ตอนที่ 449 ฉันชอบคุณกับกลิ่นของคุณ
ณ บริษัท MBK ห้องทำงานของประธาน
ห้องทำงานขนาดใหญ่ถูกอบอวลเต็มไปด้วยความกดดัน ไม่กี่คนกำลังก้มหน้านิ่งเงียบต่อหน้าพนักงานระดับสูงของบริษัท โดยที่มีจี้ตงหมิงยืนอยู่ด้านซ้ายของโต๊ะทำงานอย่างนิ่งเงียบ
หลงจื๋อคลิกกดเม้าส์ดัง “แครกแครก” บนใบหน้าหล่อเหลาแฝงด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า และมีรอยเส้นเลือดแดงในดวงตาด้วย
เขาสวมชุดสูทสง่าผ่าเผยอย่างสูงส่ง แต่กลับมีสีหน้าขาวซีดไม่สมกับภาพลักษณ์ อีกทั้งยังมีท่าทางอ่อนเพลียด้วย
จี้ตงหมิงมองประเมิน จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “คุณชายรองครับ ทุกคนมากันครบแล้วครับ เริ่มประชุมกันเลยไหมครับ?”
หลงจื๋อจ้องมองเส้นผันแปรของตลาดหลักทรัพย์บนหน้าจอโน๊ตบุ๊คอย่างไม่ละสายตา พร้อมกับเผยสายตามืดครึ้ม ไม่นานเขาก็ปล่อยเม้าส์ออก
เขาวางมือทั้งสองข้างวางด้านข้างเก้าอี้ แล้วมองประเมินพนักงานระดับสูงของบริษัทรอบหนึ่ง ขณะเดียวกันสายตาเหนื่อยล้าก็เปลี่ยนเป็นขุ่นเคือง แต่เป็นสายตาอดกลั้นความขุ่นเคือง
“ทำไมไม่พูดกันล่ะ? ปกติตอนประชุม พวกคุณมีวิธีการจัดการหรอกหรอ? มีความสามารถเสนอแผนงานยอดเยี่ยม แล้วทำไมตอนนี้ไม่คุยแล้วล่ะ?” หลงจื๋อพยายามอดกลั้นความรู้สึกของตัวเอง พร้อมกวาดตามองทุกคน
แต่ในตอนนี้ต่อให้เขาโมโหจนระเบิดตึกพังพินาศก็ไม่มีประโยชน์!
พนักงานระดับสูงที่อยู่ด้านขวาสุดขยับริมฝีปากเล็กน้อย จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าจนปัญญาว่า “หากยึดตามสถานการณ์ตอนนี้แล้ว หากต้องการกอบกู้ราคาหุ้นกลับมา เกรงว่าทางบริษัทต้องเสียเงินทุนเป็นจำนวนมาก ถ้าหากประธานพูดเกลี้ยกล่อมคณะกรรมการบริหารได้….บางทีอาจจะเปลี่ยนแปลงทิศทางราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นได้”
เมื่อเขาพูดจบก็มีพนักงานระดับสูงคนอื่นพยักหน้าเล็กน้อย “หากต้องการทำให้ผู้เล่นหุ้นกลับมามีความมั่นใจเหมือนเดิม นี่ถือเป็นวิธีการที่ได้ผลที่สุดวิธีการหนึ่ง ด้วยความสามารถด้านการเงินของประธานแล้ว คงไม่สร้างความภาระมากขนาดนั้นหรอกครับ เพียงแต่เงินที่ลงทุน….ไม่สามารถเอากลับมาได้ และยังมีความเป็นไปไม่ได้มากด้วย”
เมื่อเขาพูดจบก็มีพนักงานระดับสูงคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “อันที่จริงก่อนที่บริษัทโม่ซื่อกรุ๊ปจะถูกซื้อ ราคาหุ้นก็มีการพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่คุณโม่ล่างคุนก็พยายามลงทุนกอบกู้สถานการณ์กลับมา แต่ผลลัพธ์กลับสร้างช่องโหว่ยิ่งใหญ่ขึ้น
หลังจากเขาพูดจบ ห้องทำงานก็กลับมาสู่สภาพนิ่งเงียบอีกครั้ง พนักงานระดับสูงไม่กี่คนถอนหายใจออกเล็กน้อย และมีบางคนกำลังมองสังเกตปฏิกิริยาของหลงจื๋อ
พวกเขามีอคติต่อความสามารถในการจัดการและบริหารของหลงจื๋ออยู่แล้ว และเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นก็ยิ่งทำให้เขาสูญเสียความมั่นใจไปร้อยเปอร์เซ็นต์เลย
หลงจื๋อพยายามอดกลั้นความรู้สึกไม่ให้ตัวเองระเบิดอารมณ์ในห้องประชุม เขาเผยสีหน้ากลุ้มใจชี้ตรงที่ผู้จัดการแผนกการเงินที่อยู่ตรงข้ามตัวเอง ในฐานะหัวหน้าแผนกสำคัญของบริษัท คนที่ทำงานแผนกการเงินย่อมมีน้ำหนักในการพูดและการวิเคราะห์
ผู้จัดการแผนกการเงินเงยหน้าขึ้น และเห็นชายหนุ่มวัยกลางคนมีสีหน้ากลุ้มใจ และมีรอยย่นลึกด้วย “ประธานครับ มีบางอย่างที่ผมไม่แน่ใจว่าควรพูดหรือเปล่า”
“เวลานี้แล้ว มีอะไรที่ไม่ควรพูดอีก ว่ามาเถอะ”
“ครับ” ผู้จัดการพยักหน้าเล็กน้อย และพูดว่า “ถ้าหากคุณชายใหญ่อยู่ เขาคงไม่ยินยอมให้บริษัทควักเงินมาอุดช่องโหว่แน่ครับ ถ้าหากไม่สามารถควบคุมต้นเหตุได้ ต่อให้เอาเงินลงทุนก็เท่ากับบินเข้ากองไฟเปล่าๆ ถึงแม้หากจะสามารถดับไฟชั่วคราวได้ แต่เมื่อกองไฟลุกไหม้อีกครั้งจะทำยังไงครับ?”
หลงจื๋อพูดขึ้นว่า “ผมรู้รูปแบบการทำงานของพี่ใหญ่ เขาเป็นคนตาต่อตาฟันต่อฟัน แล้วคุณมีความคิดเห็นยังไงหรอ?”
ผู้จัดการกวาดตามองพนักงานระดับสูงทั้งสองด้านด้วยสายตาระมัดระวัง และพูดขึ้นว่า “ผมหวังว่า คุณจะสามารถพูดเกลี้ยกล่อมคณะกรรมการบริหารได้ และให้คุณชายใหญ่กลับมา ปัญหาในตอนนี้ไม่เพียงมีโครงการใหญ่สามโครงการ แต่ยังมีปัญหากับผู้เล่นหุ้นจำนวนมากด้วย…..”
เขาจ้องมองหลงจื๋อ และไม่กล้าพูดต่อ
“คุณกำลังจะพูดว่า พวกเขาไม่มีความมั่นใจต่อผมหรอ?” หลงจื๋อพูดเสริมประชดประชันตัวเองขึ้น
“ผมไม่กล้าครับ”
จากนั้นบรรยากาศก็นิ่งเงียบ และกดดันมากยิ่งขึ้น เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์สำคัญแบบนี้ หลงเซียวคำสองพยางค์นี้กลายเป็นคำพูดต้องห้าม พวกเขาคาดเดาความขัดแย้งภายในตระกูลหลงไม่ออก แต่ท่าทางที่หลงถิงมีต่อลูกชายใหญ่ทำให้พวกเขารู้สึกผิดหวังมาก
หลงจื๋อส่ายมือ “ออกไปทั้งหมด ผมต้องการเวลาคิด”
“ทิศทางการวิพากษ์วิจารณ์ของสื่อมวลชนในตอนนี้เปลี่ยนจากโครงการเป็นเรื่องการสืบทอดของตระกูลหลงแล้ว ซึ่งสร้างผลกระทบต่อบริษัทอย่างรุนแรงมาก รบกวนคุณชายรองไตร่ตรองอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยนะครับ”
“คุณชายรอง หวังว่าคุณจะเห็นแก่ภาพรวมเป็นหลัก”
ความคิดเห็นที่พนักงานระดับสูงเสนออย่างกังวล ไม่ยากคาดเดา ล้วนเป็นคำพูดที่อัดอั้นในใจของพวกเขา
แต่หลงจื๋อถูกโต้แย้งหลายครั้งแล้ว ทุกครั้งที่เขาพูดถึงพี่ใหญ่ พ่อของเขาก็จะอารมณ์ขึ้นตลอด
“อืม ออกไปเถอะ”
หลังจากไล่พนักงานระดับสูงออก หลงจื๋อก็กำหมัดอย่างแน่น “ผู้ช่วยจี้ ผมไร้ประโยชน์จริงหรือเปล่า?”
จู่ๆเขาก็ซักถามอย่างกังวลใจขึ้น แต่เมื่อพูดจบเขาก็ยิ้มอย่างขืนข่ม และไม่รอจี้ตงหมิงตอบกลับ แต่เขากลับพูดขึ้นว่า “คุณไม่ต้องตอบหรอก ตอนนี้ผมคงเป็นตัวตลกของบริษัทไปแล้วใช่ไหม? ทุกคนล้วนรู้กันหมดแล้วว่า คุณชายรองตระกูลหลงเป็นขยะไร้ประโยชน์”
ตึง!
เขากำหมัดออกแรงทุบลงบนเก้าอี้ ขณะเดียวกันหลังมือก็เผยกระดูกสีขาวขึ้นอย่างชัดเจน แถมมีเส้นเลือดเขียวปูดขึ้นมาด้วย
จี้ตงหมิงพูดขึ้นว่า “คุณชายครับ คุณยังอายุน้อย ยังมีเวลาที่จะเรียนรู้อีกมาก การเติบโตต้องการเวลา และต้องการการฝึกฝน”
“ช่างเถอะ คุณไม่ต้องมาพูดปลอบใจผมเลย ร่างประกาศฉบับหนึ่งบอกกับแผนกการเงิน ให้ควักเงินสามสิบล้านลงตลาดหลักทรัพย์เพื่อประคับประคองให้ภาพรวมมั่นคงแล้วค่อยคุย ส่วนเรื่องพี่ใหญ่ ฉันจะปรึกษากับคณะกรรมการบริหารเอง แต่ปัญหาที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือ พวกเราไม่สามารถติดต่อพี่ใหญ่ได้เลย”
จี้ตงหมิงพยักหน้าเล็กน้อย “คุณชายรองครับ คนที่ควรปรากฏตัวมักจะปรากฏตัวตอนเวลาเหมาะสมครับ แต่ท่าทางของคณะกรรมการบริหารตอนนี้ ผมคิดว่า ประธานอย่าเพิ่งดีกว่าครับ”
หลงจื๋อค่อยๆเงยหน้ามองจี้ตงหมิงขึ้น จู่ๆเขาก็รู้สึกว่าคนๆนี้ยากที่จะคาดเดา เขามีความนิ่งที่คล้ายกับพี่ใหญ่ และยังสามารถควบคุมสติในตอนสถานการณ์คับขันด้วย
“ฉันรู้สึกอิจฉาพี่ใหญ่จริงๆที่มีคนคอยปกป้องและอุทิศตนเพื่อเขามากมายอยู่รอบข้าง”
จี้ตงหมิงพูดขึ้นว่า “คุณชายรองชมเกินไปแล้วครับ แต่คนที่ผมกำลังรับใช้ตอนนี้คือคุณ”
“เห่อเห่อ ฉันหรอ? รีบไปถ่ายทอดคำสั่งของฉันกับแผนกการเงินเถอะ”
“ครับ คุณชายรอง”
หลงจื๋อก้มหน้าลง และพูดขึ้นว่า “รับใช้ฉันหรอ? จนถึงตอนนี้ผู้ช่วยจี้ยังไม่เคยเรียกผมว่า ประธานเลยสักครั้ง”
จี้ตงหมิงหยุดฝีเท้าลง แต่ไม่ได้ตอบกลับ และรีบเดินจากไป
“ปล่อยฉัน! ฉันมาหาประธานของคุณ!”
ทันใดนั้นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังลั่นทำลายความเงียบที่ระเบียง จี้ตงหมิงหันหน้ามอง และเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังมีปากเสียงกับเลขาอยู่
“คุณหมอหลินหรอ?”
จี้ตงหมิงหันหลังเดินเข้าไป และพบว่าเป็นหลินซีเหวินจริงๆ “คุณหมอหลิน ทำไมถึงมาที่นี่ครับ?”
หลินซีเหวินผลักเลขาออก และพูดกับจี้ตงหมิงว่า “อ๋อ คุณนี่เอง ฉันมาหาประธานคนปัจจุบันของคุณ แล้วเขาล่ะ?”
เชิญคุณหมอหลินทางนี้ครับ”
“ค่ะ!”
หลินซีเหวินเปิดประตูห้องทำงานของหลงจื๋อ ขณะเดียวกันก็มีเลขาไม่กี่คนเดินเข้ามาถามจี้ตงหมิงว่า “ผู้ช่วยจี้ ผู้หญิงบ้าคนนี้คือใครหรอ?”
“เธอหรอ? จำเพียงว่าพวกคุณไม่ควรหาเรื่องด้วยก็พอแล้ว”
หลินซีเหวินเดินเข้าไปพลาง พร้อมด่าทอพลางว่า “หลงจื๋อ! นายออกมาเดียวนี้!”
เสียงที่ดังขึ้นมากะทันหัน ทำให้หลงจื๋อดึงสติกลับมา เขาหันหน้ามองและพูดว่า “คุณมาที่นี่ได้ยังไง?”
หลินซีเหวินดึงเสื้อคลุมที่พาดไหล่ทิ้งลงบนโซฟา แล้วเดินเข้ามาวางมือทั้งสองข้างบนโต๊ะทำงาน โดยที่ตรงข้ามมีหลงจื๋อนั่งเก้าอี้อยู่ “แล้วคุณคิดว่าฉันมาทำไมหรอ? เรื่องที่ตัวเองทำลืมเร็วขนาดนี้เลยหรอ? ทำไมจู่ๆถึงถอนจากโครงการเพื่อสังคมของโรงพยาบาลหวาเซี่ยด้วย?”
ตอนนี้หลงจื๋อรู้สึกมึนงง เมื่อถูกเธอซักถามแบบนี้ “โครงการอะไร? ผมไม่รู้”
“เหลวไหล! ลายเซ็นของนายกำกับบนหนังสือขนาดนี้ นายยังไม่รู้อีกหรอ?”
หลงจื๋อขมวดคิ้ว “สมควรตาย! เรื่องนี้เดียวผมค่อยกลับไปอธิบาย คุณนั่งลงก่อน!”
หลินซีเหวินอารมณ์ร้อนมาก จนแทบไม่สามารถมอดดับลง เธอเงยหน้ามองตาหลงจื๋อ จากนั้นก็มีบางอย่างทำให้เธอรู้สึกเห็นใจขึ้น “ทำไม…ดวงตาของคุณเป็นแบบนี้?”
หลงจื๋อยกมือขยี้ตาเล็กน้อย แล้วหัวเราะ “ผมใส่คอนแทคเลนส์”
“โกหก! ช่วงนี้คุณไม่ได้พักผ่อนเลยหรอ?” หลินซีเหวินเริ่มใจเย็นลง และลูบบนใบหน้าของเขาอย่างเอ็นดู “ทำไม….คุณดูผอมลงมากล่ะ? ไม่มีแก้มเลย”
หลงจื๋อกุมมือเธอไว้ แล้วหัวเราะหยอกเธอ “ผอมสิดี ถือว่าลดน้ำหนักสำเร็จ”
“คนบ้า! หยุดโกหกฉันได้แล้ว ข่าวของบริษัท MBK ตอนนี้ถ่ายทอดทั่วโลกหมดแล้ว คุณนึกว่าฉันไม่รู้หรอ?” หลินซีเหวินด่าจบก็กัดฟันด่าตัวเองในใจเล็กน้อย
บ้าจริงเรา!
เขาเป็นถึงขนาดนี้แล้ว แต่เธอกลับมาเขาเพียงเพราะเรื่องโครงการของโรงพยาบาลหรอ เอาสมองไปป้อนหมากินหมดแล้วหรอ?
หลงจื๋อเดินอ้อมออกมาจากโต๊ะทำงาน แล้วเดินเข้ามาโอบกอดหลินซีเหวินอย่างแน่น ความกลุ้มใจ เหนื่อยล้า โศกเศร้าของไม่กี่วันมานี้ ในที่สุดก็ถูกปลดปล่อยออกมาสักที พร้อมกับปล่อยเนื้อปล่อยตัวผ่อนคลายลง
หลินซีเหวินนิ่งอึ้ง “นี่….นาย….”
หลงจื๋อหลับตาลง และวางคางลงบนบ่าของเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ให้ผมกอดคุณสักพักนะครับ ผมรู้สึกเหนื่อย”
หลินซีเหวินรู้สึกหนักอึ้ง เพราะต้องแบกรับน้ำหนักของเขา เธอโอบกอดเขาอย่างแข็งทื่อ พร้อมโน้มตัวใกล้ชิดเขา “นาย…โอเคไหม?”
หลงจื๋อพูดว่าอืม แล้วสูบลมหายใจลึกๆขึ้น จนได้กลิ่นหอมจากเส้นผมของเธอ “บนตัวของคุณเป็นกลิ่นอะไรหรอ? หอมจัง”
หลินซีเหวินอมยิ้ม และโอบกอดเขาอย่างแน่น “กลิ่นส้มโอ”
“ขนาดผลไม้ยังมาทำเป็นน้ำหอมหรอ”
เมื่อหลินซีเหวินได้ยินน้ำเสียงของเขาก็รู้สึกแสบจมูก “พี่สาวของฉันชอบ ไม่ได้หรอ?”
“ได้สิครับ คุณชอบก็พอแล้ว ชอบอะไรก็มาทำเป็นน้ำหอม ดีออก” เขาสูบลมหายใจเข้าลึกๆ
พวกเขาไม่ได้เจอหน้ากันยี่สิบวันแล้ว เพราะมีเรื่องที่บริษัท ทุกวันหลงจื๋อเดินทางเพียงบ้านกับบริษัท อีกอย่างด้วยงานที่ยุ่งและความเครียดสะสมทำให้เขาลืมเธอไปแล้ว
แต่วินาทีที่เธอปรากฏตัวต่อหน้าเขา เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองหัวใจเต้นแรง และเขาชอบเธอมากกว่าที่ตัวเองคาดคิดเสียอีก
“คุณชายรอง คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม? คุณพูดสิ อย่าเงียบ รู้ไหมว่าทำให้ฉันตกใจ” หลินซีเหวินซบใบหน้าลงบนหน้าอกของเขา และฟังเสียงหัวใจเต้นของเขาด้วย
ขณะเดียวกันหัวใจของเธอก็เต้นแรงด้วย
หลงจื๋อลูบเส้นผมของเธอ “ผมกำลังคิดอยู่เรื่องหนึ่ง ผมจะทำยังไงถึงสามารถเอากลิ่นที่ชอบมาไว้บนตัวได้?”
“ห่ะ? คุณชอบกลิ่นอะไรหรอ? เดียวฉันซื้อมาฝาก”
“ผมชอบคุณ”