ตอนที่ 471 คุณจะเรียกชื่อของฉันโดยตรงได้ยังไง
ลั่วหานถูกเขาถาม ก็ไม่ได้มีความคิดที่จะเข้าใจชัดเจนในทันที แต่หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเขาก็เข้าใจ ที่แท้หลงจื๋อกำลังสงสัยในตัวของหลินซีเหวินแล้ว
ถึงแม้จังหวะจะช้ากว่า แต่โดยทั่วไปก็รับรู้ได้ว่า ยังไม่นับว่าโง่เกินไป
ที่สำคัญคือหลินซีเหวินเสี่ยงเกินไป ล้วนใช้แผนการทุกอย่างเพื่อปกปิดฐานะทางสังคม ไม่รู้จริงๆว่าถ้าไม่เปิดเผยฐานะทางสังคมของเธออีก หลินซีเหวินจะต้องใช้เล่ห์เพทุบายที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกอีกมากน้อยแค่ไหน
ลั่วหานไม่ได้คิดที่จะหักหลังหลินซีเหวิน แต่กล่าวถามกลับว่า “โอ้? แฟนของคุณเอง คุณมาถามฉันทำไมล่ะ?”
พระจันทร์เสี้ยวลอยอยู่เหนือพวกเขา พร้อมกับการเคลื่อนที่และขยับเขยื้อนของรถ ในรถเงียบสงัดมาก บรรยากาศทั้งหมดล้วนทำให้คนรู้สึกสบายใจ
แต่ทว่าหลงจื๋อไม่สบายใจเลยสักนิด “อย่าปิดบังฉัน ฉันรู้ความจริงแล้ว อันที่จริงฉันก็เคยสงสัยในฐานะของเธอ เพียงแต่รู้สึกว่ามันไร้สาระเกินไปเลยไม่กล้าไปขุดค้นทางด้านนั้น ภายหลังเรื่องที่เกิดขึ้นฉันคิดว่ามันบังเอิญเกินไป ความบังเอิญด้วยกันหลายครั้งขนาดนี้ ก็คงไม่ใช่ความบังเอิญแล้วล่ะ”
ฟังที่หลงจื๋อวิเคราะห์ ลั่วหานก็พยักหน้า “โอ้? เพราะฉะนั้นล่ะ? บอกข้อสรุปของคุณหน่อย”
หลงจื๋อขมวดคิ้ว หลังจากถูกหยอกล้อเหมือนกับตัวตลกคนนึงก็รู้สึกจนมุมไปซะทุกอย่าง “ฉันเคยตรวจสอบแล้ว หลินซีเหวินเป็นลูกสาวคนเดียวของตระกูลหลิน ตระกูลหลินที่ทำธุรกิจเครื่องลายครามใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง พวกคุณต่างก็ทำเหมือนฉันเป็นคนโง่ แต่ฉันไม่ได้ตาบอด แล้วก็ไม่ได้โง่ เธอคือลูกสาวคนโตของตระกูลหลินโดยแท้จริง”
พูดจบ หลงจื๋อก็หันหน้ากลับมามองลั่วหานอย่างรวดเร็ว เบะปาก ความหมายคือ ฉันฉลาดมาโดยตลอด!
ลั่วหานยิ้มมุมปาก โอบกระเป๋าแล้วเอนพิงที่พนักพิงของเบาะ “คุณ…….เพียงแค่ มีศักยภาพที่จะทำการติดตามสืบ ดูไม่ออกเลย ว่ามันดูฉลาด แต่ว่า คุณรู้ตั้งแต่เมื่อไร?”
“หลายวันแล้ว ฉันกำลังสงสัย ยืนยันเป็นทางการคือก่อนหน้านี้อาทิตย์นึง”
หลินซีเหวินยังจงใจเช่าบ้านเพื่อปิดบังฐานะทางสังคม แท้จริงก็คล้ายกับว่าคนอื่นจะเห็นได้ชัดเจนตั้งนานแล้ว หมอหลินผู้น่าสงสาร ถ้าพรุ่งนี้ได้ทราบความเป็นจริง จะกระอักเลือดออกมาไหมนะ?
ลั่วหานตรงไปตรงมาแล้วก็ไม่ปิดบังอีก กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ใช่แล้ว เธอก็คือลูกสาวคนเดียวของตระกูลหลิน ดังนั้นล่ะ? คุณคงไม่เลิกกับเธอเพราะเรื่องนี้หรอกใช่ไหม? คุณไม่ต้องมาพูดกับฉันให้มากมาย เนื่องด้วยฐานะทางสังคมที่แตกต่างคุณก็เลยต้องการที่จะเลิก พี่สะใภ้จะต้องด่าสาปแช่งคุณตายแน่!”
หลงจื๋อหัวเราะ “พี่สะใภ้คาดไม่ถึงว่าคุณจะรุนแรงป่าเถื่อน น่ากลัวมากเลยจริงๆ ฉันไม่ได้คิดวางแผนที่จะเลิก เพียงแค่ตอนนี้รู้ฐานะของเธอแล้ว ฉันอยู่กับความกดดันมากมาย เรื่องน่าเศร้านะ จู่ๆฉันก็ไม่คู่ควรกับเธอ หลังจากนี้ไปก็ยิ่งไม่คู่ควร!”
“เอาเถอะ แต่คุณเป็นถึงคุณชายรองของตระกูลหลง ไม่มีเด็กผู้หญิงคนไหนในเมืองหลวงที่คุณไม่คู่ควร สบายใจได้ อะไรก็ไม่ต้องไปคิด”
สายตาของหลงจื๋อมองไปข้างหน้าตามปกติ ไม่ได้ตอบกลับ คุณชายรองของตระกูลหลง ใครจะไปรู้ว่าเขายังเป็นคุณชายรองไปได้นานสักแค่ไหน?
ลั่วหานกลับถึงบ้าน รู้สึกเหนื่อยล้าหลับไปจนแสงอาทิตย์สว่างจ้า
วันต่อมา เก้าโมงกว่าช่วงเช้า
ลั่วหานสวมเสื้อผ้า ขับรถไปสถานีตำรวจเองเพื่อไปรับหยวนชูเฟิน วันนี้จะไปศูนย์ตรวจสุขภาพให้เธอทำการตรวจร่างกายทั้งหมด ลั่วหานจำเป็นต้องร่วมเดินทางไปด้วยตลอด
หยวนชูเฟินขึ้นนั่งบนรถ ก่อนตรวจร่างกายไม่สามารถทานข้าวได้ เช้าขึ้นมาน้ำสักอึกเธอก็ไม่ได้ดื่ม นั่งบนรถก็จับหน้าผากปิดตาพักผ่อน เหน็ดเหนื่อยเป็นทุกข์มาหลายวันติดต่อกัน สีหน้าของเธอไม่สู้ดีนัก มุมตาสามารถมองเห็นได้ถึงรอยตีนกาถี่ยิบ
ถึงอย่างไรก็เป็นผู้หญิงที่อายุห้าสิบกว่าปีแล้ว ความแก่ชราล้วนเป็นชะตากรรมที่ทุกคนจนปัญญาที่จะหลีกเลี่ยง ลั่วหานมองเธอหลับตาพักผ่อน ในใจก็เป็นทุกข์
“แม่ คุณรู้สึกยังไงบ้าง? ไม่สบายตรงไหนไหม?”
หยวนชูเฟินตอบอืมมาคำนึง “ไม่เป็นไร ไม่ทานข้าวตอนเช้ามึนหัวนิดหน่อย สาเหตุคงเพราะน้ำตาลในเลือดต่ำ ไม่เป็นไร คุณขับรถเถอะ”
หยวนชูเฟินน้ำตาลในเลือดต่ำ?
น้ำตาลในเลือดต่ำข้อห้ามที่สุดคือการไม่ทานข้าวเช้า อาการเบาๆคือเวียนหัวตาลายไม่มีแรง อาการหนักคือเป็นลม ดูท่าทางหยวนชูเฟินแล้ว กลัวเพียงว่าเธอจะน้ำตาลในเลือดต่ำไม่เบา
“โอเค พวกเราจะพยายามตรวจทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ตรวจเสร็จหมดแล้วก็สามารถทานข้าวได้” ลั่วหานเริ่มเคลื่อนรถ หันหัวรถอย่างว่องไว พาหยวนชูเฟินขับขี่ออกไปด้วยความปลอดภัย
และขณะนี้ ในสำนักงานสถานีตำรวจ
เจิ้งซิ่วหยากำลังพิงหน้าต่างมองอยู่ ในมือถือแก้วกาแฟแก้วนึง “โจวจั่น คุณมานี่สิ”
โจวจั่นรีบวางเอกสารลงแล้วเดินเข้าไป กล่าวยิ้มคล้ายกับคนรับใช้ว่า “รองหัวหน้า มีคำสั่งอะไรครับ?”
เจิ้งซิ่วหยาตบไปบนหัวของเธอ “รองหัวหน้าอะไร! พี่คนที่สองของฉันหรอ?”
“ใช่ๆๆ คุณไม่ใช่รอง คุณฉลาดที่สุดแล้ว ตำรวจนางฟ้าที่ฉลาด แล้วยังไง? เห็นคุณนายหลงนางฟ้าองค์สูงสุด แล้วรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจหรอ? เหอะๆๆ……ไม่ต้องคิดแบบนั้นหรอก พวกคุณทั้งสองแต่ละคนก็ต่างมีดีกันไปคนละอย่าง”
“ผัวะ!” ครั้งนี้เจิ้งซิ่วหยาใช้กำปั้นทุบลงไปบนหัวของเขาแรงกว่าเดิม “เชี่ย! ใช้ชีวิตมายี่สิบกว่าปีแล้ว ยังไม่เรียนรู้คำพูดคำจาอีก! กวนตีน!”
โจวจั่นถูกเธอทุบจนมึน ปกปิดพลางคลึงๆที่หัว “พี่ใหญ่ ตกลงคุณจะพูดว่าอะไร ไม่ต้องครุ่นคิด ครุ่นคิดต่อไปละก็หัวฉันต้องแตกละเอียดเป็นแน่”
เจิ้งซิ่วหยาดื่มกาแฟขมอึกใหญ่ด้วยความรู้สึกที่หนักใจ “คดีของหยวนชูเฟิน เบื้องบนสั่งให้พวกเราตรวจสอบใหม่อีกครั้ง เหมาะไหม?
โจวจั่นขยี้หัวด้วยความน้อยใจ “คนทั้งโลกต่างก็รู้ว่า ชุดสืบสวนพิเศษทั้งหมดต่างก็คิดหาวิธีค้นหาพยานหลักฐานอยู่ พี่ให้คุณตอบสนองช้าเกินไปหรือเปล่า?”
เจิ้งซิ่วหยาเบะๆปาก สายตามองไปยังก้อนเมฆสีขาวบนท้องฟ้าที่อยู่ไกลๆ “ฉันคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเรื่องทั้งหมด แต่ฉันก็พูดไม่ออกว่าสิ่งไหนไม่ปกติ หยวนชูเฟินไม่ได้พูดความจริง หรือเธอก็พูดความจริงเพียงแค่บางส่วน ยังมีส้งชิงเซวี๋ยน เขาก็คล้ายกับว่ากำลังปิดบังอะไร สิ่งที่พวกเขาปิดบังอาจจะเป็นส่วนที่สำคัญอย่างมากของเรื่องนี้”
เจิ้งซิ่วหยาเคาะนิ้วลงบนแก้วกาแฟกระดาษ คิดแล้วคิดอีก “ระดมสมองของคุณสิ คิดๆให้ดีๆ ว่าความจริงแบบไหนกันที่ทำให้ผู้หญิงคนนึงยินดีที่จะยอมตายเพื่อปกป้อง?”
โจวจั่นคิดๆดู “อ้อ……โดยทั่วไปแล้ว ข่าวอื้อฉาวเรื่องนามสกุลเป็นสิ่งที่คุณนายเศรษฐีต้องการที่จะปิดบังมากที่สุด เรื่องเหล่านี้จะต้องถูกขุดคุ้ยออกมาสักวันนึง บุคคลที่เกี่ยวข้องก็จะต้องเสียหน้า ยังอาจถูกวงศ์ตระกูลขับไล่ออกจากบ้าน อีกในบ้านก็จะต้องอับอายตามไปด้วย”
เจิ้งซิ่วหยาพยักหน้า “นี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น แล้วอีกล่ะ?”
โจวจั่นคิดแล้วคิดอีก “แล้วก็……อาจจะยักยอกทรัพย์สมบัติ?”
“สมองโง่ๆกลวงๆ ทรัพย์สมบัติมากแค่ไหนถึงจะคุ้มที่จะเอาชีวิตมาเดิมพัน ชื่อเสียงไม่มีแล้ว เงินจะไปมีประโยชน์อะไร?” เจิ้งซิ่วหยาเคาะหัวเขาเป็นครั้งที่สาม
โจวจั่นถูกเธอแยกเขี้ยวยิงฟันแล้วเคาะ “พี่ใหญ่! เดิมทีฉันก็ไม่ค่อยฉลาด คุณพูดมาตรงๆเถอะ ยังมีอะไรที่เป็นไปได้อีก”
เจิ้งซิ่วหยาครุ่นคิดเล็กน้อย คิดๆแล้วก็ส่ายหัว “บางทีอาจจะเป็นลูก……ที่ทำให้แม่คนนึงยินยอมที่จะสละชีวิตเพื่อคุ้มครอง นอกเสียจากตัวของเธอก็คือลูกของตนเองนั่นแหละ หยวนชูเฟินมีหลงเซียวเป็นลูกชายเพียงคนเดียว คุณบอกซิว่าเธอคิดที่จะใช้ชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องหลงเซียวหรือเปล่า?”
“ฟู่!!” (เสียงเป่าปาก)
โจวจั่นแสดงสีหน้ากระอักเลือด “พี่ใหญ่ คุณคิดอะไรพิสดารมากเกินไปแล้ว! หลงเซียว? พระเจ้าช่วย หลงเซียวดำรงชีวิตอยู่เหมือนเทพเจ้าจริงๆ เขาต้องการให้แม่ยอมเสียทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปกป้องหรอ?”
เจิ้งซิ่วหยาถอนหายใจ “ฉันพูดไม่ออก แต่มีลางสังหรณ์ว่าคืออย่างนี้ เอาล่ะ ไปหาพยานหลักฐานเถอะ ฉันจะติดต่อกับส้งชิงเซวี๋ยนอีกสักเล็กน้อย ตาเฒ่าเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวมากเกินไป ฉันต้องคิดๆหาวิธี”
“รับทราบ! ขอตัวก่อน!”
——
หนึ่งวันต่อมา เมืองเจียงเฉิง ห้องชุดประธานาธิบดีชั้นบนสุด
หลงเซียวสวมใส่เสื้อผ้าทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ยืนจัดระเบียบเนคไทอยู่ที่หน้ากระจก หวังเจี้ยนยืนอยู่เยื้องด้านหลังของเขา ภายในห้องชุดเงียบมาก งดงามมาก ช่อดอกไม้สดส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ
หวังเจี้ยนแหงนมองแล้วคำนับจากภาพด้านหลังของหลงเซียว กล่าวกระซิบอย่างยิ้มๆว่า “ท่านประธาน วันนี้คุณไปเอาหนังสือมอบอำนาจ จะต้องได้เผชิญหน้ากับเจิ้งเฉิงหลินอย่างแน่นอน คุณเตรียมทำอะไรกับเขา?”
หลงเซียวผูกเนคไทแล้ว ภาพเงาของบุคคลที่สูงใหญ่ก็เดินตรงไปยังประตูทางออก หวังเจี้ยนก็ตาไวมือไวรีบไปเปิดประตู
“เขา? จัดการเขาตอนนี้ไม่จำเป็นต้องใช้สมองคิดหาวิธีหรอก”
“ครับ ท่านประธานคุณวางแผนการรบ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณอย่างแน่นอน! เหอะๆ” หวังเจี้ยนเปลี่ยนเป็นสุนัขรับใช้ในหนึ่งนาที ประจบสอพลอหลงเซียวทันที
หลงเซียวขมวดคิ้ว “หวังเจี้ยน ติดตามอยู่เคียงข้างฉัน คุณก็รู้ชัดเจนในกฎเกณฑ์ของฉันดีที่สุด ฉันไม่ชอบคำพูดประจบสอพลอ แล้วก็ พูดให้น้อยทำให้มากหากไม่มีคุณก็ไม่มีผลเสีย”
หวังเจี้ยนรีบทำเอวตั้งตรง “ครับ!”
เดิมทีก็อยากจะพูดคำที่น่าฟังอยู่หลายคำเพื่อทำให้ท่านประธานมีความสุขสักเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าท่านประธานที่เคร่งขรึมจะไม่ชอบกิริยาท่าทางนี้ เอาเถอะ ที่หลังเขาจะต้องควบคุมปากของตนเองให้ดี
คนทั้งสองเดินออกจากห้องโถงใหญ่โรงแรม หลงยี่และผู้บริหารระดับสูงหลายคนของบริษัทยืนอยู่ด้านนอกด้วยความเคารพนบนอบ หลงยี่กล่าวนำอย่างหัวเราะเอิ๊กอ๊ากว่า “หลงเซียว พวกเราไปด้วยกันกับคุณนะ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ สามัคคีคือพลัง ดูๆแล้วตาแก่เจิ้งเฉิงหลินก็โกหกปลิ้นปล้อนอีกคน”
ริมฝีปากของหลงเซียวร้องเชอะอย่างเหยียดหยาม “ผู้จัดการหลง ทหารชั้นสูงที่เรียกได้ว่ามีไม่มาก คุณคิดว่าคุณหานักแสดงมวลชนจำนวนหลายคนมาแล้วจะทำให้ใจกล้ามากขึ้นงั้นหรอ?
กลุ่มนักแสดง? คนเหล่านี้ล้วนคือผู้นำของบริษัทนะ เพื่อหลีกเลี่ยงการอึดอัดวางตัวไม่ถูก เขาจึงจงใจเรียกพวกเขามา ใครจะรู้คาดไม่ถึงว่าหลงเซียวจะไม่ไว้หน้าพวกเขา
หลงยี่สีหน้าหม่นหมอง ฝืนยิ้มอย่างมาก “หลงเซียว คุณพูดแบบนี้ไม่ได้นะ นี่ล้วนคือกระดูกสันหลังของMBK มีเรื่องใหญ่ไปด้วยกันก็จะต้องดีกว่า”
หลงเซียวยกเปลือกตาขึ้น แสงอันเยือกเย็นไม่แต่งแต้มด้วยสี “ผู้จัดการหลงวันนี้คือคุณจะออกไปเที่ยวเป็นกลุ่ม? ร่วมรับประทานอาหาร? หรือว่าอยากจะไปปะทะด้วยกันกับคณะกรรมการเทศบาล?”
“ฉัน……ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนี้”
“ในเมื่อไม่ใช่ความหมายนี้ ก็กลับไปทำหน้าที่ของตนเองให้ดี ถ้าฉันจำไม่ผิด ที่ประชุมเมื่อวานฉันได้พูดกับทุกท่านไปแล้ว ฉันต้องการเห็นแผนการดำเนินงานโครงการใหม่ทั้งหมดของพวกคุณภายในหนึ่งวัน จำไว้ว่า หนึ่งวัน”
หลงเซียวพูดจบ คนทั้งหลายต่างก็มองหน้ากันลนลาน พวกเขาได้ฟังข่าวที่หลงยี่พูดคือ วันนี้ไปรับใบอนุญาตคณะกรรมการเทศบาล ทุกคนล้วนคือบุคคลที่ได้สร้างคุณูปการให้แก่MBK ทำไมมาถึงแล้วท่านประธานเปลี่ยนแปลงในนี้ไปหมดแล้วล่ะ?
“ครับ ครับ พวกเราจะกลับไปเดี๋ยวนี้!”
หลงยี่พูดอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “หลงเซียว คุณดูคุณสิ…..นี่คือทำอะไร ฉันเสียหน้าหมดแล้วนะ”
หลงเซียวขึ้นรถ กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ผู้จัดการหลง ฉันคือผู้บังคับบัญชาของคุณ เรียกชื่อของฉันมันไม่เหมาะสม ต่อไปนี้เรียกฉันว่าท่านประธาน”
หวังเจี้ยนปิดประตู อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างไม่รู้ตัว “ผู้จัดการ เชิญกลับไปเถอะ อย่าขวางทาง”
“คุณ……”
นับตั้งแต่ หลงยี่ดำรงตำแหน่งที่สำนักงานสาขาก็ถูกหลงเซียวลากลงมาโดยสิ้นเชิง ถือได้ว่าเขาหมดหวังในMBKอย่างสมบูรณ์!
รถยนต์ขับออกจากโรงแรม หลงเซียวมองท่าทีที่กระทืบเท้าด้วยความโกรธของหลงยี่ผ่านกระจก ร้องเชอะเบาๆ
และขณะนี้ โทรศัพท์หลงเซียวก็ดังขึ้น
จี้ตงหมิงโทรเข้ามา
หลงเซียวหยิบมือถือขึ้นมา “เมืองหลวงเกิดอะไรขึ้น?”
ขณะนี้จี้ตงหมิงบัญชาการอยู่ที่สำนักงานใหญ่ เหตุการณ์เล็กๆน้อยๆไม่ว่าอะไรก็ตามล้วนอยู่ในการควบคุมของหลงเซียว
แต่ครั้งนี้ เป็นข้อยกเว้น
จี้ตงหมิงกล่าวอย่างเป็นกังวลเล็กน้อยว่า “ไม่ใช่เรื่องของบริษัท คือ……เจ้านาย ดูเหมือนว่าคุณนายจะเกิดเรื่องแล้ว”
แม่?
สายตาที่เย็นชาของหลงเซียวหดกลับเข้าทันที “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”