“แม้กระทั่งทำให้มั่นคงก็ยังทำมิได้ ข้อบกพร่องก็ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงสงบจิตใจแล้วคิดใคร่ครวญย้อนกลับไปถึงเคล็ดวิชาที่ตนคิดค้นขึ้นมา ถึงขนาดที่แปลงเป็นลำแสงเหินบินไปยังภูเขาเขี้ยวอสรพิษสีดำสูงตระหง่านแห่งแล้วแห่งเล่าในบริเวณรอบๆ ภูเขาเขี้ยวอสรพิษห้วงอากาศแปดแห่ง บริเวณรอบๆ ของแต่ละแห่งมีช่องว่างห้วงอากาศอยู่ มองแล้วก็ทำให้หัวใจคนสั่นสะท้าน รู้สึกได้ถึงความหวาดหวั่น ตงป๋อเสวี่ยอิงหยุดค้างอยู่กลางอากาศ ในทัศนวิสัยของเขาสามารถเห็นภูเขาเขี้ยวอสรพิษได้เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น แต่เขากลับคาดเดาถึงปัญหาที่เคล็ดวิชาของตนมีอยู่ได้อย่างรางๆ แล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “เขี้ยวอสรพิษสีดำ แฝงไว้ด้วยความเร้นลับมากมายของวิถีอากาศ เห็นได้ชัดว่าเป็นระดับขั้นคละถิ่น ระดับขั้นสูงกว่าข้ามากมายเหลือเกิน ข้าเห็นแล้วก็ชมชอบหลงใหล! หากแต่เขี้ยวอสรพิษนี้ในท้ายที่สุดแล้วก็มีไว้ใช้โจมตี ส่วนประกอบของใบมีดจำนวนนับไม่ถ้วนที่ยอดเขาเขี้ยวอสรพิษก็เอาไว้ใช้สังหารโจมตีเช่นเดียวกัน ข้าอยากจะดึงเอาความเร้นลับมาซึมซับเข้าสู่ร่างกายก็ย่อมมีการสังหารโจมตีที่แข็งแกร่ง แต่อยากจะทำให้มั่นคงนั้นก็ยากเย็นเสียแล้ว!”
สิ่งที่โจมตีเพียงอย่างเดียวสามารถมั่นคงได้หรือ
ได้!
อย่างเช่นอาวุธเทพคละถิ่น! หรืออย่างเช่นเขี้ยวอสรพิษห้วงอากาศนี้! ต่างก็เป็นวัตถุที่โจมตีในระยะใกล้ ก็สามารถอยู่อย่างมั่นคงชั่วนิรันดร์ได้
แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วการทำให้ทุกด้านของร่างกายสมดุลกันก็ง่ายกว่าอยู่พอสมควร ส่วน ‘การคงความสมดุลแม้การกัดกร่อนแข็งแกร่ง’ ก็ยากกว่าอยู่มากอย่างเห็นได้ชัด
“น่าเสียดาย ข้าไม่มีวัตถุอื่นๆ ที่สามารถศึกษาได้อีกแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า
ถึงแม้ว่าจะได้ดูเศษเสี้ยวความทรงจำมาแล้ว
แต่ก็เพียงแค่ได้เห็นภาพเหตุการณ์จำนวนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางวิเคราะห์ได้อย่างแท้จริง อย่างเช่นเขี้ยวอสรพิษนี้ ตนเองก็สามารถมองเห็นส่วนประกอบภายในได้แล้วศึกษาจากมัน ดัดแปลงส่วนประกอบร่างกายของตนเอง
“อาวุธเทพคละถิ่น พื้นฐานคือเม็ดทรายอลวนซึ่งเป็นวัตถุไร้ชีวิต” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “ดีร้ายอย่างไรเขี้ยวอสรพิษก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย”
“ไปดูที่อื่นๆ อีกสักหน่อยก็แล้วกัน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงจดจำส่วนประกอบภายในเขี้ยวอสรพิษเอาไว้จนหมด ถึงขนาดที่ไม่มีทางก้าวหน้าได้อีกในระยะเวลาอันสั้น จะรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด
พรึ่บ!
เขาแปลงเป็นลำแสง เดินทางอยู่ในทางเดินเขี้ยวอสรพิษอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นตรวจตราไปทุกหนทุกแห่ง
……
ในวันต่อมา ตงป๋อเสวี่ยอิงทุ่มเทจิตใจสำรวจทุกหนแห่งของทางเดินเขี้ยวอสรพิษ ช่วยไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะเคยถามยอดเคารพเฮ่ากู่ถึงข้อมูลเกี่ยวกับทางเดินเขี้ยวอสรพิษมาก่อนแล้ว ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็ได้บอกมาเป็นจำนวนมาก แต่เกี่ยวกับ ‘วิถีอากาศ’ นั้น วิธีการพูดของยอดเคารพเฮ่ากู่ก็คือ “เขี้ยวอสรพิษห้วงอากาศเก้าอันนั้นสะดุดตาเป็นที่สุด ส่วนสิ่งอื่นๆ นั้นข้าก็มิได้ค้นพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับวิถีอากาศ แน่นอนว่าข้าก็มิได้เชี่ยวชาญทางด้านห้วงอากาศ สายตาไม่กว้างไกลพอ บางทีหากมีวัตถุวิถีอากาศอยู่ต่อหน้า ก็มีความเป็นไปได้ที่ข้าจะมองไม่ออก”
สำหรับ ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ถึงแม้ว่าทางเดินเขี้ยวอสรพิษจะเป็นสถานที่ต้องห้ามในตำนาน แต่กลับไม่มีวัตถุใดๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับมันเลย
******
ณ บ้านเกิด ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’ โลกทิพย์นิจนิรันดร์
ภายในเมืองขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี๋จิ้งชิวกำลังอยู่ที่โรงสุราริมทาง เสพสุขกับอาหารเลิศรสสุราชั้นเลิศที่เป็นเอกลักษณ์ของโรงสุราแห่งนี้
เหล่าผู้ดูแลของโรงสุราต่างก็กำลังตั้งอกตั้งใจดูแลบรรดาแขกเหรื่อ วิ่งพล่านอยู่ภายในโรงสุรา คอยยกอาหารเลิศรสสุราชั้นเลิศถาดแล้วถาดเล่า
“เหล่าซาน ค่าคารวะอาจารย์ของเจ้าเพียงพอแล้วหรือ”
“พี่ใหญ่ วางใจเถิด ใกล้แล้วล่ะ คราวหน้าที่สำนักฝูเทียนรับศิษย์อีกครั้ง ข้าก็สามารถคารวะอาจารย์ได้แล้ว พอถึงเวลานั้นข้าก็จะต้องบำเพ็ญจนสำเร็จเป็นเทพอากาศได้อย่างแน่นอน” ที่ด้านข้าง เหล่าผู้ดูแลผ่อนคลายกันเล็กน้อย ผู้ดูแลวัยเยาว์สองคนถ่ายเสียงสนทนาระหว่างกัน
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี๋จิ้งชิวมีระดับขั้นเช่นไร วิธีการที่เทพแท้สองคนถ่ายเสียงกัน พวกเขาสองคนก็ได้ยินอย่างง่ายดาย
อวี๋จิ้งชิวเอ่ยเสียงเบาว่า “ในยุคนี้ยังคงมีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังบำเพ็ญ กำลังดิ้นรน แต่ทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านกลับกำลังขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่องจนใกล้จะถึงมหาวินาศ”
“ยังเร็วไปมากนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “ยังเหลืออีกกว่าสิบล้านล้านปีเลยทีเดียวนะ”
“ใช่ แต่ยุคนี้แหลกสลายไป ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นความว่างเปล่า มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เจ้า เสวี่ยอิงสามารถช่วยพาจากไปได้” อวี๋จิ้งชิวมองบรรดาผู้ดูแลวัยเยาว์ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาเหล่านั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
พกพาสิ่งมีชีวิตไปยังโลกกำเนิดแห่งอื่นๆ สำหรับเขาผู้เป็นวิถีอากาศขั้นสุดยอดแล้วก็มิใช่เรื่องง่ายเลย
แม้กระทั่งบรรดาญาติสนิทมิตรสหาย ก็ยังต้องต้องแบ่งออกเป็นหลายครั้งอย่างยิ่งในการพาไป ที่เขาสามารถพาไปได้ก็ถูกกำหนดให้น้อยนิดเป็นอย่างยิ่ง!
“ยุคสมัยนี้…” ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านเกิดหรือว่าที่ดินแดนจิตโลกา ตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็เป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งที่ยืนอยู่ที่จุดยอดสุดทั้งสิ้น แต่เขาก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังมิได้ทำให้เสร็จสิ้น อย่างเช่นการสังหารศัตรูของปรมาจารย์กู่ฉี…จอมเทพศักดิ์สิทธิ์! ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ ที่ก่อการสังหารจำนวนนับไม่ถ้วน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมไม่อยากให้เขามีชีวิตรอดอยู่แล้ว
“แต่ถ้าหากไปถึงยุคต่อไปแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเราจะต้านทานกฎเกณฑ์สูงสุดเอาไว้ได้ ก็ต้องให้กำเนิดตอนแรกเริ่มในยุคต่อไป เข้าสู่ห้วงนิทราอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในจุดนี้ “พลังยุทธ์ของข้าแข็งแกร่งกว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ระยะเวลาที่ข้าเข้าสู่ห้วงนิทราก็อาจจะเนิ่นนานกว่า ระหว่างช่วงเวลานี้ก็สามารถเกิดการผันแปรขึ้นได้มากมาย”
ภายในโลกกำเนิดก็ไม่มีทางต้านทานกฎเกณฑ์สูงสุดได้เลย
แม้กระทั่งผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นที่กล้าแกร่งอย่าง ’หยวน’ และ ‘เจ้าเมืองหลัว’ เข้าไปยังโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง ภายใต้การเผชิญกับความกดดัน พลังยุทธ์ที่สามารถแสดงออกมาได้ก็มีขีดจำกัดเช่นกัน
“อยากจะสังหารเขา ยุคนี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่สุดแล้ว”
“แต่ตอนแรกจอมกระบี่ไล่ล่าสังหารหลายครั้ง ก็เพียงแค่ทำให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น พลังชีวิตก็สูญเสียไปไม่ถึงครึ่ง ตอนนี้ข้าสามารถรักษาพลังยุทธ์เอาไว้อย่างมั่นคงได้ ก็เป็นเพียงแค่ระดับไร้เทียมทานเท่านั้น แข็งแกร่งกว่าจอมกระบี่อยู่เล็กน้อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจกระจ่างแจ้งเป็นอย่างยิ่ง พลังยุทธ์ไร้เทียมทานก็ไม่มีทางสังหารขั้นสุดยอดระดับสามัญในกระบวนท่าเดียวได้
ถึงแม้ว่าตนเองจะมีร่างแยกมากมายก็ยังทำมิได้เช่นกัน
ตอนนี้เขายังซ่อนตัวอยู่ในทางเดินโลกาพิศวง อยากจะหาตัวให้พบนั้นยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรเมื่อใดที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์แปลงร่างกลายเป็นฝูงมารผลาญทำลายธรรมดา ตนเองก็ไม่มีทางจำได้! ในท้ายที่สุดแล้วตนก็ไม่มีความสามารถในการ ‘สะกดรอย’ ขั้นสุดยอดอยู่ดี
“รอให้ข้าแข็งแกร่งกว่านี้มากอีกหน่อยเถิด”
“ก็จะเริ่มต้นกวาดล้างทางเดินโลกาพิศวง ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่มีทางปล่อยให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สามารถมีชีวิตรอดไปถึงยุคต่อไปได้หรอก” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีประกายหนาวเหน็บวาบผ่าน ก่อนหน้านี้เขายังไม่มีความมั่นใจ แต่ความก้าวหน้าในเคล็ดวิชาฝึกกายคละถิ่นทำให้เขามีความมั่นใจขึ้นมาแล้ว
ขอเพียงแค่เคล็ดวิชาฝึกกายก้าวหน้าขึ้นอีกสักหน่อยก็จะมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในการไปกวาดล้างแล้ว
……
สถานที่ต้องห้ามทะเลแห่งการรับรู้ของ ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ ภายในห้วงมิติกลุ่มแสงที่ใหญ่ที่สุดแห่งนั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาถึงยังที่แห่งนี้ ผ่านประสบการณ์สำรวจทุกหนแห่งในระยะเวลานี้ พลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษในร่างกายเขาก็ถูกใช้ไปจนเหลือเพียงแค่สายสุดท้ายแล้ว
ยืนอยู่ภายในห้วงมิติกลุ่มแสงนี้ มองดูซากศพของงูยักษ์ขนาดมหึมาตนนั้น และซากศพสัตว์ประหลาดพันเนตรที่อยู่ในหุบเขาเขี้ยวหักอยู่ห่างๆ
“ที่ดินแดนจิตโลกา ที่อากาศอันสับสนอลหม่าน ข้าก็ไร้ซึ่งศัตรูแล้ว เหล่าผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิของหุบเขาเขี้ยวหักก็มีอยู่มากมายที่แข็งแกร่งกว่าข้า แต่สิ่งที่พวกเขาบำเพ็ญล้วนเป็นพลังสายโลหิตทั้งสิ้น มิได้มีส่วนช่วยเหลือต่อข้าแต่อย่างใดเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “แต่ถึงแม้ว่าจะบำเพ็ญมาจนถึงระดับในตอนนี้แล้ว วิถีเขตลวงโลกเทียมของข้าก็ยังไปไม่ถึงขั้นสุดยอดเลยเสียด้วยซ้ำ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคละถิ่นเลย วิถีอากาศ แม้กระทั่ง ‘จักรพรรดิระดับต้น’ ก็ยังไม่มั่นคงพอ ยังห่างไกลจากการสำเร็จเป็นคละถิ่นอยู่มากมายนัก”
“ทุ่มเทบำเพ็ญ”
“นึกอยากจะใช้พลังทำลายกฎสำเร็จเป็นคละถิ่นนั้นยากเย็นเพียงใด” ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดถอนใจ
ไปดัดแปลงเส้นทางมากมาย ทดลองควบคุมจุดกำเนิดของโลกกำเนิด บางทีอาจยังมีหวังมากยิ่งกว่าอีกกระมัง
เผยแพร่ความเชื่อ อาศัยศรัทธาของสรรพชีวิตมาควบคุมจุดกำเนิดโลกอย่างนั้นหรือ การที่จะให้ผู้บำเพ็ญที่ไขว่คว้าอิสรภาพอย่างยิ่งใหญ่ศรัทธาได้นั้นยากเย็นเหลือเกิน แต่วิธีการควบคุมวิญญาณนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้สนใจมากมายนัก
“ไปลองดูที่แหล่งอารยธรรมอื่นๆ หน่อยดีกว่า”
“ที่แท้แล้วเป็นสถานที่เช่นไรกันแน่ เพียงแค่รับสัมผัสอยู่ห่างๆ ก็สามารถทำให้สัญชาตญาณของข้ารู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาได้แล้ว ส่งผลกระทบต่อพลังยุทธ์ของข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงตรงหน้าก้อนหินใหญ่สีดำนั้น ก่อนหน้านี้จักรพรรดิเป่ยเหอก็เคยเข้าไปและออกมาก่อนแล้ว! อย่างเช่นเหล่าห้ายอดเคารพที่เคยมาถึงที่นี่ ต่างก็รู้สึกได้ว่าการไปนี้ช่างอันตรายเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่เลือกทางเส้นนี้ง่ายๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงเยาว์วัยเกินไป
ต่อให้ไม่ออกไปวิ่งบุกฝ่า ทุ่มเทบำเพ็ญอย่างเดียว ด้วยความรวดเร็วในการบำเพ็ญของเขาก็มีความหวังที่จะสำเร็จเป็นคละถิ่น
แต่ว่า…
“ก็มิใช่แค่ร่างแยกร่างเดียวเท่านั้นหรือไร”
ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้มีร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วน เคยใส่ใจร่างแยกร่างเดียวเสียที่ไหนกัน
“ไป ไปดูหน่อยดีกว่า” ร่างกายที่เต็มไปด้วยความใคร่รู้และคาดหวังรอคอยของตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสบนก้อนหินใหญ่สีดำแล้วแทรกเข้าไปภายใน ถูกดึงดูดเข้าไปในนั้นทันที
………………………………………….