัวว่าลมหายใจร้อนผ่าวขุ่นมัวเกินไป ทำให้โฉมงามดั่งหยกแต้มหิมะนางนี้แปดเปื้อน
จิ่งเหิงปัวนั่งนิ่งหน้ากระจก กลางภวังค์รู้สึกว่าตัวเองคล้ายเจ้าสาวที่แต่งตัวเต็มยศ กำลังรอคอยเจ้าบ่าวของตัวเอง
จากนั้นนางจึงเหยียดยิ้มตรงมุมปากอย่างแผ่วเบา
ไต้เม่าวุ่นวาย ยุทธภพมืดมิด งานชุมนุมชาวยุทธ เช่นนี้มีเจ้าบ่าวที่ไหนกัน?
…
ท้องฟ้ามืดมากยิ่งขึ้น เหล่าหญิงสาวส่วนใหญ่มาครบแล้ว จากนั้นเหล่าผู้อาวุโสออกโรงตามลำดับ
นางมองอยู่บนหอ เด็กหญิงน้อยกระซิบแนะนำ
“ผู้ที่รูปร่างสูง หน้าตาโหดเ**้ยมคือหวาเหยียนหัวหน้ากลุ่มเยี่ยนปัง เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงในวันนี้ด้วย”
“ผู้ที่ผอมดั่งกระบอกไม้ไผ่คือหัวหน้ากลุ่มฝาปัง ดูแลการค้าขายทางน้ำของไต้เม่าเหนือ”
“ผู้ที่ศีรษะล้าน มีดบนร่างเล่มนั้นสูงยิ่งกว่าผู้อื่นคือหวังเหอซั่งแห่งมีดลิขิตสวรรค์ นักมีดใต้บัญชาแปดร้อยคน แต่ละคนกล้าหาญไม่กลัวตาย”