ตอนที่ 700 โกรธจนหมดสติ
เมืองเจียงเฉิง
ไป๋เวยวางสายโทรศัพท์ บนใบหน้าหน้าขาวหมดจดปรากฏรอยยิ้มหยันอย่างเห็นได้ชัด “เป็นอย่างที่ประธานคาดไว้จริงๆ เสิ่นเหลียวกระวนกระวายใจ เขาขอนัดพบฉันคืนนี้ เขาอยากจะเอาวิดีโอของเขามาแลกเปลี่ยนกับฉัน” เธอกัดฟันพูดอย่างโกรธๆ “โดยใช้วิดีโอฉันมาแลกเปลี่ยน”
หลงเซียวพยักหน้า “อืม ไปพบเขา ตอนนี้เสิ่นเหลียวถูกบีบจนหัวชนฝา นี่เป็นโอกาสที่เขาจะพลิกเกมกลับมาได้ เขาต้องการชุบตัว ก่อนที่จะเริ่มงานอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้”
ไป๋เวยกล่าวอย่างใจเย็น “เขาคิดได้โลกสวยนัก! ตอนนี้เขาเล่ห์รไปทั้งตัว คิดจะชุบตัวรึ ฝันไปเถอะ!”
หลงเซียวมุมปากกดลึก “โอ้ ดูเหมือนประธานไป๋จะอยากเอาหยกไปหลอมกับหิน ฟังดูแล้วไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก”
ดูเหมือนไป๋เวยจะถูกเขามองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง จึงก้มหน้าลงอย่างเก้อกระดาก “พูดตามตรง ที่ฉันคิดเป็นอย่างนี้ค่ะ ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้เขาทำสำเร็จเป็นอันขาด ฉันต้องการให้เสิ่นเหลียวพ่ายแพ้หมดรูป ไม่เพียงแค่นั้น ฉันยังอยากจะให้เขาตายด้วย! เขาฆ่าพ่อแม่และครอบครัวของฉัน ทำให้ฉันกลายเป็นคนรักและคนของเขา ฉันกล้ำกลืนฝืนทนมาหลายปี ไม่มีทางปล่อยเขาไปเด็ดขาด! ”
ดวงตาที่โกรธเกรี้ยวของไป๋เวย ถูกปกคลุมไปเส้นเลือดแดงก่ำ สองมือออกแรงบีบราวกับจะเค้นเอารูเลือดที่หัวเข่าออกมา
หลงเซียวส่ายหน้ากล่าวว่า “มีหลายวิธีที่จะกำจัดเสิ่นเหลียว แต่สิ่งที่โง่ที่สุดก็คือปลาตายตาข่ายขาด ชีวิตของคุณมีค่ามากกว่าเขา และชื่อเสียงของคุณก็มีค่ามากกว่าเขาเช่นกัน หากคุณชายกู้อยู่ที่นี่ เขาต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน”
ไป๋เวยเงยหน้าขึ้น มีเส้นสีแดงจางๆ เอ่อล้นในดวงตาของเธอ “ฉันรู้ค่ะ เขาต้องเอาปืนยิงเสิ่นเหลียวตายแน่ อันที่จริงที่คุณไม่ให้เขากลับประเทศ ฉันเดาว่าน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้”
“คุณรู้จักเขาดีที่สุด” หลงเซียวพูดเบาๆ
ไป๋เวยเห็นเขาสงบนิ่งเช่นนี้ ก็อดสงสัยไม่ได้ “ท่านประธาน ไม่ใช่ว่าคุณคิดวิธีดีๆ อะไรออกแล้วหรอกนะ คุณคิดวิธีจัดการกับเสิ่นเหลียวได้แล้วเหรอคะ? ”
ดวงตาดำเข้มของหลงเซียวราวกับน้ำหมึก “ไม่อย่างนั้นผมจะให้คุณมาเหรอ คุณเป็นผู้หญิงของคุณชายกู้ ฉันจะผลักคุณเข้าสู่กองไฟได้หรือ?”
ไป๋เวยพูดอะไรไม่ออก
หลงเซียวกล่าวต่อ “การพบเสิ่นเหลียวเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ของในมือคุณก็มอบให้เขาได้เช่นกัน แต่ของอย่างคลิปวิดีโอ ก๊อบปี้เป็น 10,000 คลิปก็ไม่ใช่ปัญหา คุณทำได้ เขาก็ทำได้ ดังนั้นวิธีนี้ไม่ได้มีความหมายใดๆ เลย”
ไป๋เวยไม่กล้าขัดจังหวะเขา และฟังเขาพูดอย่างจริงจังทุกถ้อยคำ
“ดังนั้น ฉันจึงเตรียมสิ่งนี้ไว้”
หลังจากพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นไปเปิดกล่องเล็กๆ ใบหนึ่ง หยิบของที่ห่อด้วยผ้าสีดำออกมา แล้วยื่นให้ไป๋เวย
ได้รับของที่หนักอึ้งสิ่งนั้น หัวใจของไป๋เวยก็ดิ่งลง “นี่……”
“เปิดดูสิ”
ไป๋เวยทำตามคำสั่ง เปิดห่อผ้าสีดำทีละชั้น ข้างในมีปืนพกบราวนิ่งนอนอยู่ พร้อมกับบรรจุกระสุนไว้เต็ม เธอรู้สึกได้ถึงน้ำหนักของมัน จะต้องสั่งทำขึ้นพิเศษแน่นอน
หลงเซียวยิ้มพลางกล่าวว่า “เป็นยังไง รู้สึกยังไงบ้าง?”
ไป๋เวยมองเขาอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง “คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันยิงปืนเป็น”
หลงเซียวยิ้มบาง “รู้ได้ยังไงไม่สำคัญ ผมขอแนะนำอะไรสักหน่อย ปืนพกด้ามนี้สามารถบรรจุกระสุนได้สิบนัด แรงดีดกลับไม่แรงนัก มีอุปกรณ์เก็บเสียง คุณสามารถยิงได้ถ้าจำเป็น”
สีหน้าของไป๋เวยในเวลานี้ไม่ได้ตกตะลึงเท่าไหร่นัก เธอสงสัยว่าตัวเองก้าวเข้าสู่โลกมืดเสียแล้ว “ท่านประธาน คุณจะให้ฉันฆ่าเสิ่นเหลียวถ้าจำเป็นเหรอคะ?”
ฆ่าคนผิดกฎหมาย ต้องถูกขังคุก มันจะไม่ยิ่งเลวร้ายไปกันใหญ่หรือ?
นิ้วของหลงเซียวลูบแหวนแต่งงานของตัวเองอีกครั้ง แต่ก็ต้องล้มเหลวอีกครั้ง ในใจรู้สึกไม่เป็นสุข เขาต้องได้แหวนคืนโดยเร็วที่สุด
“หากคุณตั้งใจที่จะยิงเลย ผมไม่เห็นด้วยหรอกนะ ปืนนี้ใช้เพื่อสร้างแรงผลักดันให้คุณเป็นหลัก แน่นอน ถ้าคุณทนไม่ไหวจริงๆ คุณสามารถยิงแขนขาของเขาได้”
ริมฝีปากของไป๋เวยกระตุกอย่างรุนแรง ได้ยินท่านเซียวพูดเรื่องคอขาดบาดตายได้อย่างเปิดเผยและอบอุ่นเช่นนี้ ทำให้ต้องแยกเสียงกับภาพออกจากกัน
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ นอกจากปืนด้ามนี้ คุณยังมีแผนอะไรอีกคะ?”
ไป๋เวยเก็บปืนขึ้นมา เหน็บไว้ที่หลังเอว
หลงเซียวชอบพูดคุยกับคนฉลาด เพราะไม่ต้องเปลืองแรงมาก แถมยังสะดวกสบายด้วย เขาหยิบแฟลชไดรฟ์ออกมาจากเสื้อสูท แล้วส่งให้ไป๋เวยที่มีโต๊ะกั้นอยู่ “อันนี้คุณเก็บไว้ ใส่วิดีโอของเสิ่นเหลียวเข้าไป เสิ่นเหลียวจะต้องเสียบแฟลชไดรฟ์เข้ากับคอมพิวเตอร์เพื่อตรวจสอบ ส่วนเรื่องที่เหลือ ก็ไม่เกี่ยวกับคุณแล้ว”
ไป๋เวยมองดูแฟลชไดรฟ์ มุมปากยกขึ้น “ตกลง! จะทำตามที่ประธานจัดการทุกอย่างค่ะ แต่ว่า ประธานไม่ไปกับฉันเหรอคะ? ”
ถ้าไปคนเดียว ยังไงก็ไม่สบายใจ
“ผมจะรอคุณอยู่ข้างนอก หากมีอะไรไม่ชอบมาพากลให้กดปุ่มนี้ คนของผมจะปรากฏตัวภายในสิบห้าวินาที” หลงเซียวยื่นสิ่งที่คล้ายกับต่างหูให้เธอ ซึ่งจริงๆ แล้วด้านในเป็นอุปกรณ์เตือนภัย
ไป๋เวยตกใจ “ท่านประธาน งานของคุณคือ 007 ใช่ไหม คิดไม่ถึงว่าจะเตรียมของไว้หลายอย่างขนาดนี้ สุดยอด!”
หลงเซียวกล่าวอย่างเป็นธรรมชาติว่า “นี่เป็นของที่เตรียมไว้ให้ลั่วลั่ว คุณชายกู้ขอให้ผมเตรียมเผื่อคุณด้วย”
ไป๋เวย “……”
ที่แท้……ก็เป็นเช่นนี้!
——
เมืองหลวง โรงพยาบาลหวาเซี่ย
หลินซีเหวินไม่ได้มาทำงาน งานมากมายจึงมากองอยู่ที่ลั่วหาน ดังนั้นหมอฉู่ที่รู้สึกว่างงานมาตลอดเวลาก็พบว่ามีงานยุ่งอีกครั้ง
เหนื่อย แต่อิ่มใจ
เพียงแต่ พอหวาเทียนเห็นเธอ ก็รู้สึกละอายเล็กน้อย ทั้งสองพบกันโดยบังเอิญที่หน้าห้อง CT ครั้งนี้หวาเทียนหลบไม่พ้นแล้วจริงๆ
ได้แต่พูดหน้าด้านๆ ว่า “หมอฉู่……”
ลั่วหานคลี่สายหูฟังแพทย์ “พอเห็นฉันก็หลบ คุณติดเงินฉันหรือไง? ”
“เปล่า เรื่องเมื่อคืน……มันน่าอายมากน่ะ” หวาเทียนไม่รู้จะเอามือไปไว้ที่ไหน จึงทำได้แต่เขย่าเครื่องพิมพ์ของCT และพลิกโครงกระดูกที่อยู่บนนั้นไปมา
“เรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว ต้องทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอ เมื่อวานเป็นสถานการณ์พิเศษ คืนนี้จะไม่มีอีกแล้ว ยังไงข้าวของของซวงซวงก็ยังอยู่ที่บ้านฉัน คืนนี้ตรงไปที่นั่นได้เลย”
ดวงตาของหวาเทียนเบิกกว้าง “คืนนี้……”
เขายังพูดไม่ทันจบ โทรศัพท์ของลั่วหานก็ดังขึ้น ลั่วหานหยิบโทรศัพท์ออกมา “ฉันขอรับสายก่อน ตกลงตามนี้แหละ”
หวาเทียน “……”
ลั่วหานมือข้างหนึ่งถือหูฟังแพทย์ อีกข้างถือโทรศัพท์ ขณะก้าวเดินกางเกงขายาวสีดำหลวมก็แกว่งไปมา เผยให้เห็นข้อเท้าอันน่ามอง
“เสี่ยวจื๋อ มีอะไรเหรอ?”
หลงจื๋อหัวเราะฮึฮึ “พี่สะใภ้ ยุ่งอยู่เหรอ คืนนี้ว่างไหม”
ลั่วหานกดลิฟต์ แล้วเดินกลับห้องทำงาน “คืนนี้ว่าง วันนี้ฉันเลิกงานตรงเวลา นายว่ามาเถอะ”
“คือว่า ผมอยากให้คุณไปบ้านซีเหวินกับผม ไปเยี่ยมพ่อแม่ของเธอ คิดไม่ถึงว่าแม่ของเธอจะออกคำสั่งให้ตามหาเธอ ผมกลัวว่าจะปิดบังเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ผมไม่กล้าไปเองคนเดียว ดังนั้นขอร้องล่ะ พี่สะใภ้……ช่วยผมด้วย”
ลั่วหานสามารถนึกไปถึงสภาพน่าสังเวชของหลงจื๋อได้เลย
“ร้ายแรงขนาดนี้เชียว ฉันไม่ได้ดูข่าวเลย แต่ฉันได้ยินมาว่าแม่ของซีเหวินร้ายกาจมาก เป็นหญิงแกร่งคนหนึ่ง” ลั่วหานนึกถึงงานเลี้ยงของตระกูลหลินเมื่อคราวก่อน แม่ของหลินซีเหวินรับมือสถานการณ์ทั้งหมดได้คนเดียว กลยุทธ์ทางการทูตราวกับจักรพรรดิหญิง
หลงจื๋อพูดอย่างน่าสงสาร “ดังนั้น พี่สะใภ้ต้องช่วยผมนะ! ความสุขชั่วชีวิตของผมอยู่ในมือคุณแล้ว คุณต้องช่วยผมนะ!”
ลั่วหานครุ่นคิด “ฉันกับพี่นายหย่ากันแล้ว ถ้าฉันออกหน้า มันจะดูไม่เหมาะสมเกินไปหรือเปล่า? ”
หลงจื๋อกลัวว่าเธอจะไม่ไป เลยพูดเน้นย้ำว่า “พี่สะใภ้! คุณคือพี่สะใภ้ของผมตลอดกาล! อีกอย่างผมเชื่อว่าคุณกับพี่ผมจะต้องกลับมาอยู่ด้วยกันแน่! ถึงเวลานั้นซีเหวินก็จะเป็นน้องสะใภ้ของคุณ และเราจะเป็นครอบครัวที่มีความสุข! คุณช่วยผมด้วยนะ! ”
อืม? งั้นเหรอ?
แต่หลงเซียวกับหลงจื๋อไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันนี่ เจ้าหมอนี่……
หลงจื๋อเห็นเธอเงียบไป เขาก็เล่นใหญ่อีกครั้ง “พี่สะใภ้ ผมนับหนึ่งถึงสาม ถ้าคุณไม่พูดผมจะถือว่าคุณรับปาก———สาม!”
ลั่วหาน “……!!! ”
เจ้าบ้าหลงจื๋อ ลูกไม้ไร้เดียงสาแบบนี้ก็ยังเอามาใช้กับเธอได้! เจ้าเด็กโสโครกนี่!
หลงจื๋อหัวเราะแหะแหะ “ผมจะส่งที่อยู่ของบ้านซีเหวินให้คุณ คืนนี้ทุ่มครึ่ง ไม่พบไม่เลิกรา”
กลัวว่าลั่วหานจะปฏิเสธ หลงจื๋อจึงรีบวางสายทันที
เขาปรบมืออย่างเบิกบาน กล่าวอย่างโอ้อวดว่า “เป็นยังไง ผมเจ๋งไหม? ”
หลินซีเหวินไม่รู้จะพูดอะไรดี จึงแสยะยิ้ม “ฮึฮึ ฮึฮึฮึ เจ๋ง คุณเจ๋งตรงหน้าหนานี่แหละ”
……
พอถึงชั้นหนึ่ง ลั่วหานก็เดินออกจากลิฟต์ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนสองสามคนตะโกนมาจากทางเดิน “หลบหน่อย! หลบหน่อย!! เร็วเข้า!! ” ลั่วหานยืนพิงกำแพง เห็นเพียงกลุ่มแพทย์กำลังเข็นเตียงออกจากห้องโถงอย่างรีบร้อน แพทย์ที่เป็นหัวหน้าใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างกังวล ตะโกนเสียงดัง พลางโบกมือเพื่อเคลียร์ทางตรงหน้า คนที่อยู่ด้านหน้าต่างทยอยกันหลบให้
แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลมักมีคนถูกเข็นเข้าไปเป็นประจำ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ดังนั้นลั่วหานจึงไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ
หลังจากที่เข็นเตียงเข้าไปแล้ว เงาร่างที่ตามมาอย่างกระชั้นชิดร่างนั้น กลับดึงดูดความสนใจของลั่วหาน เกาจิ่งอาน?
เกาจิ่งอานก้าวขาวิ่งอย่างรวดเร็ว เสื้อกันลมกางออกจนเกิดเสียงหวีดหวิวขึ้น จนทำให้ใบไม้ประดับในห้องโถงปลิวไปตามแรงลม
แสดงว่า คนที่ถูกเข็นเข้าไปเมื่อกี้คือเกาหยิ่งจือ?
เธอไม่ได้กำลังทำคีโมอยู่ในโรงพยาบาลหรอกหรือ? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ลั่วหานเดินตามเขาไปจนถึงห้องฉุกเฉิน เกาจิ่งอานถูกกันอยู่นอกประตู สองมือกุมศีรษะไว้ด้วยความเจ็บปวดและขมขื่น ใช้แรงลูบจากหน้าไปหลัง
“มีอะไรเหรอ พี่สาวคุณเกิดอะไรขึ้น”
เกาจิ่งอานหันหน้ามา ดวงตาฉ่ำชื้น “เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย พี่ผมเกือบเสียชีวิตแล้ว”
ขอบเสื้อคลุมสีขาวของลั่วหานกระพือขึ้น เดินขึ้นหน้าสองสามก้าว “คุณพาเธอออกไปเหรอ”
เกาจิ่งอานเสียใจจนอยากจะชกตัวเองสักสองสามครั้ง “อืม ซุนปิงเหวินถูกสงสัยว่าติดสินบน อีกทั้งบริษัทซุนซื่อก็เลี่ยงภาษี ตอนนี้ซุนปิงเหวินอยู่ที่โรงพัก อารมณ์ของโม่หรูเฟยก็ไม่แน่ไม่นอน แม่ของเธอโทรหาผม ให้พวกเราไปเยี่ยมเธอหน่อย”
“บัดซบ! ” ลั่วหานเดือดดาลไปชั่วขณะ สบถคำด่าออกมา “จากนั้นล่ะ? ”
เกาจิ่งอานโขกหน้าผากจนบวม “จากนั้น พวกพี่สาวน้องสาวกำลังคุยกันอยู่ในห้อง ส่วนผมอยู่ในห้องนั่งเล่น ผ่านไปสักพัก พี่สาวผมก็หมดสติ ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ลั่วหานพูดไม่ออก “คุณเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ ……” เธอมีคำด่าอีกเป็นหมื่นคำที่อยากจะด่าเกาจิ่งอาน แต่เห็นเขาเจ็บปวดเช่นนี้ ลั่วหานก็ทนตำหนิเขาไม่ได้อีกต่อไป เพียงพูดเบาๆ ว่า “คุณรอก่อน ฉันจะเข้าไปดู ดูพี่สาวคุณ ตอนนี้เธออยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการทำคีโม คุณ……”
ช่างเถอะ อย่าเพิ่งคุยกับเขาจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นคงอดด่าเขาไม่ได้
เกาจิ่งอานรู้ว่าตัวเองผิด เขาจึงไม่กล้าตอบโต้ “ลำบากคุณแล้ว พี่สะใภ้”
ลั่วหานพยักหน้า และผลักประตูเข้าไป
พอเห็นว่าเป็นลั่วหานที่เข้าไป หมอหลายคนก็เอ่ยทักทาย “หมอฉู่”
“เธออาการเป็นยังไงบ้างคะ ขอตรวจหน่อย” ลั่วหานเดินเข้าไป เสียบหูฟังแพทย์ ฟังการเต้นของหัวใจของเกาหยิ่งจือ “จังหวะการเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ”
แพทย์ชายสวมหน้ากากกล่าวว่า “เธอเป็นมะเร็งเต้านม เพิ่งทำคีโมครั้งที่สอง เห็นได้ชัดว่าได้รับความกระทบกระเทือนบางอย่าง ทำให้หัวใจเต้นเร็วจนหมดสติ”
ลั่วหานวางหูฟังแพทย์ลง และอ่านข้อมูลบนมิเตอร์ “โชคดีที่ไม่ร้ายแรง ผลคีโมของเธอเป็นยังไงบ้าง สามารถผ่าตัดได้เมื่อไหร่”