หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้รั้งอยู่ทานอาหารเย็น นี่ทำให้ฟางจิ่นซิ่วกับเฉินชีเสียดายอยู่บ้าง
“ที่หัวสะพานเฟยอวิ๋นเปิดร้านใหม่ร้านหนึ่ง ดีทีเดียว” เขาเอ่ย
ความหมายก็คือจะเชิญนางออกไปกิน
เขาหยุดชะงักนิดหนึ่ง
“ตอนนี้ไม่สะดวก” เขาเอ่ยขึ้น “รอหลังจากนี้แล้วกัน”
พูดพลางมองจูจั้นทีหนึ่ง
จูจั้นอยู่ในลานตั้งแต่ต้นจนจบ บ้างต่อยหลักไม้ บ้างดูพนักงานทั้งหลายเหล่านั้นทำยา เหมือนกับในบ้านไม่มีคนผู้หนึ่งเพิ่มมาเป็นแขก
เขาไม่ได้เป็นฝ่ายก้าวเข้ามาเอ่ยวาจา หนิงอวิ๋นเจาก็ไม่ได้ไปทักทายเขา
ตอนที่หนิงอวิ๋นเจามองมา สายตาของจูจั้นก็มองไปหาเขาทันทีเช่นกัน
แววตานี่ไม่อาจนับได้ว่าเป็นมิตร
“ใช่แล้ว ไม่สะดวก ตอนนี้ใต้เท้าน้อยหนิงกำลังเป็นที่สนใจ ยังไงก็อย่าเดินมาใกล้กับพวกเราเกินไปเลย อย่าให้ถูกพูดว่ารวมกลุ่มสมคบคิด” เขาลุกขึ้นเอ่ย “ไม่ดีกับทุกคน”
หนิงอวิ๋นเจายิ้มแล้ว
“ท่านชายโปรดวางใจ ฝ่าบาททรงพระปรีชา” เขาเอ่ยขึ้น ไม่รอจูจั้นเอ่ยวาจาอีกก็คำนับให้พวกเขาขอตัว
คุณหนูจวินเชิญเฉินชีออกไปส่งด้วยตนเอง
“เจ้าดู เขาหมายความว่าอะไร” จูจั้นเอ่ย “ตอนนี้ไม่สะดวกรอหลังจากนี้”
เขาเลียนแบบหนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น
“เหมือนพวกเราเป็นปัญหานักหนา”
พูดถึงตรงนี้ก็มองคุณหนูจวิน
“เขารู้ว่าพวกเรากำลังช่วยเจ้าไหม? เข้าใจเหตุผลหรือไม่เนี่ย?”
“ท่านพูดถึงภรรยาท่านชายเรื่องนี้หรือ?” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น ยิ้มเล็กน้อย “นี่เรียกช่วยเหลือรึ? ถ้าอย่างนั้นก่อนหน้านี้เขาก็เคยช่วยข้านะ ย่อมเข้าใจสิ”
ชั่วขณะลืมไปเลยว่าหนิงอวิ๋นเจาก็เคยเป็นคู่หมั้นมาก่อนเช่นกัน จูจั้นถูกทำให้สะอึกนิดหนึ่ง
คุณหนูจวินยิ้มหมุนตัวมือไพล่หลังเดินส่ายอาดๆ ไปในห้องแล้ว
“เฮ้ย” จูจั้นเอ่ยขึ้น “ข้าว่านะผู้อื่นจริงจังจริงใจกับเจ้า พวกเจ้าสองฝ่ายชอบพอ แต่งงานกันไปเสียเลยสิดียิ่ง”
คุณหนูจวินขานอ้อทีหนึ่ง
“ก็ดี” นางเอ่ยขึ้นศีรษะก็ไม่หันกลับมา
จูจั้นรีบตามไป
“เจ้าจริงจังหน่อยสิ ข้าพูดเรื่องจริงจังอยู่นะ” เขาเอ่ย ใช้มือจิ้มหัวไหล่คุณหนูจวิน “พวกเจ้าจะแต่งงานกันเมื่อไร?”
“อย่างไรก็ต้องหลังรักษาความบริสุทธิ์ของท่านล่ะนะ” คุณหนูจวินยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้น “ข้าเป็นคนรับผิดชอบยิ่ง”
จูจั้นสบถทีหนึ่ง
“ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่าเจ้าต้องตอแยข้า” เขาเอ่ย “เจ้าดีที่สุดตัดใจเสีย ข้าคนเช่นนี้เจ้าจ้องจะงาบไม่ไหวหรอก อย่างไรเจ้าก็ไปจับคู่กับคนแซ่หนิงเถอะ แม้พูดไปแล้วหน้าตาน่าเกลียดไปหน่อยคนก็โง่ไปนิด แต่ก็นับว่าไม่เลวแล้ว”
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าดังลั่น
ได้ยินเสียงหัวเราะที่ลอยมาจากเรือนด้านหลัง เฉินชีที่ยืนอยู่ตรงประตูมองหนิงอวิ๋นเจาเดินจากไปก็จิ๊ปากสองที
“ต้องบอกว่าข้านับถือความร้ายกาจของสองพี่น้องบ้านพวกเจ้าจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้น
ฟางจิ่นซิ่วพลิกสมุดบัญชี
“เจ้าคิดเหลวไหลอันใดอีกแล้ว?” นางเอ่ยถาม
“น้องชายเจ้า ความสามารถในการเอ่ยคำหวานฉอเลาะยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง” เฉินชีเดินเข้ามาสองสามก้าว พิงโต๊ะกั้นเอ่ยขึ้น “คุณหนูจวินก็ไม่เป็นรอง ศัตรูความรักนี่พบหน้ากันเดิมควรริษยายิ่ง แต่เจ้าดูพวกเขาสิ คุณชายหนิงเดินเหมือนจะลอยขึ้นมาแล้ว ในเรือนด้านหลังท่านชายยังหยอกคุณหนูจวินหัวเราะจนเป็นเช่นนั้น นี่เป็นความสามารถยิ่งใหญ่นะ”
ฟางจิ่นซิ่วกลอกตาทีหนึ่ง
“เจ้าอยากเรียนรึ?” นางเอ่ยถาม
“อยากสิ” เฉินชีหลุดปากตอบ
ฟางจิ่นซิ่วมองเขา
“ถ้าอย่างนั้นหลังเจ้าเรียนแล้ว อยากกล่อมแม่นางคนไหนกับแม่นางคนไหนที่เป็นศัตรูความรักกันให้พบหน้าไม่ริษยาเล่า?” นางเอ่ยถาม
เฉินชีหัวเราะฮ่าฮ่าแห้งๆ
“เจ้าดูสิ เจ้าดูสิ นี่เจ้าไม่เข้าใจแล้วนะ” เขาเอ่ยอย่างตั้งใจ “วิชาคำหวานฉอเลาะนี่ไม่ใช่เพียงเพื่อปลอบประโลมแม่นางกับหนุ่มน้อยทั้งหลาย พวกเราเปิดกิจการทำการค้า ลูกค้าก็คือคนในดวงใจ ต้องกล่อมพวกเขาให้เบิกบานสำราญใจเงินถึงไหลมาเทมาได้ ไม่ใช่รึ?”
“ไม่ใช่” ฟางจิ่นซิ่วก็เอ่ยอย่างจริงจังเช่นกัน “โรงหมอจิ่วหลิงมีชื่อเสียงขึ้นมาก็เพราะชื่อฉาวโฉ่ว่าโอหังไร้มารยาท และเพราะเย็นชาไร้น้ำใจต่อลูกค้าเงินถึงไหลมาเทมา”
เฉินชีหัวเราะฮ่าฮ่าแห้งๆ อีกครั้ง
“ข้าก็แค่ยกตัวอย่างดู” เขาเอ่ย “คุณหนูจวินโอหังไร้มารยาทได้ก็เพราะนางมีความสามารถ ข้าย่อมไม่กล้าเลียนแบบ”
พูดพลางมองไปด้านใน
“ยาสงบจิตสองขวดที่บ้านราชบัณฑิตหลินเร่งจะเอา ไม่รู้ทำเสร็จแล้วหรือยัง ข้าไปดูสักหน่อย”
พูดจบก็วิ่งจี๋เข้าไปแล้ว
มองเงาแผ่นหลังของเขา ฟางจิ่นซิ่วที่ดวงหน้าไร้อารมณ์มาตลอดถึงเม้มปากเผยรอยยิ้มจางๆ ก้มหน้าคิดบัญชีต่อ
หลังทานอาหารเย็นผ่านไป คุณหนูจวินก็บอกทุกคนเรื่องเตรียมออกไปข้างนอก
เฉินชีอย่างไรก็ได้ แต่ฟางจิ่นซิ่วกับจูจั้นล้วนขมวดคิ้ว
“ตอนนี้ออกไปอันตรายเท่าไร” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยขึ้น
จูจั้นพยักหน้าตาม พยักหน้าสองสามทีก็รีบส่ายศีรษะอีก
“เจ้าอันตรายหรือไม่อันตรายเป็นเรื่องของเจ้า แต่เจ้าคิดถึงคนอื่นเสียบ้างสิ รอจัดการเรื่องการแต่งงานปลอมๆของพวกเราแล้วค่อยไป ไม่เช่นนั้นข้าก็ต้องตามเจ้าไปอีก” เขาอธิบาย “ข้างานยุ่งนะ”
คุณหนูจวินไม่สนเขา
“ไม่ต้องกังวล ข้าไปส่งอาจารย์หญิงยังสถานที่แห่งหนึ่ง คนของกองทหารชิงซานจะอารักขาพวกเรา ไม่มีทางเกิดเรื่องหรอก” นางเอ่ยแล้วยิ้มให้เฉินชีกับฟางจิ่นซิ่ว “ตอนนั้นองครักษ์เสื้อแพรหลายคนนั่นทำอันใดข้าไม่ได้ ตอนนี้ลู่อวิ๋นฉีเขาก็ทำอันใดข้าไม่ได้เช่นกัน”
ถึงขนาดที่นางยังอยากอาศัยโอกาสคราวนี้ล่อลู่อวิ๋นฉีออกจากเมืองหลวงด้วย
ตอนนั้นลู่อวิ๋นฉีต้องการใช้ประโยชน์จากการที่นางออกจากเมืองหลวงลักพาตัวนางระหว่างทาง สร้างสถานการณ์ลวงว่าถูกโจรภูเขาจับหรือหายสาบสูญอย่างไม่คาดฝัน ถ้าเช่นนั้นตอนนี้นางก็ทำเช่นนี้ได้เหมือนกัน
หากเขากล้าตามมา นางจักสังหารเขา สร้างสถานการณ์ลวงว่าโจรภูเขาจับหรือเกิดเรื่องไม่คาดฝันเช่นเดิมแน่นอน
“เสียสติ” จูจั้นคล้ายเดาความคิดนางได้ กระแทกชามตะเกียบลงเดินตึงตังออกไปแล้ว
ฟางจิ่นซิ่วกับเฉินชีสบตากันทีหนึ่ง
“จำเป็นต้องไปไหม?” เฉินชีเอ่ยถาม
นี่คงเป็นความปรารถนาในใจข้อเดียวของอาจารย์หญิงแล้ว นางต้องทำให้สำเร็จให้จงได้
คุณหนูจวินพยักหน้า
“ถ้าเช่นนั้นก็ตามใจ เจ้าอยากทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้นเถอะ” ฟางจินซิ่วก็วางชามตะเกียบลงเดินออกไปด้วย
“ออกไปเช่นนี้ ไม่ใช่โกรธแต่อาลัยอาวรณ์เจ้า” เฉินชีรีบยิ้มอธิบาย
คุณหนูจวินยิ้มพลางพยักหน้า
“ข้ารู้” นางเอ่ย
“เฮ้ ข้าไม่ใช่นะ”
เสียงของจูจั้นลอยมาจากด้านข้าง
“ข้าโกรธจริงๆ”
คุณหนูจวินส่งเสียงหัวเราะพรืด
“ไม่ต้องกังวล ข้ารู้เช่นกัน” นางตะเบ็งเสียงเอ่ยกับด้านนั้น
……………………………………….
วันรุ่งขึ้นฟ้าเพิ่งสว่าง เฉินชีเดินเข้ามาในโถงด้านหน้าก็เห็นฟางจิ่นซิ่วนั่งอยู่ข้างในแล้ว
“ทำไมเช้าปานนี้?” เขาเอ่ยถามแล้วกังวลใจอยู่บ้าง “นอนไม่หลับหรือ?”
ฟางจิ่นซิ่วไม่ปกปิดความเหนื่อยล้าในดวงตา
“จะออกไปข้างนอกย่อมมีเรื่องมากมายให้ตระเตรียม” นางเอ่ย “ทุกครั้งนางแค่ขยับปาก คนเท่าไรวิ่งกันขาขวิด แต่ไหนแต่ไรล้วนเป็นคนที่คิดถึงแต่ตัวเองไม่คิดถึงผู้อื่นเช่นนี้”
เฉินชียิ้มพลางฟังนางบ่น
“นั่นก็เพราะพวกเราพึ่งพาได้อย่างไรเล่า นางถึงถูกบ่มเพาะจนเอาแต่ใจจนเคยเช่นนี้” เขาเอ่ย
ฟางจิ่นซิ่วแค่นเสียงเหอะทีหนึ่ง
“อย่าถ่อมตัวเลย เจ้าใกล้จะไล่ตามวาจากะล่อนของน้องชายข้าทันแล้ว” นางเอ่ย
“คำหวานฉอเลาะต่างหาก” เฉินชีหัวเราะเริงร่าแย้ง
กำลังคุยเล่นหัวเราะอยู่ ประตูก็ถูกเคาะดัง
เพราะเวลายังเช้าอยู่ บานประตูจึงยังไม่เปิดออก
คนที่รู้ข่าวมาขอพบหมอรึ?
โรงหมอจิ่วหลิงไม่เคยรับตรวจฉุกเฉิน ทกคนล้วนรู้จึงไม่มาให้เสียเวลา
“คุณชายหนิงอีกกระมัง” ฟางจิ่นซิ่วพึมพำประโยคหนึ่ง ก้าวเข้ามาเปิดประตู “คราวนี้คงไม่ใช่รู้ข่าวอีกหรอกนะ?”
พึมพำไปพลาง ยกดาลประตูลงกับเฉินชีไปพลาง ก็เห็นเงาร่างสีแดงร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า
เงาร่างเป็นสีแดง แต่ฟางจิ่นซิ่วกลับรู้สึกว่าตรงหน้ามืดไปวูบหนึ่ง คนก็ถอยหลังสองก้าวโดยไม่รู้ตัว
คนผู้นี้ในที่สุดก็ปรากฏตัวแล้วจริงๆ แม้ไม่รุนแรงเหมือนที่จินตนาการก็ตาม
ไม่ทำลายประตู ไม่ล้อมโจมตี กลับกันมีเขาเพียงคนเดียว ยืนนิ่งสงบอยู่ข้างประตู แล้วยังเคาะประตูอย่างมีมารยาทอีก
แต่คนผู้นี้ไม่เคยดูแต่ภายนอกได้
“ท่าน…” นางเอ่ย พอได้สติก็รีบก้าวเข้ามาขวางประตูไว้ “ท่านต้องการทำอะไร?”
ท่ามกลางแสงอรุณดวงหน้าของลู่อวิ๋นฉีพร่าเลือนไม่ชัด ยืนอยู่นอกประตูไม่ได้มีเจตนาจะฝ่าเข้ามา
“ข้าต้องการพูดกับนางประโยคหนึ่ง” เขาเอ่ย
……………………