โลกเทพกว้างใหญ่ไพศาล
เรือใหญ่บินไปท่ามกลางเมฆหมอก ตามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงได้รู้จากการสอบถาม ยังต้องใช้เวลาอีกสองเดือนกว่าจะไปถึงเมืองจวิ้นซาน
วันคืนบนเรือลำนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญอย่างเงียบๆ เพื่อผลักดันกฎเกณฑ์วิถีอากาศของโลกใบนี้ไปพลาง แล้วค่อยๆ เปลี่ยนแปลงเคล็ดวิชาฝึกกายคละถิ่นของตน ทำให้สถานการณ์การถล่มทลายของร่างกายทุเลาเบาบางลง อีกด้านหนึ่ง ก็คือต้องรับมือกับคุณหนูสาม ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ ผู้นี้นั่นเอง
“เจ้าคนที่ชื่อเซี่ยงผางอวิ๋นนั่น สุดท้ายเล่า มิได้สังหารน้องชายเจ้าไปหรอกกระมัง” ภายในห้องส่วนตัวห้องหนึ่งในเรือใหญ่ อวี้เฟิงชิงอินนั่งอยู่ตรงข้ามกับตงป๋อเสวี่ยอิง นางถามด้วยความตื่นเต้น
“เมื่อถึงคราวคับขันที่สุด พลังของข้าก็บรรลุ และสังหารเซี่ยงผางอวิ๋นได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ เมื่อนึกถึงภาพตอนวัยเยาว์ฉากนั้น ก็ยังคงต้องทอดถอนใจ เพียงแต่บัดนี้ พวกท่านพ่อท่านแม่และน้องชายล้วนแต่ไม่อยู่แล้ว ทว่าพวกเขาล้วนมีชีวิตอยู่มานานแสนนาน แม้บัดนี้เขาจะสามารถอาศัย ‘จักรวาลภาพลวง’ สร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาใหม่ได้ก็ตามที
แต่ทว่า การสร้างท่านพ่อท่านแม่และน้องชายขึ้นมาใหม่จะมีความหมายอันใดกันเล่า
“เฮ้อ” อวี้เฟิงชิงอินถอนหายใจเสียงหนึ่ง “นี่ก็ดีแล้วๆ ข้าฟังจนตกอกตกใจไปหมดแล้ว”
“คุณหนูสาม หิมะเหินผู้นี้สามารถเหินทะยานขึ้นมาจนถึงโลกเทพได้ จะต้องเป็นบุคคลผู้ไร้เทียมทานในโลกล่างเป็นแน่ ผู้ที่เป็นศัตรูกับเขา ท้ายที่สุดเกรงว่าคงจะต้องมีจุดจบไม่สวยอย่างแน่นอน” พ่อบ้านอวิ๋นที่อยู่ด้านข้างพูดยิ้มๆ
“ก็ใช่” อวี้เฟิงชิงอินพยักหน้า
ทันใดนั้นอวี้เฟิงชิงอินก็โพล่งขึ้นว่า “ใช่แล้ว จ้าวเทพหิมะเหิน นับจากวันนี้ไปท่านวางแผนอันใดเอาไว้หรือไม่”
“ข้าเคยบอกไว้แล้วว่า ข้าอยู่ในโลกเทพก็ไร้บ้าน ได้แต่บุกฝ่าไปทั่วเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
“ไม่อย่างนั้น เจ้าก็อยู่ในเมืองจวิ้นซานของพวกเราเถอะ” อวี้เฟิงชิงอินเอ่ย “ความรกร้างนี่อันตรายถึงเพียงนี้ ในเมืองปลอดภัยกว่าอยู่ดี”
“ข้าอยากจะบำเพ็ญอยู่ในเมืองสักช่วงหนึ่งจริงๆ ครั้งนี้พบวิกฤตเข้า ทำให้ข้ารู้สึกว่าพลังยังคงไม่พออยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“เพิ่งจะเข้าสู่ขั้นจ้าวเทพก็กล้าบุกฝ่าท่ามกลางความรกร้างแล้ว” พ่อบ้านอวิ๋นที่อยู่ด้านข้างยิ้มหยัน
อวี้เฟิงชิงอินเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อจ้าวเทพหิมะเหินจะอยู่บำเพ็ญในเมืองนี้ก็เป็นเรื่องดี ใช่แล้ว จ้าวเทพหิมะเหิน ที่แท้แล้วพลังของท่านอยู่ระดับใดกันแน่”
“จ้าวเทพช่วงกลางกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “เพียงแต่เนื่องจากได้รับบาดเจ็บ พลังจึงมิอาจฟื้นฟูได้ตลอดมา คาดว่าอีกสักช่วงหนึ่ง เมื่ออาการบาดเจ็บหายดีอย่างสิ้นเชิงแล้ว ก็จะสามารถฟื้นคืนพลังระดับจ้าวเทพช่วงกลางได้
หลายวันมานี้ เคล็ดวิชาฝึกกายของเขาก็ค่อยๆ ก้าวหน้าขึ้น อาการบาดเจ็บทุเลาเบาบางลง ร่างกายก็แข็งแกร่งขึ้นด้วย
“อ้อ”
พ่อบ้านอวิ๋นที่อยู่อีกข้างหนึ่งเห็นเข้า ในใจก็แตกตื่นเล็กน้อย
จ้าวเทพช่วงกลางหรือ
ผู้เหินทะยานนั้นค่อยๆ บำเพ็ญขึ้นมาจากความอ่อนแอทีละขั้นๆ จริงๆ ถึงขั้นไม่มีแรงช่วยจากสายเลือดบรรพเทวะคละถิ่นด้วย! หากเป็นระดับขั้นเดียวกัน ผู้เหินทะยานก็แข็งแกร่งกว่าชาวโลกเทพดั้งเดิมอยู่ขุมใหญ่ หากจ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้พลังฟื้นฟูกลับมาจนสมบูรณ์ดี บรรลุถึงจ้าวเทพช่วงกลาง เกรงว่าพลังก็คงจะแตกต่างกับเขา พ่อบ้านอวิ๋นไม่มากสักเท่าใดนัก
เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงจ้าวเทพช่วงท้าย ทว่ามีความพิเศษของ ‘ดวงตาทิพย์แสงมรกต’ ควบคู่กันด้วย! พลังจึงร้ายกาจกว่าจ้าวเทพช่วงท้ายทั่วไปอยู่บ้าง
“ดี”
อวี้เฟิงชิงอินเผยสีหน้ายินดีออกมา “เจ้ามีพลังระดับจ้าวเทพช่วงกลาง ทั้งยังเป็นผู้เหินทะยาน ข้าจะต้องเกลี้ยกล่อมท่านพ่อท่านแม่และพี่ชายข้าได้อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น จ้าวเทพหิมะเหินก็รับงานเสริมเป็น ‘ปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญ’ ให้กับตระกูลอวี้เฟิงของข้าก็แล้วกัน งานเสริมเป็นปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญก็ไม่มีภารกิจอันตรายอันใด จะมีก็แต่ลูกหลานคนสำคัญของตระกูลอวี้เฟิง ของข้าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอจะเชิญเจ้าไปชี้แนะได้บ้างเล็กน้อย เมื่อมีสถานะนี้ จ้าวเทพหิมะเหินอยู่ในเมืองจวิ้นซานก็จะแตกต่างออกไปแล้ว นอกจากนี้ยังมีการมอบผลประโยชน์ให้เป็นระยะอีกด้วย ถึงขั้นมีคุณสมบัติพอจะเข้าไปใน ‘หอสะสมคัมภีร์ ’ แล้วเลือกคัมภีร์สำหรับการบำเพ็ญได้ด้วย หากจ้าวเทพหิมะเหินยินดี สร้างคุณูปการขึ้นมาบ้าง ก็จะสามารถแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ได้มากขึ้น”
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ใจเต้นขึ้นมา
หอสะสมคัมภีร์หรือ
การค้นคว้ากฎเกณฑ์ของโลกสักใบหนึ่ง ต้องทำเช่นไรจึงจะตรงไปตรงมาที่สุดกันเล่า
ก็ย่อมต้องเป็นการชมดูเคล็ดการบำเพ็ญของผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ อยู่แล้ว! ผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ ได้สรุปเส้นทางการบำเพ็ญออกมาแล้ว ขอเพียงมองดู การค้นคว้ากฎเกณฑ์โลกของตนก็จะง่ายดายขึ้นตั้งไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่าแล้ว
“มีคัมภีร์ของผู้เหินทะยานหรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
อวี้เฟิงชิงอินฟังแล้วก็ยิ้มอย่างได้ใจ ดวงตายิ้มเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว “คัมภีร์การบำเพ็ญของผู้เหินทะยานนั้นหายากยิ่งนัก แต่พวกเราสกุลจวิ้นซานอวี้เฟิงก็มีสะสมไว้หลายเล่มด้วยกัน”
“เช่นนั้นหิมะเหินก็คงต้องหน้าหนาแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างซาบซึ้งขึ้นมาทันที “ขอบคุณคุณหนูสามขอรับ”
“อย่าเพิ่งรีบดีใจจนเกินไป มิใช่ว่าผู้ใดก็มีคุณสมบัติพอจะรับตำแหน่งปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญได้หรอกนะ” พ่อบ้านอวิ๋นพูดเสียงเรียบ “เรื่องนี้ยังต้องให้นายท่านและนายน้อยเห็นด้วยเสียก่อน”
อวี้เฟิงชิงอินกลับพูดอย่างมั่นใจว่า “วางใจเถิด ท่านพ่อกับพี่ใหญ่จะต้องเห็นด้วยแน่”
พ่อบ้านอวิ๋นเห็นเข้าก็รู้สึกจนใจ
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม
เขาเพิ่งจะรู้จักกับคุณหนูสามผู้นี้เพียงเดือนเดียวเท่านั้น แต่เขาก็ยังสามารถสัมผัสได้ว่าคุณหนูสามผู้นี้จิตใจดีอย่างแท้จริง เพราะทำดีกับตน จึงตั้งใจคิดแทนตนด้วย มิน่าเล่า ก่อนหน้านี้พ่อบ้านอวิ๋นจึงได้ขู่ตนว่า ‘อย่าได้วางแผนร้ายกับคุณหนูสาม’
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าเพิ่งจะมาถึงโลกใบนี้ และได้รับบุญคุณจากคุณหนูสามผู้นี้ไม่น้อย จากวันนี้ไป มีแต่ต้องหาโอกาสตอบแทนเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ ถึงอย่างไรตนก็วางแผนจะอยู่ในเมืองจวิ้นซานสักช่วงหนึ่ง! เพราะถึงอย่างไร ขอเพียงเป็นสถานที่ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นที่ใดในโลกใบนี้ ตนก็ล้วนสามารถค้นคว้ากฎเกณฑ์โลกได้ทั้งสิ้น
……
บนเรือใหญ่ลำนี้ มีแม่ทัพ พลทหาร ทหารคุ้มกันและบ่าวรับใช้รวมหลายร้อยคน
ผลสำเร็จของตงป๋อเสวี่ยอิงทางด้านวิถีเขตลวงโลกเทียมก็นับว่าได้เพิ่มพูน ‘เสน่ห์’ ของตนด้วย ทำให้ผู้อื่นรู้สึกดีกับตนมากขึ้นเป็นกอง แต่ว่าเนื่องจากมิอาจทำอย่างโจ่งแจ้งเกินไปได้ และปณิธานของผู้แกร่งกล้าบางคนก็ไม่สามารถสั่นคลอนได้ง่ายๆ จึงยังคงมีหลายคนที่มิได้รู้สึกดีกับตนสักเท่าใดนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีทหารคุ้มกันผู้หนึ่งถึงกับเรียกได้ว่า ‘เดียดฉันท์’ ตน
ทหารคุ้มกันผู้นี้มีนามว่า ‘เถี่ยเฉิงหลิ่ว’
เถี่ยเฉิงหลิ่วมีร่างกายสูงใหญ่ เพียงแต่นัยน์ตาเย็นชา แม้แต่ในกองกำลังทหารคุ้มกันก็ได้รับความนิยมกลางๆ สายตาของเขาที่มองตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นเยียบเย็นดุจน้ำแข็งและออกจะรำคาญอยู่บ้าง ด้วยความไวสัมผัสด้านวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิง จึงสามารถสัมผัสได้ถึง ‘ความเกลียดชัง’
“คนอย่างข้าที่เพิ่งมาถึงโลกใบนี้ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยพานพบเขามาก่อน เหตุใดเขาจึงเดียดฉันท์ข้าถึงเพียงนี้กันหนอ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอึดอัดด้วยความไม่เข้าใจ
ทว่าเขาก็ไม่ใส่ใจ
ก็แค่ทหารคุ้มกันคนเดียวเท่านั้น พลังก็เป็นแค่แม่ทัพเทพระดับยอด ห่างจากจ้าวเทพอยู่ด้วยเส้นบางๆ เส้นหนึ่ง แต่เส้นนี้กลับเหมือนฟ้ากับเหว พลังก็แตกต่างกันเป็นอย่างมาก
“ถึงแล้ว”
“ถึงเมืองจวิ้นซานแล้ว”
วันหนึ่ง บนเรือก็กึกก้องไปด้วยเสียงโห่ร้อง
คุณหนูสาม พ่อบ้านอวิ๋น แม่ทัพ พลทหารทั้งหลายซึ่งยืนอยู่ตรงหัวเรือ ไปจนถึงบ่าวรับใช้ทั้งปวงล้วนพากันเผยสีหน้ายินดีออกมา เพราะถึงอย่างไรระหว่างมุ่งหน้าไปท่ามกลางความรกร้าง พวกเขาแต่ละคนก็ล้วนมิกล้าประมาทหละหลวม
“เมืองจวิ้นซาน” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทอดสายตามองออกไปไกล นั่นคือตัวเมืองอันใหญ่โตแห่งหนึ่ง ทว่ามิได้ใหญ่โตมโหฬารจนน่าหวาดหวั่นเหมือนกับตัวเมืองของดินแดนจิตโลกา ตามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคะเนด้วยสายตา เมืองจวิ้นซานแห่งนี้ก็มีขอบเขตแค่ไม่กี่แสนลี้เท่านั้น
เพราะถึงอย่างไร กรวดหินดินทรายเหล่านั้นก็หนักอึ้งเสียจนเกินจริง
การจะสร้างตัวเมืองเช่นนี้ขึ้นมา ก็ยากไม่แพ้การสร้างนครหลวงรัฐเมฆทักษิณาเลย!
******
ผู้ที่ปกครองเมืองจวิ้นซานก็คือตระกูลอวี้เฟิงนี่นั่นเอง!
ในวันที่ไปถึงเมืองจวิ้นซาน ภายในโถงตำหนักแห่งหนึ่งในจวนตระกูลอวี้เฟิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงได้พบกับคุณชายใหญ่แห่งตระกูลอวี้เฟิง! ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าคือผู้สืบทอดคนต่อไปของตระกูลอวี้เฟิง…อวี้เฟิงเหลย!
“น้องสาม นี่คือผู้เหินทะยานที่เจ้าชมนักชมหนาหรือ” บุรุษร่างสูงใหญ่คนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาทั้งคู่มีสายฟ้าไหลเวียนอยู่ ท่าทางไม่ธรรมดา
“คารวะคุณชาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงคารวะเล็กน้อย
อวี้เฟิงเหลยเห็นเข้าก็หัวเราะเบาๆ เสียงหนึ่ง “ว่ากันว่าผู้เหินทะยานทะนงตนกันนัก ที่แท้แล้วก็ไม่ใช่ข่าวลวง อยู่ตรงหน้าข้ายังเป็นเช่นนี้อีก”
“เพราะถึงอย่างไรเมื่ออยู่ในมิติโลกล่าง ก็ล้วนแต่เคยเป็นอันดับหนึ่งของบ้านเกิดมาด้วยกันทั้งนั้น ก็ย่อมต้องมีความหยิ่งทระนงอยู่ในใจ” อวี้เฟิงชิงอินซึ่งอยู่ด้านข้างกลับพูดขึ้น “ว่ากันว่าผู้เหินทะยานบำเพ็ญในโลกเทพได้อย่างยากลำบาก โลกเทพ แต่จ้าวเทพหิมะเหิน กลับบรรลุถึงจ้าวเทพช่วงกลางแล้ว นี่ก็ไม่ง่ายเอามากๆ เลยทีเดียว”
อวี้เฟิงเหลยพยักหน้าเล็กน้อย “หาได้ยากนัก ในเมื่อน้องสาวข้าเอ่ยปากออกมาแล้ว จ้าวเทพหิมะเหิน นับแต่นี้ไป เจ้าก็รับตำแหน่งปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญแห่งจวนตระกูลอวี้เฟิง ควบคู่กันไปด้วยก็แล้วกัน ข้าจะจัดเตรียมที่พำนักดีๆ ในเมืองให้เจ้าสักแห่งด้วย”
“ขอบคุณคุณชายใหญ่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างนอบน้อม
……
ใช่แล้ว
เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณชายใหญ่อวี้เฟิงเหลย ตงป๋อเสวี่ยอิงได้พูดเพียงสองประโยคเท่านั้น ประโยคหนึ่งก็คือ ‘คารวะคุณชายใหญ่’ และอีกประโยคหนึ่งก็คือ ‘ขอบคุณคุณชายใหญ่’ จากนั้นก็ถูกจัดแจงให้จากไปเสียแล้ว เห็นได้ชัดว่าคุณชายใหญ่อวี้เฟิงเหลยผู้นั้นกระตือรือร้นอยากฟังเรื่อง ‘การออกเดินทาง’ ของน้องสาวในครั้งนี้เสียมากกว่า
จวนแห่งซึ่งกินพื้นที่ครึ่งลี้ สมบัติล้ำค่าที่มอบให้เขาก็มีถึงสองหีบใหญ่ด้วยกัน
“ท่านอาจารย์หิมะเหิน ของมาส่งครบหมดแล้ว พวกข้าขอตัวจากไปก่อนแล้วนะขอรับ”
“ขอบใจพวกเจ้ามาก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองส่งเหล่าทหารของตระกูลอวี้เฟิงจากไป เมื่อมองดูจวนแห่งนี้เขาก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
ที่นี่จะกลายเป็น ‘บ้าน’ ของตน ในโลกแห่งนี้อีกเป็นเวลานานระยะหนึ่งเลยทีเดียว
……
ดึกสงัดของวันที่สองหลังจากมาถึงเมืองจวิ้นซาน
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่ในห้องเงียบ ยามรัตติกาล ดวงจันทร์สีแดงหนึ่งดวงสีขาวเงินหนึ่งดวงกำลังลอยคว้างอยู่กลางท้องฟ้ายามราตรี แสงจันทร์สาดส่องลงมาทั่วลาน ดูแล้วเงียบสงัดนัก
“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
วิญญาณของเขาไวต่อสัมผัสเพียงใด
แววอาฆาตบีบเข้ามา!
“มีคนจะสังหารข้าหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เข้าใจ “ข้าเพิ่งมาถึงเมืองจวิ้นซานเป็นวันที่สองเท่านั้น ก็มีคนอยากจะสังหารข้าเสียแล้วหรือนี่”
…………………………………..