“อานุภาพกดดันแข็งแกร่งนัก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมุ่งหน้าเลียบทางเดินไป กลุ่มแสงก็ดูใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อานุภาพกดดันทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าทนรับได้ยากนัก
ยอดเคารพเฮ่ากู่ยืนอยู่ตรงจุดเชื่อมต่อของทางเดินเส้นเลือดพลางมองดูด้วยความตื่นเต้น “ต้องเข้าไป ต้องเข้าไปให้ได้ ในบรรดากลุ่มแสงมิติมากมายภายในทะเลแห่งการรับรู้ นี่คือกลุ่มแสงที่มีเสียงเพรียกร้องข้าแข็งแกร่งที่สุดแล้ว”
ครั้งนี้เขาเสีย ‘ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษ’ ไปเม็ดหนึ่งเพื่อให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้ามา กลุ่มแสงมิติตรงหน้านี้ก็คือเป้าหมายหลักที่สุดแล้ว
“เข้าไปแล้ว” ยอดเคารพเฮ่ากู่เผยสีหน้ายินดีออกมา
……
ฟิ้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงทะยานเข้าไปในกลุ่มแสงมิติขนาดมหึมา
“กลุ่มแสงมิตินี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้าตกใจ กลุ่มแสงมิตินี้มีขอบเขตหลายพันล้านลี้ ภายในกลับมีเศษเสี้ยวโลกหลายเสี้ยวลอยคว้างอยู่ เมื่อทอดสายตามองไป ก็มีเศษเสี้ยวโลกซึ่งดูเหมือนกับ ‘กระดาษขนาดมหึมา’ ถึงเจ็ดแผ่นด้วยกัน ภายในเศษเสี้ยวโลกแต่ละชิ้นล้วนมีต้นกำเนิดอันร้อนระอุที่น่าหวาดหวั่น
ภายในเศษเสี้ยวโลกทั้งเจ็ด แต่ละเสี้ยวล้วนมีวัตถุที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดอยู่
มีกริชสีดำอยู่ด้วย เศษเสี้ยวโลก!
และมีเปลวเพลิงสีน้ำเงินเข้มอันลุกโชนกลุ่มหนึ่ง เศษเสี้ยวโลกก่อตัวขึ้นโดยมีเปลวเพลิงสีน้ำเงินเข้มเป็นศูนย์กลาง
“ไปอันไหนดีล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ถึงวิกฤตที่แฝงเอาไว้ในเศษเสี้ยวโลกเหล่านี้
“อื้ม”
“อันที่มีกริชสีดำก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงตัดสินใจขึ้นมาทันที นี่เป็นเศษเสี้ยวโลกเพียงหนึ่งเดียวในเจ็ดเสี้ยวที่มีอาวุธเป็นต้นกำเนิด!
สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงทะยานไปทางเศษเสี้ยวโลกนั้น เมื่อมุ่งหน้าเข้าไปใกล้ ‘เศษเสี้ยวโลก’ ซึ่งมีรูปร่างเหมือนแผ่นกระดาษขนาดมหึมาก็ดูดเขาเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“เข้ามาแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ว่าภาพตรงหน้าเลือนรางไป แล้วเขาก็ยืนอยู่กลางทุ่งร้างขนาดมหึมา กลางทุ่งร้างมีทหารเกราะดำยืนอยู่แน่นขนัดไปหมด ส่วนตรงกลางสุดของทุ่งร้างกลับมีบัลลังก์สูงตระหง่านราวขุนเขาตั้งอยู่ บนบัลลังก์นั้นมีเงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำร่างหนึ่งนั่งอยู่ ในมือกำลังถือกริชสีดำเล่มนั้นพลิกเล่นไปมา นัยน์ตาทั้งคู่เหลือบมองตงป๋อเสวี่ยอิงไกลๆ แวบหนึ่ง ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ถึงอานุภาพกดดันอันทำให้ต้องหยุดหายใจ
“ฆ่ามัน” เดิมทีทหารเกราะดำทั้งหมดยืนนิ่งไม่ไหวติงราวกับหุ่นอย่างไรอย่างนั้น แต่หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึง ทหารเกราะดำทั้งหมดก็พากันมองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง
บรรดาทหารเกราะดำกลายเป็นลำแสงพุ่งตรงเข้ามาราวกับสายน้ำที่ทะลักล้น
ลำแสงปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน โอบล้อมตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้จากทุกทิศทุกทาง
“ทำลาย!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางทุ่งร้าง เผชิญหน้ากับทหารเกราะดำจำนวนนับไม่ถ้วน เขาสำแดงท่าไม้ตายเขตลวงโลกเทียมออกมาทันที
ตู้มมม…
เขตลวงพลันปกคลุมลงไป ปกคลุมทั่วทุกบริเวณของเศษเสี้ยวโลกรวมทั้งบนบัลลังก์นั้นด้วย เขตลวงโจมตีทหารเกราะดำตนแล้วตนเล่า กระบวนท่านี้ให้ผลดียิ่งนัก ทหารเกราะดำจำนวนนับไม่ถ้วนพลันสลายไปราวกับฟองอากาศที่แตกออก ในชั่วพริบตาเดียว นอกจากตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว บนทุ่งร้างก็เหลือเงาร่างเพียงสิบสามสายเท่านั้น
นอกจากเงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำที่นั่งอยู่บนบัลลังก์แล้ว เบื้องล่างยังมีพลทหารเกราะดำร่างสูงใหญ่อีกสิบสองนายที่ยังคงสมบูรณ์ดีอยู่
“สวบๆๆ…” พลทหารสิบสองคนที่สามารถต้านทานเขตลวงได้แข็งแกร่งกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาล้อมโจมตีเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
“ปังๆๆ”
พวกเขาต่างก็ถือกริชเข้ามาลอบโจมตีอย่างแปลกพิสดารยากเกินคาดเดา ถึงขั้นเหนือกว่าที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะสามารถเข้าใจได้ วิธีการต้านทานของเขาไม่มีประโยชน์เอาเสียเลย กริชเหล่านั้นทะลุผ่านการป้องกันของเขาแล้วโจมตีลงบนร่างราวกับเงารางอย่างไรอย่างนั้น ทว่าแสงสีดำรำไรที่คุ้มกันอยู่เหนือผิวกายกลับต้านทานการลอบโจมตีเหล่านี้เอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
“เกรงว่าต่อให้เป็นยอดเคารพมาเอง ลำพังแค่อาศัยพลังของตน ก็คงต้านทานเอาไว้มิได้กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย
ในขณะนั้นเอง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่า บนทุ่งร้างไกลออกไปมีทหารเกราะดำจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันขึ้นมาอีกครั้ง
“ทำลายไปแล้วก็ปรากฏขึ้นมาใหม่อีกอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรีบสำแดงวิถีกายออกมา วิถีกายของยอดฝีมือทางด้านวิถีอากาศก็เยี่ยมยอดมาก ทหารเกราะดำสิบสองนายมีกระบวนท่าโจมตีอันแข็งแกร่งและพิสดารอย่างเห็นได้ชัด แต่วิถีกายกลับทึ่มทื่อกว่าอย่างชัดเจน
ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเขตลวงไปพลาง กวาดล้างทหารเกราะดำจำนวนนับไม่ถ้วนไปพลาง
และอาศัยวิถีกายพุ่งทะยานไปทางเงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำบนบัลลังก์ผู้นั้น เพราะถึงอย่างไรเป้าหมายก็คือ ‘กริชสีดำ’ ที่เงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำถือเล่นอยู่ในมือ พละกำลังที่แผ่ออกมาจากกริชสีดำเล่มนั้นยิ่งใหญ่ น่าจะเป็นต้นกำเนิดของเศษเสี้ยวโลกนี้
สวบ
บรรดาทหารเกราะดำสลายไปราวกับฟองอากาศที่แตกออก จากนั้นก็ถือกำเนิดขึ้นใหม่อีก! ส่วนทหารเกราะดำเหล่านั้นก็ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงสะบัดออกไปอย่างต่อเนื่อง ขัดขวางเอาไว้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อาศัยแสงสีดำคุ้มกายนั้นฝืนต้านทานเอาไว้
“เอามา” ตงป๋อเสวี่ยอิงบีบเข้าไปใกล้บัลลังก์ เงาร่างราวกับภูตผีปีศาจปรากฏขึ้นนับพันนับหมื่นร่าง เงาร่างแต่ละร่างก่อตัวเป็นจริงขึ้นมา เพียงแต่มีมิติในระดับชั้นที่แตกต่างกัน เงาร่างนับพันนับหมื่นพุ่งตรงไปทางบัลลังก์พร้อมกัน
“ตู้ม”
เงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำเล่นกริชในมือ เขากวัดแกว่งกริชสีดำพลางยิ้มเย็นออกมาในที่สุด
แคว่กก…
กริชหนึ่งวาดผ่านตงป๋อเสวี่ยอิงไป
“ตู้ม!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงว่าสติรับรู้อื้ออึงไปหมด รอจนได้สติกลับคืนมา กลับพบว่าร่างกายอยู่นอกเศษเสี้ยวโลกนั้นแล้ว กระบวนท่านั้นกระแทกเขาออกมาเสียแล้ว!
“ข้าออกมาแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสรับรู้ดูเล็กน้อย แต่สีหน้ากลับเปลี่ยนแปลงไป “กระบวนท่านั้นเผาผลาญพละกำลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษของข้าไปมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
แม้เมื่อกริชนั้นโจมตี อาศัยแสงสีดำคุ้มกายจะสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่กลับเผาผลาญมากมายยิ่งนัก ราวร้อยละหนึ่งของพละกำลังทั้งหมดภายในไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษ
เขามองดูเศษเสี้ยวโลกตรงหน้าเสี้ยวนั้น
เศษเสี้ยวโลกยังคงเลือนรางไปหมด มองเห็นได้เพียงต้นกำเนิดซึ่งสะดุดตาที่สุดของทั้งเศษเสี้ยวโลก…กริชสีดำเล่มนั้นนั่นเอง! ส่วนทหาร นายพลและเงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำเหล่านั้น กลับมองได้ไม่ชัดเจนจากโลกภายนอก
“ทหารพวกนั้นมันอะไรกัน ทำลายไปตั้งหลายครั้งก็ยังคงเกิดขึ้นมาใหม่ เงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำก็แข็งแกร่งเสียจนเกินจริง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบร่ำร้องในใจ ทว่าก่อนที่จะเข้ามา ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็ได้เตือนเอาไว้ว่า ภายในกลุ่มแสงมิติของทะเลแห่งการรับรู้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น ขอเพียงเขา ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถนำวัตถุออกมาได้สำเร็จ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลแล้ว
“เข้าไปอีกสักครั้ง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงลองเข้าไปภายในเศษเสี้ยวโลกกริชสีดำนั้นอีกครั้ง
โครม…
เมื่อเขาเข้าไปในโลก แล้วร่อนลงบนทุ่งร้างอีกครั้ง ตรงหน้าก็ยังคงมีทหารเกราะดำจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา ไกลออกไปยังคงมีบัลลังก์สูงตระหง่านดุจขุนเขาซึ่งด้านบนมีเงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำที่ถือ ‘กริชสีดำ’ เล่นอยู่ ราวกับทุกสิ่งไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาก่อน
ดังนั้นสายตาของเงาร่างมากมายที่จับจ้องร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้น ก็กำลังจะเปิดฉากรุกเข้ามาอีกอย่างเห็นได้ชัด
“ไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงเลือกที่จะปล่อยไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ด้วยผลสำเร็จทางด้านอากาศของเขา จึงสามารถจากเศษเสี้ยวโลกนี้ไปได้อย่างง่ายดาย
……
“เศษเสี้ยวโลกกริชสีดำอันตรายเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปยังเศษเสี้ยวโลกอีกหกแห่งที่เหลือ
สายตาของเขาหยุดลงที่เศษเสี้ยวโลกขนาดมหึมาแห่งหนึ่งในจำนวนนั้น ต้นกำเนิดของเศษเสี้ยวโลก แห่งนี้คือ ‘ขนนกสีแดงเพลิงหนึ่งก้าน’ ตงป๋อเสวี่ยอิงลองคาดคะเนดูว่า เมื่อเทียบกันแล้วอาจจะง่ายกว่าอยู่บ้างก็เป็นได้กระมัง
เขาตัดสินใจโดยอาศัยสัญชาตญาณล้วนๆ
สวบ
เขาทะยานตรงไปทางเศษเสี้ยวโลกขนนกสีแดงเพลิงนี้ แล้วถูกดูดเข้าไปอีกครั้ง
ที่นี่ก็เป็นโลกที่บกพร่องเช่นกัน พรมแดนโลกเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ตรงกลางโลกคือต้นไม้ขนาดมหึมาต้นหนึ่ง ซึ่งบนยอดสุดของต้นไม้มีขนนกสีแดงเพลิงหนึ่งก้านลอยคว้างอยู่ รอบด้านมีสัตว์ปีกสามตัวบินรายล้อมอยู่ บนต้นไม้ขนาดมหึมาต้นนั้นก็มีสัตว์ปีกและนกน้อยมากมายหยุดพักผ่อนอยู่
ชั่วขณะเดียวกับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปนั่นเอง สัตว์ปีกทั้งมวลก็หันมามองตงป๋อเสวี่ยอิงพร้อมกัน นัยน์ตาของพวกมันฉายแววโหดเหี้ยมและแค้นเคือง
ชั่วพริบตาเดียว เสียงกรีดร้องอันแสบเก้าหูดังก้องขึ้นมา
ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างแทรกซึมเข้ามา ก็ทำให้แสงสีดำรำไรเหนือผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงสั่นสะท้านน้อยๆ พละกำลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษก็กำลังได้รับความเสียหาย
“ทำลาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเขตลวงโลกเทียมออกมาปกคลุมโลกอันบกพร่องนี้เอาไว้ทันที ภายใต้เขตลวง สัตว์ปีกจำพวกนกจำนวนนับไม่ถ้วนบนต้นไม้ต้นนั้นต่างก็หายวับไปเสียงดังพึ่บพั่บ เหลือเพียงสัตว์ปีกที่มีอานุภาพแข็งแกร่งกว่าอย่างเห็นได้ชัดซึ่งกำลังบินอยู่รอบ ‘ขนนกสีแดงเพลิง’ ที่ยังคงอยู่
“เหลือสัตว์ปีกแค่สามตัวแล้ว ขนนกนี่ก็ไม่มีผู้ใดควบคุมหรอกกระมัง ดูท่าแล้วคงจะง่ายกว่าเศษเสี้ยวโลกกริชสีดำนั่นอยู่เล็กน้อยกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบร่ำร้องในใจ อย่างน้อยเศษเสี้ยวโลกนั้น สิ่งมีชีวิตที่สามารถคงอยู่ต่อภายใต้เขตลวงของเขานั้นมีถึงสิบสามคนด้วยกัน เศษเสี้ยวโลกนี้เหมือนจะอ่อนแอกว่าอยู่บ้าง
……………………………………………