เอาเงินมาตีค่าคน คำพูดนี้พูดให้ถี่ถ้วนแล้วถามได้ไม่เกรงใจ
แต่สตรีผู้นั้นกลับไม่มีสีหน้าอับอายโกรธเกรี้ยว กระทั่งคนข้างกายนางก็ไม่ คล้ายกับว่าเป็นสิ่งสมควรยิ่ง
“ชีวิตคนพูดว่าล้ำค่าก็ล้ำค่า พูดว่าไร้ค่าก็ไร้ค่า” นางเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าขอบังอาจตั้งราคา”
นางพูดพลางชูห้านิ้วขึ้นมา
“ห้าหมื่นตำลึงเงิน”
คุณหนูจวินมองนางจากนั้นก็ยิ้มแล้ว
นางยิ้มอะไร? จำนวนนี้ไม่น้อยแล้วจริงๆ นะ นายหญิงบางทีไม่ควรเอ่ยมากเช่นนี้
บุรุษที่ได้รับบาดเจ็บในดวงตากังวลอยู่บ้าง
คุณหนูคนนี้แม้พูดไปแล้วก็ช่วยพวกเขาไว้แล้ว แต่ดูกระบวนทัพของนางไม่ใช่เพียงเพื่อช่วยคนง่ายๆ แต่ไว้ฆ่าคน
คนเหล่านี้มีอาวุธต้องห้ามสำหรับชาวบ้าน ทั้งเห็นชัดว่าฝึกฝนมานาน ตัวตนที่มาลึกลับ
ออกปากว่าห้าหมื่นตำลึงปุบ ทรัพย์สินเงินทองทำใจคนหวั่นไหวได้นะ
“แพงกว่าข้า” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย
แพงกว่านาง? บุรุษที่ได้รับบาดเจ็บคิดไม่ถึงว่านางจะโพล่งประโยคหนึ่งเช่นนี้ออกมาจึงตะลึงไป หมายความว่าอย่างไร?
“หืม? คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร?” นางกลับเอ่ยถามออกมาตรงๆ
“ก่อนหน้านี้ครั้งหนึ่งมีคนจะอารักขาข้า” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย “เขาเรียกจากข้าหนึ่งหมื่นตำลึง”
หนึ่งหมื่นตำลึง?
บุรุษที่ได้รับบาดเจ็บคิ้วเลิกขึ้นอีกครั้ง ประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร? ความนัยคืออะไร?
จะบอกว่านางก็เคยตกอยู่ในอันตราย? ดังนั้นไม่ร้ายกาจปานนั้นหรือ?
จะบอกว่านางสบายๆ ก็เอาเงินหมื่นตำลึงออกมาได้ ดังนั้นไม่ได้ขาดแคลนเงินหรือ?
“ราคานั่นหาสูงไม่” สตรีผู้นั้นส่ายศีรษะเอ่ย “คุณหนู ท่านน่าจะมีค่าเป็นเงินมากกว่านั้น”
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้วยกแขนเสื้อปิดปาก
“ไม่ใช่ เขาเปิดราคาให้ข้า บอกว่าจะเชิญเขา เขามีค่าหนึ่งหมื่นตำลึง” นางหัวเราะเอ่ย
เพราะหัวเราะ ดวงตาของนางจึงแวววาว
สตรีผู้นั้นมองประเมินนาง แม้เมื่อครู่ฆ่าคนตาไม่กะพริบ แม้สวมผ้าคลุมสีแดงหม่นไม่สะดุดตา แต่เมื่อนางยกมือก็เผยลวดลายเถาดอกกล้วยไม้อันงดงามในแขนเสื้อ เผยนิ้วมือเรียวยาว บนเล็บทาสีแดงอ่อน ยามแย้มยิ้มคิ้วและดวงตาเป็นวงโค้ง
เหมือนเด็กสาวเยาว์วัยที่ชวนให้คนชมชอบทั้งหมด อ่อนเยาว์อ่อนโยนอ่อนน้อม
นอกจากนี้คนผู้นี้ที่นางพูดถึงต้องให้นางเบิกบานใจมากแน่
“ราคานั่นก็ยังไม่สูง” สตรียิ้มเอ่ย “เพราะคุณหนู ท่านมีค่าเป็นเงินมากกว่านั้น”
ต่อมาจูจั้นก็บ่นว่าขาดทุนจริงๆ
คุณหนูจวินหัวเราะอีกครั้ง
บุรุษที่ได้รับบาดเจ็บคล้ายมองไม่เข้าใจ ดังนั้นนี่คือกำลังคุยเล่นกันหรือ?
สถานการณ์นี้ เหมาะสมรึ?
เอาเถอะ สำหรับเด็กสาวคนนี้แล้ว นางมีกำลังมากพอคุยเล่นในสถานการณฺใดๆ ก็ตาม ขอแค่นางยินดี
“ถ้าอย่างนั้นคุณหนู ท่านพอใจกับราคานี้ของข้าไหม?” สตรีผู้นั้นเอ่ยถาม
คุณหนูจวินมองนาง
“ได้” นางเอ่ย “ตกลง”
สตรีผู้นั้นจับแขนของชายหนุ่มไว้ ย่อเข่าคำนับน้อยๆ อีกครั้ง
“ขอบคุณ” นางเอ่ย
“แต่พวกท่านล้วนได้รับบาดเจ็บแล้ว ไปบ้านข้าจัดการแผลสักหน่อยก่อนเถิด” คุณหนูจวินเอ่ย
บุรุษที่ได้รับบาดเจ็บลังเลอีกครั้ง
“ได้ ลำบากคุณหนูแล้ว” นางตอบรับเด็ดขาดฉับไว
……………………………………….
เมื่อคุณหนูจวินพาคนคณะนี้เข้าหมู่บ้านมา ชาวบ้านทั้งหลายก็ไม่ได้ล้อมมุงดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นสักเท่าใด
คล้ายกับว่าคนคณะนี้อยู่ที่นี่มาตลอด
ไม่พวกเขารู้อยู่แล้วว่าพวกเขาจะมา ไม่ก็เชื่อฟังคุณหนูผู้นี้ทุกสิ่งโดยไม่สงสัย
เหลียงเฉิงต้งคิดในใจ
ต่อให้เชื่อฟังอีกเท่าใด คนมากปานนี้ดีร้ายก็ต้องมองดูเพิ่มสักหลายทีกระมัง แต่พวกเขากลับไม่ได้ทำ กระทั่งเด็กน้อยที่นั่งยองๆ จับก้อนหินเล่นอยู่ปากทางเข้าหมู่บ้านก็ไม่ได้ทำ
รู้ล่วงหน้าแล้วหรือ?
ตลอดทางที่เดินทางมาคนเหล่านี้ก็อยู่ตลอด ไม่มีคนแจ้งข่าวล่วงหน้า บนถนนทางเข้าหมู่บ้านก็ไม่ได้พบชาวบ้าน ยิ่งไม่มีคนวิ่งทะยานมาถ่ายทอดแจ้งข่าว บนเส้นทางภูเขายามพลบค่ำฤดูหนาวเงียบสงบยิ่งนัก มีเพียงเสียงนกร้องไม่กี่ครั้ง
ที่นี่เป็นหมู่บ้านภูเขาแห่งหนึ่งจริงๆ เหมือนเช่นหมู่บ้านภูเขาทั้งหมด ชาวบ้านก็เป็นคนที่ใช้แรงงานเป็นประจำประเภทนั้นอย่างที่พวกเขาเคยเห็น รวมถึงบุรุษสิบกว่าคนที่สังหารคนนั่นด้วย มีเพียงนาทีนั้นที่พวกเขาเอาคันศรและหอกยาวออกมาถึงทำให้คนตะลึงงันมองใหม่อีกครั้งไม่อาจดูแคลน ยามอื่นล้วนไม่สะดุดตาสักนิด
เป็นหมู่บ้านภูเขาที่แปลกประหลาดจริงๆ
“ลำบากพวกท่านอาแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน
แม้ทุกครั้งล้วนเป็นเช่นนี้ แต่ทุกคนก็ยังไม่คุ้นชิน เก้ๆ กังๆ ยิ้มเขินอายจูงม้าแยกย้ายกันไป
รอยยิ้มเขินอายปรากฏบนหน้าบุรุษเหล่านี้ เหลียงเฉิงต้งพลันคิ้วกระตุก
นี่ที่แท้เป็นกลุ่มคนแบบไหนกันแน่? แล้วใครกันฝึกฝนกลุ่มคนเช่นนี้ออกมา?
“ฮั่นชิง เจ้าไปทานอาหารที่บ้านข้าไหม?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม “ทำลูกชิ้นทอดที่เจ้าชอบกิน”
จ้าวฮั่นชิงส่ายศีรษะ
“ข้าจะกลับบ้าน” ในดวงตานางมีความตื่นเต้นอยู่ “เจ้าให้หลิ่วเอ๋อร์ส่งลูกชิ้นขึ้นเขาไปให้ข้านะ”
วันนี้เป็นครั้งแรกที่นางออกจากบ้าน ทั้งยังเป็นครั้งแรกที่สังหารโจร ต้องตื่นเต้นอยากเล่าให้น้าเซียวฟังแน่
คุณหนูจวินยิ้มเข้าใจ โบกมือให้นาง มองดูจ้าวฮั่นชิงก้าวยาววิ่งขึ้นเขาไป
“ตามข้ามาเถิด” ตอนนี้คุณหนูจวินถึงเอ่ยกับบุรุษสี่คนด้านหลังร่าง แล้วชี้ม้าของพวกเขา “ม้าของพวกเจ้าส่งไปที่คอกม้าเถอะ มีคนดูแลม้าอยู่ จะได้พักเสียหน่อย”
เหลียงเฉิงต้งมองดูรอบด้าน คนล้วนเข้ามาแล้ว เป็นตะพาบในไหแล้ว มีหรือไม่มีม้าก็ไม่แตกต่างอะไร
“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนแล้ว” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินจึงกวักมือเรียกเด็กน้อยที่นั่งยองเล่นอยู่ใต้หินเขียวก้อนใหญ่ให้พวกเขาเอาม้าไปส่งที่คอกม้า
พวกเด็กน้อยดีอกดีใจจูงม้าไป
“ม้าที่นี่ของพวกเจ้าเลี้ยงด้วยกันหรือ?” เหลียงเฉิงต้งเอ่ยถาม
“หมู่บ้านของพวกเราเล็ก คนน้อย งานช่วยกันทำ ข้าวก็กินด้วยกัน มีสิ่งใดล้วนเลี้ยงด้วยกัน ใช้ด้วยกัน” คุณหนูจวินเอ่ยตอบ
เป็นหมู่บ้านที่ประหลาดจริงๆ เหลียงเฉิงต้งคิดอีกครั้ง เรื่องที่พบวันนี้ประหลาดมากพอแล้ว ระหว่างที่คิดวุ่นวายก็เดินตามคุณหนูจวินมาถึงหน้าประตูเรือนหลังหนึ่ง
เด็กสาวคนหนึ่งกับบุรุษหลายคนออกมาต้อนรับ คุณหนูจวินให้หลิ่วเอ๋อร์ประคองสตรีผู้นั้นลงจากรถ
สตรีผู้นั้นก็ไม่ได้ปฏิเสธเกรงใจ จับมือของหลิ่วเอ๋อร์เดินลงมา
“อาหารทำเสร็จแล้วเจ้าค่ะ ในห้องก็เก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยเจื้อยแจ้ว “ลุงเหลยพวกเขาก็เตรียมน้ำร้อนเรียบร้อยแล้วเช่นกัน”
ได้ยินคำว่าน้ำร้อนสองคำ บุรุษทั้งสี่ก็มองร่างตนโดยไม่รู้ตัว
เข่นฆ่า ได้รับบาดเจ็บ รอยเลือด โคลนหิมะ หมดรูปจริงๆ
“ท่านลุงเหลย บาดแผลภายนอกของพวกเขา ท่านจัดการหน่อย” คุณหนูจวินเอ่ยสั่งอีกครั้ง
เหลยจงเหลียนขานรับ บุรุษหลายคนยื่นมือทำท่าเชิญ
ทั้งสี่คนมองไปทางสตรีผู้นั้น
“ไปเถอะ ในเมื่อมาแล้วก็อยู่ให้สบาย” นางเอ่ยพลางตบมือของหลิ่วเอ๋อร์ “สาวใช้ตัวน้อยคนนี้รับใช้ข้าได้ พวกเจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
หลิ่วเอ๋อร์ร้องเอ๋
“ข้าไม่รับใช้เจ้าหรอก ข้ารับใช้คุณหนูของข้าต่างหาก” นางปฏิเสธเด็ดขาด
สาวใช้คนนี้ช่าง…เหลียงเฉิงต้งเลิกคิ้วอีกครั้ง
สตรีผู้นั้นไม่ถือเป็นอารมณ์ ยิ้มไม่พูดจาโบกมือให้พวกเขา
พวกเหลียงเฉิงต้งไม่ดื้อดึงอีกต่อไป พวกเขาก้มศีรษะขานรับ
อาบน้ำร้อนเสร็จ เสื้อผ้าสะอาดก็วางอยู่ด้านนอกเรียบร้อยแล้ว บาดแผลของเหลียงเฉิงต้งก็ใส่ยาพันผ้าอย่างรัดกุมแล้วเช่นกัน ในห้องอันเรียบง่ายตั้งเตียงสามหลังเบียดเสียดอยู่บ้าง ในห้องวางโต๊ะได้เพียงหนึ่งตัว ด้านบนวางอาหารร้อนๆ ควันฉุยจานโตชามโตไว้แล้ว
“พี่สี่” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ริมเตียงเอ่ยเสียงเบา มือวางอยู่บนเตียงลูบคลำ สีหน้ายากปิดบังความประหลาดใจอยู่บ้าง “ถึงกับปูฟูกสี่ชั้น แล้วยังล้วนเป็นฝ้ายด้วย”
กระทั่งบ้านของพวกเขายังไม่หรูหราถึงขั้นนี้เลย
หมู่บ้านภูเขาที่ห่างไกลทั้งยังเปลี่ยวนี่ ในห้องง่ายๆ ถึงกับตกแต่งเช่นนี้ นี่เป็นการรวมกำลังทั้งหมู่บ้านต้อนรับแขกหรือ?
“ฟูกนับเป็นอะไร” บุรุษที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะมองดูกาน้ำชา สีหน้าตกตะลึงเช่นกันเอ่ยว่า “นี่เป็นกระเบื้องเคลือบขาวของติ้งโจว ชีวิตปกติของพวกเราล้วนไม่มีทางได้ใช้”
ถึงกับวางไว้บนโต๊ะในห้องง่ายๆ ในหมู่บ้านภูเขาแห่งหนึ่งตามใจเช่นนี้
เดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบชัดๆ แต่เข้ามาในหมู่บ้านทุกคนล้วนรู้ว่าพวกเขามา กระทั่งอาหารน้ำร้อนห้องหับล้วนจัดการเรียบร้อยแล้ว ถ้าอย่างนั้นต้องมีวิธีส่งข่าวที่พวกเขาไม่สังเกตุแน่ๆ
ซ่อนเร้นเช่นนี้ สมบูรณ์แบบเช่นนี้
ยังมีม้ากำยำของพวกเขา คันศร อาวุธที่เพียบพร้อมของพวกเขารวมถึงข้าวของเครื่องใช้หรูหราทั้งยังใช้ได้ตามสบายนี่ตรงหน้าเวลานี้
“ข้ารู้แล้ว” เหลียงเฉิงต้งสีหน้าเคร่งขรึม “ที่นี่น่าจะเป็นรังมหาโจร”
……………………………………….