จิ่งเหิงปัวจ้องมองพื้นอย่างหงุดหงิด บนพื้นมีน้ำเจิ่งนอง
นางที่ไม่ถนัดใช้แรงงานทำให้ไม่ทันระวังว่าพื้นห้องครัวมันเยิ้ม ลื่นล้มทำน้ำหนึ่งกาหกกระจาย
โชคดีที่ไม่โดนน้ำร้อนลวก ก็แค่รองเท้าเปียก นางนั่งลงม้วนชายกระโปรงขึ้นมา สะบัดปลายขากางเกงที่เปียกชื้น ผิวบนข้อเท้าขาวราวหิมะ ไม่มีรอยแดงที่โดนน้ำร้อนลวก
นางหยุดนิ่งไปอย่างกะทันหัน ก่อนจะมองไปข้างหลังอย่างระแวง
ข้างหลังไม่มีใคร ทุกอย่างในห้องครัวซ่อนอยู่ในแสงอ่อนที่ลอดผ่านหน้าต่างน้อย
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าหมู่นี้ตัวเองเป็นโรคเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง เรียกว่าโรคหวาดระแวงชอบนึกว่าคนอื่นแอบมอง
บนโต๊ะมีน้ำอีกหนึ่งกาที่ใช้กองหญ้ารักษาความร้อนไว้ นางตัดสินใจยกกานี้ไปชงยาผงให้ท่านมู่
เมื่อหิ้วน้ำกลับมาถึงห้อง ท่านมู่ก็ยังหลับสนิทอยู่บนเตียง ตอนที่นางยกถ้วยยาเข้าไป เขาก็ลืมตาขึ้นมา แววตาเงียบสงบและบริสุทธิ์
เขาถึงขนาดยิ้มน้อยๆ ให้จิ่งเหิงปัว รอยยิ้มนั้นงดงามสดใส แต่ก็เจือด้วยความเขินอายเสี้ยวหนึ่ง คล้ายดอกพลับพลึงแมงมุมแย้มกลีบในยามค่ำคืน
จิ่งเหิงปัวเกิดความรู้สึกไม่คุ้นเคยท่วมท้น นางจำได้ว่าในงานเลี้ยง ตอนที่เจ้าคนนี้นั่งอยู่บนตู้ข้างหลังนาง ใช้มือทับคอนางไว้ เขาเคยกระซิบวาจาแสนเจ้าเล่ห์
ยิ้มแย้มสดใสจนใกล้จะยั่วยวนกันขนาดนี้ คิดจะทำอะไรอีกแล้ว?
“ดื่มยา” นางกล่าวอย่างอารมณ์เสียว่า “อย่าคิดเล่นลูกไม้ ยามนี้เจ้าเป็นเชลยของข้า”
เขากลับคล้ายเชื่อฟังยิ่งนัก ยกมือไปรับโดยพลัน มือกลับสั่นระริกไม่มั่นคง พอเห็นว่าจะหกรดผ้าห่ม นางได้แต่รีบยื่นมือรับไว้
“ขนาดนี้เชียว!” นางร้องด่า ได้แต่ยกถ้วยยาไว้ ยื่นมือประคองเขาขึ้นมา
เขาฉวยโอกาสซบบนไหล่นาง ร่างอ่อนยวบ ท่าทางอ่อนแอ คล้ายไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย
ด้วยเพราะความอ่อนยวบกับความอ่อนแอเช่นนี้เอง นางจึงไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายจากการโดนลวนลาม ยกถ้วยยาป้อนเขา นางอยากกรอกใส่ปากเขาในอึกเดียวเพราะไม่ได้หยิบช้อนมาด้วย ทว่ารีบป้อนเร็วไปหน่อย เขาจึงไอโขลกเบาๆ ยาน้ำไหลออกมาจากมุมปาก
จิ่งเหิงปัวแทบไม่ได้คิดด้วยซ้ำ ก็ใช้แขนเสื้อของตัวเองเช็ดมุมปากให้เขาแล้ว
เมื่อทำเสร็จแล้วเพิ่งรู้สึกว่าไม่เหมาะสม พอนางก้มนางก็เห็นเขาจ้องนางเขม็ง
ชั่วขณะหนึ่งสายตาดั่งลมเย็นจันทร์แจ่ม ดั่งหมอกควันมัวสลัว สะท้อนความในใจนับไม่ถ้วนในโลกมนุษย์
สายตานั้นซับซ้อนเหลือเกิน จนทำให้นางรู้สึกเคลิบเคลิ้มในชั่วพริบตา แต่พอสายตาของนางทอดต่ำลง เขาก็เบนสายตาออกไป
นางก็หลบสายตาปั้นหน้าบึ้ง ป้อนยาให้เขาทีละอึก ในห้องเงียบสงัดมีเพียงเสียงเขาดื่มยาเบาๆ อากาศคล้ายเริ่มผนึกแน่น ประชิดใกล้อย่างร้อนผ่าว
นางรู้สึกว่าร่างกายของเขานั้นประหลาดมาก คล้ายว่าเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว คนนี้คงไม่ได้ป่วยหนักอะไรหรอกมั้ง
เมื่อดื่มยาเสร็จก็วางถ้วยลง เสียงก้นถ้วยกระเบื้องสัมผัสผิวโต๊ะดังแก๊กชัดเจน คล้ายจะทำลายบรรยากาศที่ผนึกแน่น สองคนที่ได้สติแล้วต่างมึนงงเล็กน้อย
เขาดื่มยาแล้วคล้ายดีขึ้นนิดหน่อย เปิดปากเอ่ยจนได้ว่า “ขอบคุณมาก…”
น้ำเสียงนั้นอิดโรย ไม่รู้ว่าทำไม จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าความรู้สึกที่ลึกลับและผนึกแน่นรอบตัวแบบนั้นมาเยือนอีกแล้ว
นางอยากจะทำลายความรู้สึกประหลาดแบบนี้ จึงจงใจหัวเราะเรื่อยเปื่อยแบบไม่คิดอะไรมาก
“ฮะๆ เรื่องเล็กน่ะ ข้าคนนี้มีเมตตานักล่ะ อย่าว่าแต่เจ้าเลย ต่อให้เป็นหมาเป็นแมวก็จะช่วยไว้หน่อย…”
หัวเราะพลางเพ่งมองเขา อยากเห็นว่าเขาเป็นอย่างไรเวลาโกรธ แต่เขาเพียงแค่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าก็ดูแลผู้อื่นเช่นนี้ด้วยหรือ”
นัยน์ตาเขาวูบไหวในความมืดมิด คล้ายอารมณ์ดีมีความสุข ทั่วห้องดั่งมีดวงดาวระยิบระยับ ทำให้คนตาพร่ามัว
“ใช่สิ” นางหงุดหงิดนิดหน่อย โพล่งปากตอบไปว่า “เป็นประจำเลยล่ะ”
“ผู้ใดกัน” เขาถาม
ใจของนางไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ภาพหุบเขาหิมะวันนั้นย่อมแวบผ่านในสมอง นางก็เคยดูแลเหยียลี่ว์ฉีแบบนี้ ไม่รู้ว่าเรื่องในพรรคของเขาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
เมื่อนึกถึงคนไหนก็โพล่งชื่อคนนั้นออกมา “เหยียลี่ว์ฉีน่ะสิ”
พอคำนี้หลุดจากปาก นางก็รู้สึกว่าตัวเย็นวาบ
คล้ายถูกลมหนาวพัดผ่าน นางหันหลัง เห็นว่าหน้าต่างปิดสนิท
พอหันหน้ามามองเขา ก็กลับเห็นว่าเขาหลับตาลงแล้ว เอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ข้าอยากนอนสักพัก”
“อ้อ” จิ่งเหิงปัวมองหน้าตาซีดเซียวของเขา รู้สึกได้ว่าเขาคล้ายอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา กล่าวโดยสำนึกว่า “เช่นนั้นข้าจะประคองเจ้านอนลง”
หลังจากประคองเขานอนลง และห่มผ้าห่มให้เขาแล้ว นางก็เพิ่งตกตะลึง…เอ๊ะ ข้าดูแลเขาอย่างนุ่มนวลขนาดนี้เพื่ออะไรกัน?
เอ๊ะ เขาไม่ใช่เชลยของข้าหรอกเหรอ ทำไมมาสั่งข้าได้?
นางจ้องผ้าห่มอย่างโมโห อยากเลิกผ้าห่มแล้วโยนเขาออกไปข้างนอก คัดค้านการดูแลบ้าบอคอแตกของตัวเอง แต่เห็นหน้าตาหลับสนิทของเขาแล้ว เหมือนจะทำเรื่องไร้เหตุผลขนาดนี้ไม่ลง
สุดท้ายนางก็ได้แต่ปล่อยไปอย่างโกรธแค้น นั่งลงฝั่งหนึ่งเตรียมขัดสมาธิปรับปราณ
ในห้องมีแค่เตียงหนึ่งหลัง โต๊ะหนึ่งตัว และเก้าอี้หนึ่งตัว เก้าอี้ไม่ใหญ่ นั่งขัดสมาธิไม่ค่อยสะดวก
เขาลืมตา เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าขึ้นมาบนเตียงสิ”
“ฝันไปเถอะ” นางตอบทันที
เขาหลับตาลง เอ่ยว่า “นั่นสินะ ข้าก็กลัวเจ้าลวนลาม”
นางลุกขึ้นทันที เลิกผ้าห่มออก ผลักเขาเข้าไปข้างใน
เขาไม่เปล่งเสียง หดตัวอยู่ข้างในอย่างเชื่อฟัง ห่อด้วยผ้าห่มครึ่งผืน คล้ายสัตว์เลี้ยงตัวใหญ่ที่ถูกรังแกแต่อดทนจนเคย
นางหัวเราะเยาะฮิๆ “ข้าลวนลามแล้ว เจ้าลุกมาจัดการข้าสิ”
เสียงของเขาอู้อี้มาจากในกองผ้าห่ม “เจ้าลวนลามเช่นนี้บ่อยครั้งหรือ? เชี่ยวชาญเสียจริง”
นางรู้สึกว่าประโยคนี้นั้นประหลาดมาก จึงกล่าวยอกย้อนทันทีว่า “ข้าเชี่ยวชาญการฆ่าคนด้วยนะ จะลองหน่อยหรือไม่?”
เขาไม่เอ่ยวาจาแล้ว เมื่ออยู่ใต้ชายคาผู้อื่นก็จำต้องก้มหัวให้ผู้อื่น ยังหดตัวเข้าหากำแพงเองอย่างน่าสงสาร นอนตัวลีบติดผนัง
จิ่งเหิงปัวอารมณ์ดี ส่งเสียงฮึดฮัดออกมา แล้วกล่าวเสียดสีว่า “กินกระทั่งเนื้อคน ขยะแขยง!” หันหลังให้เขาหลับตานั่งขัดสมาธิ
นางเข้าสู่สภาวะฌานอย่างรวดเร็ว ในร่างเกิดแสงจันทร์กระจ่างท่วมท้น รุ่งโรจน์ไหลเวียน ส่องสว่างสิบสองดารา
หลังจากเรียนรู้พื้นฐานพลังภายในจันทร์กระจ่าง ในร่างก็เกิดสิบสองวังดารา ทุกวังต้องการการฝึกฝนและประสบการณ์จำนวนมาก เช่นเดียวกับพลังภายในชั้นสูงทุกวิชา ยิ่งฝึกต่อไปยิ่งยาก นางเพิ่งจะผ่านวังดาราแห่งแรก ลองคำนวณความเร็วเท่านี้ รอให้นางอายุสักเจ็ดสิบแปดสิบปี น่าจะฝึกพลังภายในสำเร็จได้
นางไม่รู้สึกหดหู่ เดิมทีนางก็เป็นคนไม่มีวินัย รอให้เรื่องมาถึงตัวค่อยพยายามทำเต็มที่ ทางสายนี้ไปไม่ได้ก็เปลี่ยนเส้นทาง ซ้ำยังไม่อยากกดดันตัวเอง ฝึกพลังภายในจันทร์กระจ่างได้สำเร็จก็ดีที่สุด ฝึกไม่สำเร็จนางคิดว่านางยังมีพลังเคลื่อนที่พริบตาเคลื่อนย้ายสิ่งของ ความสามารถพวกนี้ถูกไอ้แก่หนังเหนียวจื่อเวยฝึกฝนจนแสนล้ำเลิศ พอให้ท่องยุทธภพได้เช่นกัน
อาจเพราะสภาพจิตใจที่อิสระเสรีแบบนี้ สอดคล้องกับความหมายที่แท้จริงของพลังภายในจันทร์กระจ่าง…จันทร์เพ็ญจันทร์เสี้ยวย่อมเป็นไป อย่าได้แคลงใจกฎแห่งฟ้า
คล้ายกับอีชี ท่านอาจารย์จื่อเวยเอ่ยว่าเขาคือผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ผ่องใสที่แท้จริงในหมู่เจ็ดสังหาร ถึงได้สำเร็จพลังภายในจันทร์กระจ่างคนเดียว
สำหรับจิ่งเหิงปัวแล้ว สาเหตุสำคัญที่สุดที่ขยันฝึกพลังภายในนี้ก็เพราะได้ยินว่าฝึกพลังภายในนี้ คนฝึกจะสวยขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำยังชะลอวัยได้นาน
ไม่ต้องถามว่าจริงหรือไม่ แค่ดูจื่อเวยก็รู้แล้ว
คืนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นเคย ปราณแท้น่าสงสารที่เพิ่งฝึกฝนออกมาเสี้ยวนั้นวนเวียนบริเวณวังดาราแห่งแรก ไม่มีไม่มีทีท่าว่าจะพุ่งออกไปเลยแม้แต่น้อย
นางก็พอแค่นี้ เลิกทำเตรียมพักผ่อน คนนั้นข้างหลังพลิกตัวกะทันหัน กระแทกข้างหลังนาง
นางรู้สึกแค่ว่าข้างหลังนั้นเหน็บชา คล้ายจุดเลือดลมหลายแห่งถูกกระแทก จากนั้นก็คล้ายถูกกดสวิตช์นับไม่ถ้วน กระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกาย ปราณแท้อ่อนแอเสี้ยวนั้นพลันเยือกแข็ง พุ่งไปข้างหน้าอย่างแรง
คล้ายกับได้ยินเสียงดังตูม แสงสว่างเจิดจ้า
วังดาราแห่งสองถูกจุดประกาย ปราณแท้แข็งแรงขึ้นอีกขั้น แสงขาวสายหนึ่งชุมนุมกันเป็นวง ไหลสู่ส่วนลึกของตานเถียน
นางเข้าสู่สภาวะลี้ลับอัศจรรย์ชนิดหนึ่ง ฟ้าดินผ่องแผ้ว ไร้ซึ่งสรรพสิ่ง ท่ามกลางความมืดชั่วนิรันดร์มีเพียงจันทร์กระจ่างดวงเดียว ส่องแสงกระทั่งบัดนี้ สิ่งที่นางต้องทำคือข้ามสะพานดวงดาวยาวไกล มุ่งหน้าสู่พระจันทร์
จิตสำนึกล่องลอยท่ามกลางปาฏิหาริย์กับจินตนาการ ตัดขาดจากโลกภายนอกชั่วคราว นางไม่อาจพบว่าเขาอยู่ข้างหลังนาง ข้อศอกค้ำตรงเอวของนาง ซ้ำยังไม่ได้ยินเขาพึมพำว่า “ข้าอยากกิน เพียงเจ้านะ…”
…
ตอนที่จิ่งเหิงปัวลืมตาขึ้นอีกครั้ง แวบแรกนางก็เห็นนกตัวหนึ่งทำขนนกร่วงบนชายคาบ้านที่ไกลออกไป
ความรู้สึกแบบนั้นประหลาดมาก คล้ายคนที่สายตาสั้นหลายปีได้สวมแว่นที่พอดีกับสายตากะทันหัน แต่นางแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้สวมแว่นตา
บางที นี่ก็คือข้อดีที่ได้จากพลังภายในจันทร์กระจ่างสินะ แสงจันทร์สาดส่องทั่วหล้า สรรพสิ่งแจ่มแจ้งชัดเจน
นางหันข้าง เห็นท่านมู่นอนชิดกำแพงไม่ขยับเขยื้อน เงียบสนิท
ความเงียบงันแบบนี้ทำให้นางเหม่อลอยอีกครั้ง…การที่ตื่นมาตอนเช้าแบบนี้ แล้วเห็นผู้ชายคนหนึ่งนอนหันหลังให้ตัวเอง เหมือนจะเป็นเหตุการณ์ที่ควรเกิดขึ้นระหว่างสามีภรรยา?
ยิ่งไปกว่านั้นนางยังไม่มีปฏิกิริยาแปลกใจแต่อย่างใดต่อเหตุการณ์แบบนี้และค่ำคืนแบบนี้ เหมือนว่า…เป็นไปตามที่คาดไว้
เพราะว่าตัวเองผ่อนคลายมากขึ้นเรื่อยๆ หรือว่าเกิดเรื่องแบบนี้หลายครั้งจนเริ่มชินชาแล้ว?
เรื่องค้างแรมกับผู้ชายแปลกหน้า นางลองนึกดูแล้ว ตั้งแต่ออกจากตี้เกอ เหมือนจะเคยทำหลายครั้งอยู่จริงๆ
ข้างหลังมีการเคลื่อนไหว นางหันหลังไปเห็นท่านมู่กอดผ้าห่มพลิกตัว นอนผมเผ้ายุ่งเหยิง แววตางัวเงียคล้ายยังไม่ได้สติ
ดูเหมือนแมวที่เกียจคร้านตัวหนึ่ง
ความรู้สึกประหลาดแบบนั้นของนางมาเยือนอีกแล้ว…การพลิกตัวบนเตียงและท่าทางงัวเงียมองนางของเขานั้น เหมือนกับสามีที่ตื่นนอนตอนเช้าในครอบครัวทั่วไปใช่หรือไม่…
“ตื่นแล้วหรือ” ท่านมู่ยังทักทายนาง ท่าทางเฉยชาต่อเรื่องกอดผ้าห่มตื่นขึ้นมาบนเตียงนางเช่นนี้
น้ำเสียงนี้ สีหน้านี้ ภาพลวงตา ‘ชีวิตครอบครัว’ แบบนั้นของนางมาเยือนอีกแล้ว
นางรู้สึกรับไม่ได้อยู่หน่อยๆ
“ตื่นแล้วหรือ?” นางย้อนถามเขา ยิ้มเสแสร้ง “เห็นสีหน้าเจ้าไม่เลว อาการบาดเจ็บคงหายดีแล้วสินะ ยินดีด้วยๆ เดินทางปลอดภัยไม่ไปส่งนะ”
กล่าวพลางเลิกผ้าห่มของเขา เตรียมเชิญเขาไสหัวไปโดยไว
แต่เขากลับนอนนิ่งไม่ขยับ
“ข้าอยากหลบอยู่กับเจ้าที่นี่ก่อน”
“ห๊ะ?” จิ่งเหิงปัวตัดสินใจทำเป็นไม่ได้ยิน “อยากไปเดี๋ยวนี้? ได้เลย ข้าจะส่งเจ้าออกไป”
“ข้าไม่ไป” เขาเอ่ยอีกครั้ง
“คนข้างนอกไปกินข้าวเช้าแล้ว ได้โอกาสออกไปยามนี้” นางกล่าว มัวแต่รีบพับผ้าห่ม
มือที่พับผ้าห่มถูกกดไว้ นางชะงัก สายตาทอดลงบนหลังมือเขา มือที่เรียวยาวเกลี้ยงเกลางดงามยิ่งนัก เพียงแต่ผิวกายซีดเซียวอยู่บ้าง โชคดีที่เล็บแดงอ่อน งดงามไปอีกแบบ
“หืม?” ครั้งนี้เป็นเสียงนาสิก ตัวนางเองรู้สึกว่าเต็มไปด้วยความกดดัน
เสียดายว่าความกดดันนี้ไม่มีผลต่อเขา เขาเงยหน้าสบตานาง เอ่ยอย่างชัดเจนว่า “ให้ข้าหลบอยู่ที่นี่กับเจ้า”
“ไม่เอา” นางเหยียดหยามว่า “เจ้าบังคับข้าได้หรือ? เหตุใดข้าต้องให้เจ้าซ่อนตัวด้วย ข้าไม่ใช่พี่เจ้าสักหน่อย”
“ยามนี้คนทรยศน่าจะไล่ล่าข้าทั่วเมือง” เขาเอ่ยต่อไปเองว่า “ข้าหลบอยู่ที่นี่หนึ่งวัน รอให้ดีขึ้นสักหน่อย ฟ้ามืดแล้ว เจ้าส่งข้ากลับฐานที่มั่นหอเงา”
“ฝันไปเถอะ” นางกล่าว
“ระหว่างทางอาจเกิดอันตรายบ้าง ทว่าข้ามีวิธี”
“เกี่ยวอะไรกับข้า” นางกล่าว
“หลังจากส่งข้าถึงฐานที่มั่น ข้ามีของขวัญล้ำค่าแทนคำขอบคุณ”
“พี่รับปากแล้วเจ้าหรือ…หือ? ของขวัญล้ำค่าอะไร”
“สิ่งที่เจ้าอยากได้” เขาเน้นเสียง “หลายสิ่งจำเป็นในการอยู่รอดที่ไต้เม่า”
นางไม่กล่าวแล้ว เท้าคาง สายตาลอยไปลอยมา คล้ายกำลังวางแผนโดยละเอียด
เขากลับคล้ายไม่มีอะไรจะเอ่ยแล้ว เอนหลังนอนสบายอีกครั้ง ท่าทางได้เปรียบนางโดยแท้
นางอยากทำให้เขายอมแพ้มาก แต่ว่าตอนนี้นางไม่ใช่ผู้หญิงทั่วไปที่ทุกเรื่องขอแค่ตัวเองสะใจคนนั้นแล้ว นางเรียนรู้ที่จะปล่อยวางความต้องการส่วนตัว ใคร่ครวญผลประโยชน์ก่อน
ภายใต้สถานการณ์ที่กลุ่มอำนาจทั่วต้าฮวงเป็นรูปเป็นร่างแล้ว หอเงายังแทรกเข้ามาในแว่นแคว้นแข็งแกร่งแห่งนี้ได้ เห็นได้ว่ามีความสามารถไม่น้อย ผลประโยชน์ที่ท่านมู่เสนอให้อาจคุ้มค่าให้นางเสี่ยงอันตรายจริงๆ