แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
ตอนที่ 652 คุณหมอฉู่แอบร้าย
เจิ้งซิ่วหยาท่องคำปฏิญาณตนออกมา และทำให้เฉินเจาและโจวจั่นรู้สึกตกตะลึงไปไม่น้อย ทั้งสองคนจ้องมองไปยังตำรวจหญิงคนที่อยู่ตรงหน้านี้
“คุณ……” หลังจากตะลึงอยู่ชั่วครู่ เฉินเจาพูดออกมาได้เพียงแค่คำเดียว
เจิ้งซิ่วหยามองไปทางเขาและรอว่าเขาจะพูดอะไรต่อไป แต่สุดท้ายเฉินเจาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
โจวจั่นส่ายหัวแล้วพูดอย่างระมัดระวังว่า “หัวหน้าครับ อย่าเพิ่งรีบใจร้อนไป ขบวนการค้ามนุษย์นี้เป็นพวกไร้จิตใจ การที่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยไม่ใช่วิธีที่ดีนัก”
เจิ้งซิ่วหยาตอบกลับมาว่า “ทางนี้ฉันเลือกเดินเอง ต่อให้ล้มลุกคลุกคลานยังไงก็ต้องเดินไปให้ถึงจุดหมาย อีกทั้งการที่พวกเราเข้ามาในที่แห่งนี้สวมเครื่องแบบนี้ ไม่ว่าเพศหญิงเพศชายก็ล้วนเท่าเทียมกัน ฉันตัดสินใจแล้ว ขอหัวหน้าอนุมัติให้ฉันด้วย”
เฉินเจาหยิบบุหรี่ขึ้นมาตัวหนึ่งแล้วทำการจุดไฟขึ้น ควันไฟลอยเข้ามาเตะจมูก เขาคิดอยู่เนิ่นนาน ปล่อยให้อีกสองคนยืนรอด้วยความเงียบสงบ
บรรยากาศค่อนข้างอึดอัดในตอนนี้ ในอากาศคล้ายกับมีบางสิ่งบางอย่างลอยอยู่ บางเบาเหมือนขนห่าน ให้ความรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
เฉินเจาสูบบุหรี่เข้าไปแล้วพ่นควันออกมา เขาทำอยู่อย่างนี้ถึงสามครั้ง
หัวใจของโจวจั่นแทบจะพุ่งออกมาด้านนอก เขาวิ่งจับผู้ร้ายตอนกลางคืนยังไม่ตื่นเต้นเท่ากับตอนนี้ เขาแอบมองไปทางเจิ้งซิ่วหยาอย่างระมัดระวัง แววตาของเธอนิ่งเรียบเยือกเย็นและเด็ดเดี่ยว มองไม่ออกว่าเธอกำลังจะไปเผชิญหน้ากับเรื่องอันตราย
เฉินเจาถอนหายใจเข้าออกอีกสองสามครั้ง สูบบุหรี่ไปประมาณครึ่งตัว ตอนนี้ห้องทำงานเต็มไปด้วยควันบุหรี่ และในที่สุดวินาทีที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง เฉินเจาเดินมาที่หน้าต่างแล้วพูดว่า
“เจิ้งซิ่วหยา พ่อคุณโทรหาผมแล้ว”
เจิ้งซิ่วหยาคิดไม่ถึงว่าพ่อของเธอจะโทรมา!
โจวจั่นมองไปยังเฉินเจาด้วยท่าทางงุนงง “
โจวจั่นมองไปอย่างไม่เข้าใจและถามขึ้นว่า “หัวหน้าครับคุณลุงพูดว่าอะไรเหรอ?”
โจวจั่นมองไปยังเจิ้งซิ่วหยาที่บัดนี้การท่าทางของเธอไม่ได้เฉยเมยเหมือนเมื่อสักครู่
เจิ้งซิ่วหยาพูดออกมาว่า “นี่คืองานของฉัน ไม่เกี่ยวกับเขา ยังไงฉันก็จะไปค่ะ และอีกอย่างฉันไม่อยากรู้ว่าเขาพูดอะไรกับคุณ”
เฉินเจาอยากจะบ้าตายจริงๆ “พ่อของคุณบอกว่า……”
“หัวหน้าคะ ถ้าหัวหน้าไม่ออกคำสั่ง อย่าหาว่าฉันทำทุกอย่างไปโดยพลการ ยังไงเสียฉันก็ได้ทำผิดไปแล้วครั้งหนึ่งจะทำอีกครั้งหนึ่งก็ไม่เป็นไร!”
เฉินเจาเดินมาถามว่า “คุณคิดดีแล้วเหรอ?”
“ใช่ค่ะฉันคิดดีแล้ว และฉันพร้อมจะเซ็นต์สัญญาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนับจากนี้ฉันจะเป็นผู้รับผิดชอบเพียงผู้เดียว จะไม่ทำให้คนอื่นต้องลำบากด้วยเด็ดขาด” เจิ้งซิ่วหยาพูดอย่างมุ่งมั่นและไม่หวั่นไหว
โจวจั่นไม่รู้จะพูดอย่างไร การที่ได้รับสายจากพ่อของเธอมีอิทธิพลมากกับเธอขนาดนี้เชียวเหรอ?
อืม ใช่สิจริงด้วย
เขาจำได้ดีว่าในครั้งแรกที่พบกับเจิ้งซิ่วหยาเธอขับรถเบนซ์สปอร์ตราคาแพง ตำรวจทั่วไปไม่มีปัญญาขับรถหรูแบบนั้นได้ หรือว่าเจิ้งซิ่วหยาจะมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยกัน?
โจวจั่นสีหน้าไม่ดีเท่าไหร่นัก
เฉินเจาเคารพในการตัดสินใจของเธอและตอบกลับไปว่า “โอเค ตกลงผมอนุมัติ หากคุณต้องการจะลองก็ไปลองเถอะพวกเราจะคอยปกป้องคุณอยู่ข้างหลัง”
อาจเป็นเรื่องปกติที่ตำรวจหญิงจะทำหน้าที่เป็นสายลับไปยังฐานทัพของศัตรูโดยปลอมตัวเข้าหาพวกเขา แต่นั่นคือก่อนที่เขาจะได้รับโทรศัพท์จากพ่อของเจิ้งซิ่วหยา บัดนี้เขายอมรับว่าตัวเองก็กำลังลังเลใจ
“ท่านหัวหน้าครับ!”
ตำรวจนายหนึ่งแต่งตัวเรียบร้อยแสดงความเคารพขึ้นและยืนอยู่หน้าประตูเพื่อรายงานการทำงาน
เฉินเจาพยักหน้า “พูดมา”
นายตำรวจคนนั้นรายงานด้วยน้ำเสียงหนักแน่นฟังชัดว่า “ท่านหัวหน้าครับ มีคนจากหน่วยต่อต้านยาเสพติดได้รับรายงานว่า ในเขตเซี่ยงหยังจับผู้เสพยาเสพติดได้ 3 คน มีผู้แอบซ่อนเฮโรอีนจำนวน 450 กรัม กลุ่มคนดังกล่าวได้ถูกคุมตัวและส่งตัวไปยังสถานที่ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดแล้วครับ”
เจิ้งซิ่วหยาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดก็แลดูเหมือนว่ามีข่าวดีออกมาบ้าง
สีหน้าของเฉินเจาก็ผ่อนคลายลงไม่น้อยเขาบี้ก้นบุหรี่เพื่อดับไฟลงแล้วเอ่ยถามว่า “ไปสอบถามดูว่าพวกเขาซื้อของมาจากที่ไหน สืบหาเบาะแสออกมาให้ได้”
ตำรวจผู้นั้นหัวเราะแล้วพูดว่า “หัวหน้าเฉินครับ ทั้งสามคนนั้นเป็นดาราที่มีชื่อเสียงทุกคน ตอนที่พวกเราได้รับรายงานนี้ก็เข้าจับกุมโดยเงียบๆ”
พระเจ้า!!!
คาดไม่ถึงว่าดาราจะถูกพวกเขาจับได้ นี่มันเซอร์ไพรซ์มาก!
“ดาราเหรอ? ถ้าเป็นอย่างนั้นยิ่งปล่อยไปไม่ได้ใหญ่ พวกเขาคิดว่าตัวเองมีเงินจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ? สืบหาข้อมูลต่อไป คาดว่าในวงการบันเทิงคงจะมีอีกไม่น้อย”
“ครับ ตอนนี้ทีมสอบสวนกำลังดำเนินการตรวจสอบ”
“อืม ออกไปได้แล้ว”
เจิ้งซิ่วหยารีบใช้โอกาสนี้พูดออกมาว่า “หัวหน้าคะ คุณต้องไปที่กองกำลังต่อต้านยาเสพติดด้วยตัวเองแล้วใช่ไหม? ให้โจวจั่นขับรถไปให้ไหมคะ?”
แน่นอนว่าเฉินเจากำลังเตรียมตัวไป เขากำชับก่อนที่จะเดินทางออกไปว่า “เจิ้งซิ่วหยา ถ้ามีเวลาก็โทรศัพท์หาคุณพ่อหน่อยนะเขาเป็นห่วงคุณมาก”
เฉินเจาเดิมทีตั้งใจจะยื่นมือไปตบบ่าเจิ้งซิ่วหยา แต่เมื่อเห็นว่านิ้วของเขามีเขม่าควันบุหรี่อยู่จึงได้วางมือลงและพูดอย่างจริงจังว่า “คุณรู้ดีว่าผมหมายถึงอะไร”
เจิ้งซิ่วหยาไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับเขา “ค่ะหัวหน้า”
……
ลั่วหาน1เปิดประตูห้องคนไข้ของหยวนชูเฟินและเดินเข้าไปด้านใน เธอไม่ได้แจ้งให้ทีมแพทย์และพยาบาลหรือแม้แต่หยวนชูเฟินเองก็ไม่ได้บอกก่อนล่วงหน้า เมื่อเธอเคลียร์งานเสร็จจึงได้เดินมา
ด้านข้างของประตูเป็นระเบียงขนาดใหญ่ ภายในห้องไม่ได้มีพยาบาลอยู่ด้วย จึงทำให้เงียบสงบกว่าเดิม
ความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์ที่ระเบียงสาดส่องมายังหยวนชูเฟินที่กำลังอาบแสงแดดอุ่นอยู่ เธอหันหลังให้กับประตูและนั่งอยู่ บนเก้าอี้รถเข็น ด้านหน้าของเธอมีขาตั้งวาดรูปอยู่ เธอกำลังวาดรูปอย่างจริงจัง
วาดรูปงั้นเหรอ?
ลั่วหานไม่เคยเห็นภาพวาดของหยวนชูเฟินมาก่อน เธอกลัวว่าจะรบกวนแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานของหยวนชูเฟิน จึงได้ยืนอยู่ข้างหลังอย่างเงียบๆ เธอยื่นหน้าไปเล็กน้อยเพื่อมองดูรูปภาพนั้น
เป็นรูปภาพลอนดอนในฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้และต้นไม้เขียวชอุ่มเติบโตขึ้นท่ามกลางแสงแดดและฝนโปรยปราย ดอกไม้สีสันสวยงามมองดูแล้วช่างมีความสุข แค่เธอมองมาจากรูปภาพก็อยากจะสูดเอาอากาศบริสุทธิ์นั้นเข้าไป คล้ายกับว่าได้กลิ่นหอมออกมาจากกระดาษจริงๆ
ฉากหลังในรูปภาพมีสะพานสีขาวทอดยาว สีสันและองค์ประกอบเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์
นี่คือฉากหลังในระยะไกล ตอนนี้เธอกำลังนั่งวาดรูปในระยะใกล้ เป็นโครงร่างของคนสองคน มองเห็นชัดเจนว่าเป็นผู้หญิงทั้งสองคน คนหนึ่งหน้าคล้ายกับหยวนชูเฟิน แต่ความสูงมากกว่าเธอเล็กน้อย ลั่วหานรู้สึกว่าเธอกำลังวาดตนเอง
ทั้งสองคนนี้กำลังยืนอยู่ ส่วนข้างๆโต๊ะหินสีขาวมีคนอีกสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ทั้งสองคนนั้นกำลังเล่นหมากรุก
หนึ่งในสองคนนั้นหันหลังให้กับรูปภาพจึงมองไม่เห็นว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร เห็นเพียงแต่ว่าเขาสวมเสื้อสีขาวและเสื้อคลุมสีเทา บ่ากว้าง ถึงแม้นั่งอยู่ก็สามารถเดาได้ว่ารูปร่างสูง
ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามแม้จะยังไม่ได้ วาดหน้าตาออกมาก็มองออกว่าเป็นหลงเซียว
หรือว่าหยวนชูเฟินกำลังวาดรูปครอบครัวของกัน?
ในขณะที่หยวนชูเฟินกำลังหมกมุ่นอยู่กับการวาดรูปเธอจึงไม่รู้สึกตัวว่ามีใครอีกคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลัง เมื่อเธอยื่นมือไปหยิบน้ำชาและลั่วหานยื่นน้ำชาให้กับเธอ
หยวนชูเฟินตกใจและหันกลับมามอง เมื่อพบว่าเป็นลั่วหานเธอยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่
“ลั่วหาน มาได้ยังไง?”
ลั่วหานจำได้ว่าเธอกำชับกับหมอและพยาบาลเอาไว้ว่าให้แม่พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ให้ทำอะไรเลย แต่เธอกลับมาแอบวาดรูปอยู่อย่างนี้ ช่างไม่ฟังคำพูดเธอเลยจริงๆ
“แม่ถูกจับได้แบบนี้จะให้ว่ายังไงดีล่ะคะ?” ลั่วหานไม่ได้ตำหนิเธอออกมาโดยตรงแต่กลับเบ้ปากพูดเหมือนเด็กๆ
เดิมทีหยวนชูเฟินหน้าซีดเซียว แต่เมื่อเห็นลั่วหานสีหน้าเธอก็ดีขึ้น เธอยิ้มออกมาและพูดว่า “นี่คือความลับของพวกเราสองคนจะให้หลงเซียวรู้ไม่ได้นะ”
ลั่วหานยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นแม่จะต้องตามใจหนูนะคะ”
“ได้ๆๆ พูดมาเถอะจะให้แม่ตามใจยังไง?” ลั่วหานก้มลงไปซบที่ไหล่ของหยวนชูเฟินพร้อมกับชี้นิ้วไปที่รูปภาพแล้วถามว่า “นี่หนูใช่ไหมคะ? แม่ต้องว่าหนูให้สวยๆหน่อยนะ”
หยวนชูเฟินพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ได้เลย แม่จะวาดให้สวยที่สุด แม่วาดตามหน้าตาของเรานะยังไงก็ต้องสวยอยู่แล้ว”
วาดตามหน้าตาของเธออย่างนั้นเหรอ……
แต่ใบหน้าของเธอตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแม้แต่นิดเดียว มันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หยวนชูเฟินกระซิบที่ข้างหูเธอว่า “แม่จะว่ารูปเมื่อก่อนให้เอาไหม”
นี่มันสุดยอดจริงๆ
เธอต้องการให้เป็นแบบนี้ และเธอก็กำลังรอประโยคนี้อยู่
“ฮ่าๆๆ ตอนนี้แม่มัดใจหนูไว้ได้แล้วนะคะ หนูขอมอบตั๋วพิเศษให้แม่ออกไปเดินเล่นข้างนอกดีไหมคะ?”
แน่นอนว่าหยวนชูเฟินต้องเห็นด้วยและตอบตกลง
ลั่วหานผลักหยวนชูเฟินเข็นรถออกไปด้านนอก ดอกเบญจมาศกำลังบานสะพรั่ง กลิ่นหอมอ่อนๆลอยมาตามลม
หยวนชูเฟินสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “อากาศดีจริงๆ”
ลั่วหานเหลือบมองเห็นดอกเบญจมาศที่บานสะพรั่งอยู่และพูดว่า “แม่รอเดี๋ยวนะคะ”
พูดจบเธอก็แอบย่องเข้าไปราวกับโจรลักขโมยดอกไม้ เธอเด็ดดอกไม้ดอกใหญ่มาหนึ่งดอก ดอกเล็กหนึ่งดอก จากนั้นได้เด็ดใบไม้เล็กๆมาประกอบเข้าเป็นช่อ
เธอยื่นช่อดอกไม้ที่งดงามราวกับเสกออกมาให้กับหยวนชูเฟินและพูดว่า “แม่คะ ให้แม่ค่ะ”
หยวนชูเฟินตาเป็นประกาย “โอ้โห ดอกไม้สวยจริงๆ แต่ว่าหนูไปเก็บมาแบบนี้ถ้าคนสวนเห็นเข้าคงจะถูกดุแน่ๆ”
ลั่วหานยิ้มแล้วพูดว่า “มีแม่กับหนูที่รู้เท่านั้น เราจะถูกดุได้ยังไง?อีกอย่างถ้าแม่ชอบ ว่าแต่ดอกไม้เลยค่ะ ต่อให้เป็นดวงดาวบนท้องฟ้าก็จะเด็กมาให้ได้”
หยวนชูเฟินยิ้มขึ้น ร่างกายของเธอกำลังต่อสู้กับโรคร้าย แต่คำพูดและดอกไม้ช่อนั้นของลั่วหานก็ทำให้เธอยิ้มออกมาได้ เธอจับมือลั่วหานไว้แน่นและพูดว่า “เราน่ะทั้งฉลาดและขี้อ้อนจริงๆ”
ลั่วหานซุกหน้าลงที่ขาของเธอและพูดว่า “แม่คะ รูปนั้นช่างงดงามจริงๆแม่กำลังว่าพวกเรากับพ่อใช่ไหม?”
“อืม แม่วาดพวกเราอยู่ มีหลงเซียวแล้วก็ยังมีพ่อด้วย”
มู่เส้าเอิน
ช่างงดงามจริงๆ ในฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้อยากให้ทุกคนอยู่ร่วมกันตลอดไป……
“แม่ครับ ลั่วลั่ว”
เสียงของบุคคลที่สามดังขึ้น ทำลายโลกแห่งจินตนาการของทั้งสองคน
ลั่วหานหลังกลับไปพบว่าหลงเซียวยืนอยู่ไม่ไกลนัก ตาของเธอหรี่ลงแล้วถามว่า
“คุณมาได้ยังไงกันคะ?”
หลงเซียวหัวเราะและเดินเข้ามาพูดว่า “ถ้าผมไม่มา โจรขโมยดอกไม้อย่างคุณก็คงจะลอยนวลแน่นอน ทั้งยังลากแม่ผมเข้าไปเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วย”
เขาเห็นด้วยงั้นเหรอ?
แต่เมื่อสักครู่เขาไม่อยู่ตรงนี้นี่!
ลั่วหานเงยหน้าขึ้น พบว่าตรงกับตำแหน่งหน้าต่างห้องคนไข้ของหยวนชูเฟินพอดี
หยวนชูเฟินมองหน้าลูกชายของตนและกอดดอกไม้ไว้ในมือพูดว่า “ลูกอย่าโทษลั่วหานเลย เธอทำไปเพราะต้องการให้แม่มีความสุข”
ลั่วหานเชิดหน้าขึ้น “ได้ยินไหมคะคุณลุง”
คุณลุงงั้นเหรอ?
ดีมาก!เดี๋ยวได้เห็นกัน!
ลั่วหานเด็ดดอกไม้มาอีกหนึ่งดอกและใส่เข้าไปในช่องกระเป๋าเสื้อของหลงเซียว พูดว่า “ตอนนี้คุณก็กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยแล้วนะคะ ดังนั้น……ฮ่าๆๆ!”
หลงเซียวก้มลงมองดอกไม้ในกระเป๋าเสื้อของเขา
ทั้งสามเดินเล่นสูดอากาศบริสุทธิ์ในสวนดอกไม้ โดยมีหลงเซียวเข็นรถเข็นให้หยวนชูเฟิน
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือมีสายตาหนึ่งจับจ้องมาจากชั้นบน สายตาคู่นั้นกำลังมองมาที่พวกเขา