ตอนที่ 822 อย่าทำให้ถึงตายก็พอ
สิงโตเป็นโรคซึมเศร้า?
นี่เป็นเรื่องล้อเล่นเหรอ?
“สัตวแพทย์ล่ะ? เรียกเขามาหน่อย” ฉู่ลั่วหานดึงใบผลตรวจออกมา เธอต้องคุยกับหมอให้รู้เรื่องว่าทำไมจู่ๆ ฟู้กุ้ยถึงเป็นโรคซึมเศร้าได้
“อยู่ที่กรงขังสิงโตด้านนู่นน่ะ” พนักงานเลี้ยงสัตว์ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง เมื่อได้ยินว่าเป็นโรคซึมเศร้าแล้ว ปฏิกิริยาของพนักงานเลี้ยงสัตว์กลับปกติ เพราะสัตว์ล้วนมีความรู้สึกเช่นกัน ความรู้สึกแปรปรวนล้วนเป็นเรื่องธรรมดา
ฉู่ลั่วหานเดินไปด้วยตนเอง ก่อนจะเห็นว่าสัตวแพทย์กำลังปลอบฟู้กุ้ยอย่างกินแรงอยู่
สัตวแพทย์กำลังช่วยให้ฟู้กุ้ยปรับสภาพอารมณ์ให้ดีขึ้น พยายามบิลท์อารมณ์ของมันอย่างเต็มที่ แต่ฟู้กุ้ยกลับมีท่าทีเกียจคร้านไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย
“มันเป็นยังไงบาง? ไม่ยอมกินอาหาร?” ฉู่ลั่วหานนั่งยองๆลงมา มองไปยังสิงโตที่ดูเหมือนแมวน้อยตัวหนึ่ง
พนักงานเลี้ยงสัตว์เกิดความกังวลขึ้น “คุณหญิง สิงโตเป็นสัตว์รวมฝูง ปกติแล้วมักจะอยู่กับครอบครัวของตนเป็นกลุ่ม ตอนนี้มัน……อยู่ต่างที่ตัวเดียว อารมณ์ไม่ดีเป็นเรื่องปกติ”
ริมฝีปากของลั่วหานแข็งทื่อ “พูดแบบนี้ แสดงว่ามันคิดถึงบ้านเกิด?”
สัตวแพทย์ครุ่นคิด “จะพูดแบบนั้นก็ได้ ฟู้กุ้ยคิดถึงครอบครัวตนและพวกพ้องของตน อีกทั้งเขายังเล็กขนาดนี้ ต้องใช้ชีวิตอยู่ในกรงขังทุกวัน คงจะน่าเบื่อมากๆ ถ้าหากเขาสามารถเป็นอิสระขึ้นมาหน่อยอาจจะช่วยให้แข็งแรงขึ้นได้”
ลั่วหานมองไปยังพนักงานเลี้ยงสัตว์ “แล้วคุณล่ะ? สามารถปล่อยมันออกมาได้ไหม?”
พนักงานเลี้ยงสัตว์ไม่กล้ารับประกัน “ผมคิดว่าไม่เหมาะ จะฝึกสัตว์ที่กินเนื้อเป็นอาหารให้เชื่องต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามเดือน ไม่อย่างนั้นถ้าหากมันได้กลิ่นเลือดแล้วสัญชาตญาณล่าของมันจะออกทำงาน จะเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายมากขึ้น”
ลั่วหานหันไปมองสัตวแพทย์ “นอกจากนี้ล่ะ? ยังมีวิธีอื่นไหม?”
สัตวแพทย์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก มือเท้ากับหัวเข่านั่งยองๆลง “เจ้าของของมันตอนแรกล่ะ? ให้มันได้เจอเจ้าของคนแรกอาจจะดีขึ้นได้”
เจ้าของคนแรก……
ลั่วหานปวดหัวขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้น ส่งมันไปเลี้ยงที่สวนสัตว์ไหม รอให้พ้นวัยแล้วค่อยรับกลับมาเลี้ยง”
ตอนนี้สัตวแพทย์และพนักงานเลี้ยงสัตว์มีความเห็นตรงกันขึ้นมาทันที “ไม่ได้ ถ้าส่งไปแล้วรับกลับมา มันอาจจะไม่คุ้นชินกับการเลี้ยงดูที่บ้าน ถ้าหากมันลืมแม้กระทั่งพวกคุณล่ะ จะทำอย่างไร?”
ลั่วหานปวดหัวขึ้นกว่าเดิม “มันไม่ยอมกินอาหารก็จะเกิดปัญหาเช่นกัน”
“อืม ไม่กินไม่ดื่ม คงจะอดทนได้อีกไม่กี่วัน ไม่อย่างนั้น……เดี๋ยวผมลองคุยกับสวนสัตว์ดู ให้ส่งสิงโตตัวใหม่มาอีกตัว ให้พวกมันส่งความรู้สึกคุ้นเคยต่อกัน”
พนักงานเลี้ยงสัตว์ออกความคิดออกมา พูดจบก็ละอายใจจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
เลี้ยงสิงโตสองตัวที่บ้าน?
“ลองให้เป็นครั้งสุดท้ายเถอะ ลงมือเถอะ!” ลั่วหานชั่งน้ำหนักในใจแล้ว ระหว่างเจมส์กับสิงโต เธอเลือกสิงโต
หลังจากจัดการเรื่องของฟู้กุ้ยเสร็จ คฤหาสน์มีรถสีขาวคันหนึ่งขับเขามา ด้านบนติดตราประทับของศาลไว้
ประตูรถเปิดออก ผู้ชายที่เดินลงมาสวมเครื่องแต่งกายของศาลไว้ เครื่องแบบเรียบร้อยไม่มีรอยยับ ก้าวเดินมั่นคง เมื่อเห็นลั่วหานที่นั่งอยู่ที่สวนแล้วจึงเดินยิ้มแย้มเข้าไปหา
“หมอฉู่ คุณอยู่บ้านเหรอ ดีจังเลย”
ลั่วหานบิดข้อมือ ก่อนจะนวดไหล่ของตนเบาๆ “มีธุระเหรอ?”
ชายในชุดเครื่องแบบสะบัดกระดาษ A4ออกมา ด้านมุมล่างขวามีตราประทับสีแดงของศาลอยู่ “คุณฉู่ลั่วหาน นี่เป็นใบเรียกจากศาล มีคนฟ้องว่าคุณไม่มีความรับผิดชอบในอาชีพ ส่งผลอันตรายต่อชีวิตผู้อื่น”
ลั่วหานเหลือบมองหมายเรียกของศาลหลักเมืองหลวงก่อนจะเห็นว่าขนาดไม่บางเลย “ขอบคุณมาก”
อัยการที่ถือหมวดตราประทับอยู่เอ่ย “หมอฉู่ คุณสามารถเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องได้ สามวันหลังจากนี้จะอุทธรณ์ศาลชั้นต้น คุณจะเชิญทนายเพื่อช่วยในการชี้แจงไหม?”
เมื่อเรื่องถึงศาลแล้ว ก็คงจะไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆแล้ว ลั่วหานรู้สึกถึงความลึกตื้นของเรื่องนี้ได้
“ฉันจะเตรียมตัวให้ดี ลำบากให้คุณมาส่งสารแล้ว” ลั่วหานเก็บหมายเรียกไว้กับตัว ก่อนจะพูดประชดไป
รถประจำตำแหน่งศาลขับลับสายตาออกไป ในสายตาของลั่วหานยังมีเงาของรถสะท้อนมาอยู่ ในชั่วพริบตาเดียว เธอจนปัญญาก่อนจะกางกระดาษออก
เหตุผลทั้งหมดล้วนถูกกำหนดไว้แล้ว หรือว่าเส้นทางการทำงานของเธอจะเดินมาถึงจุดจบแล้ว?
พี่สะใภ้มิลานกำลังกล่อมชูชูอยู่ที่ห้องรับแขก ของเล่นชิ้นต่างๆถูกจัดวางไว้เต็มห้อง เสียงหัวเราะของชูชูลอยออกมาจากห้องเป็นพักๆ
ลั่วหานสะบัดความรู้สึกหม่นใจออกไป ก่อนจะปรับเปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้มเบาสบาย
เธอเชื่อใจว่าทุกสิ่งล้วนเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ยักไหล่เสร็จ ลั่วหานก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน “ชูชู หม่ามี๊มาเล่นกับลูกแล้ว!”
ณ สนามบินนานาชาตินิวยอร์ก
เกาจิ่งอานยืนมองนาฬิกาด้วยความเกียจคร้าน ไฟลต์บินของตู้หลิงเซวียนคงถึงแล้ว
ตู้หลิงเซวียนเดินลงมาจากบันไดเลื่อนด้วยความสบายใจ ท้องฟ้าของนิวยอร์กช่างสะอาดสดใสเหลือเกิน เหมือนความรู้สึกในใจเขาตอนนี้ สบายอกสบายใจ เบาสบาย
เกาจิ่งอานดึงแว่นกันแดดลงมาที่ปลายจมูก ก่อนจะมองตู้หลิงเซวียนที่เดินก้าวเท้าเข้ามาอย่างสบายใจ และแกว่งกุญแจรถไปมา ก่อนจะมาเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ
ร่างสูงใหญ่ทั้งสองมาเผชิญหน้ากันที่โถงของสนามบิน ก่อนจะเกิดเป็นลมพายุเบาๆขึ้นมา
ตู้หลิงเซวียนที่อยู่ท่ามกลางพายุมองเห็นเกาจิ่งอานที่เดินเข้ามา ก่อนจะหัวเราะเสียงต่ำ “คุณเกา มีธุระเหรอ?”
เกาจิ่งอานถอดแว่นกันแดดออก ก่อนจะทำเป็นเล่นขาแว่นขึ้นมา “มีสิ เรื่องใหญ่ด้วย มารับคุณโดยเฉพาะ คุณตู้เดินทางระยะไกลมาคงลำบากมาก เลยมารอรับคุณถึงที่”
ผู้ช่วยของตู้หลิงเซวียนรับกระเป๋าเดินทางออกมา รถเข็นบรรจุกระเป๋าเดินทางไว้สามใบ “ประธาน คนขับรถกำลังรออยู่แล้ว”
เกาจิ่งอานที่ตัวสูงใหญ่และแขนใหญ่ล่ำยื่นมือออกมารั้งไว้ “ประธานตู้ ทักษะการขับรถของผมไม่แย่ไปกว่าคนขับรถของคุณเลย กระผมลงมือขับด้วยตนเอง จะไม่ให้เกียรติกันหน่อยเหรอ?”
ตู้หลิงเซวียนขยับเน็กไทให้แน่นขึ้น “แน่นอนว่าไม่ใช่”
“ถ้าเช่นนั้นก็อย่าเสียเวลาเลย มาเจอเพื่อนเก่าในต่างแดนแบบนี้ ผมมีเรื่องที่อยากจะแบ่งปันกับคุณมากมายเลยล่ะ พวกเราค่อยๆ คุยกันไป” เกาจิ่งอานนำแว่นมาเกี่ยวไว้ที่กระเป๋าชุดสูท ก่อนจะใช้มือโอบรอบไหล่ของตู้หลิงเซวียนพาให้เดินจากไป
ผู้ช่วยมองตะลึงอยู่ด้านข้าง “ประธาน นี่มัน……”
ตู้หลิงเซวียนยังเดาแผนของเกาจิ่งอานไม่ออก จึงไม่อาจปฏิเสธได้ “เอาสัมภาระไปไว้ที่บ้านก่อน ฉันกินข้าวกับประธานเกาสักมื้อค่อยกลับไป”
เกาจิ่งอานถีบรถเข็นอย่างทุลักทุเล “ประธานของนายเป็นถึงคนพื้นที่เชียวนะ นิวยอร์กเป็นที่ที่เขาเที่ยวเล่นจนทั่วแล้ว ฉันจะลักพาตัวเขาไปได้?”
ตู้หลิงเซวียนมองไปยังมือที่คล้องอยู่บนไหล่ตน ก่อนจะเริ่มมีความโกรธขึ้นมา “ประธานเกา มีเรื่องอะไรสามารถเจรจากันตรงนี้ได้ไหม?”
“เรื่องใหญ่เลยล่ะ ประโยคสองประโยคพูดไม่ชัดเจน และถ้าจะให้พูดตรงนี้ คุณแน่ใจนะ?” เกาจิ่งอานยิ้มออกมา ไม่มีใครรู้ความหมายแฝงในรอยยิ้มเขา
ตู้หลิงเซวียนเกิดความกังวลขึ้น “ผมไปกับคุณก่อนแล้วกัน”
“อย่างนี้ถูกแล้ว!”
เกาจิ่งอานโบกมือลาผู้ช่วยอย่างสบายใจ “ลำบากพี่ชายแล้ว เดี๋ยวครั้งหน้าจะเลี้ยงข้าวพี่มื้อหนึ่งนะ!”
อีกฝั่งหนึ่ง ตู้หลิงเซวียนขึ้นไปบนรถของเกาจิ่งอานและปิดประตูรถลง พื้นที่ส่วนตัวมีความรู้สึกอึดอัดขึ้น
เกาจิ่งอานบิดกุญแจรถขึ้น ก่อนจะเกิดเสียงสตาร์ตรถตามมา เขาหันมามองตู้หลิงเซวียน “ประธานตู้ คุณไม่กลัวว่าขึ้นมาบนรถผมแล้วจะลงไม่ได้?”
ตู้หลิงเซวียนสงบเสงี่ยมผิดปกติ “ในเมื่อกล้าขึ้นมาก็ไม่กลัวที่จะลงไม่ได้”
เกาจิ่งอานหึในลำคอ “ตู้หลิงเซวียน คุณไปเรียนมาจากไหน? ฟังแวบแรกรู้สึกเหมือนกำลังข่มขู่คนอื่น”
รถออกตัวไป เคลื่อนตัวตามทิศทางสนามบินออกไปยังตัวเมือง ความเร็วในการขับรถของเกาจิ่งอานไม่ช้าเลย วิวทั้งสองข้างทางพัดผ่านลำหูไปอย่างรวดเร็ว
“พูดอ้อมขนาดนี้ ที่จริงแล้วคุณอยากสื่ออะไรกันแน่?” ตู้หลิงเซวียนเอามือไปค้ำบนขอบหน้าต่าง และมองไปยังเขาตรงๆ
“คุณตู้ คุณแทงข้างหลังคนอื่นเก่งจริงๆ เวลาเข้างานพี่สะใภ้ของผม ทางที่เธอต้องผ่าน อีกทั้งประวัติการแข่งรถของเธอ คุณรู้หมดเลย และให้บทเรียนหนักกับเธอเหมือนกัน”
เกาจิ่งอานขับรถแบบป่าเถื่อน คำพูดประชดเหมือนกับล้อเล่นเช่นนั้น
คิ้วของตู้หลิงเซวียนเลิกขึ้นมา “ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่”
เกาจิ่งอานด่าบรรพบุรุษของเขาในใจ “ฟังไม่รู้เรื่องเหรอ? ไม่เป็นไร อีกสักพักคุณจะเข้าใจเอง
ตู้หลิงเซวียนเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะยกนิ้วชี้ขึ้นมานวดขมับของตนไปมา “ลักพาตัวผม?”
“เหอะๆ! อย่าใส่ร้ายผมแบบนั้น ผมแค่อยากจะเชิญคุณตู้ไปชมวิวเที่ยวเล่นเท่านั้นเอง!”
ตู้หลิงเซวียนยิ่งเดาไม่ถูกเข้าไปใหญ่ว่าเขากำลังวางแผนอะไร เมื่อเห็นว่ารถเริ่มขับเข้าไปในตัวเมืองแล้ว “เกาจิ่งอาน คุณสงสัยว่าผมจัดการ แอนน่า?”
เกาจิ่งอานเอ่ยด้วยท่าทางสบายๆ “ผมพูดแล้วเหรอ? ผมยังไม่ทันพูดเลย คุณพูดของคุณเอง”
ตู้หลิงเซวียนหัวเราะเหอะๆออกมา “อยากจะใช้แผนเดิมอีกครั้ง? ให้พูดคำสารภาพปลอมๆ ออกมา?”
รถของเกาจิ่งอานหยุดลงอย่างรวดเร็ว ไม่มีแม้แต่การชะลอ ตู้หลิงเซวียนเกือบกระแทกเข้าให้
“ประธานตู้ มาถึงแล้ว”
ที่นี่เป็นห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองนิวยอร์กแห่งหนึ่ง
ตู้หลิงเซวียนรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา “คุณพาผมมาที่นี่ทำไม?”
เกาจิ่งอานคล้องไหล่ของเขาขึ้น “มาที่นี่จะทำอะไรได้อีก? กินเที่ยวเล่นช็อปปิ้งน่ะสิ!”
ตู้หลิงเซวียนเริ่มเกิดความระวังตัวขึ้นมา “ไม่ต้องไปกินเที่ยวช็อปปิ้งหรอก ประธานเกาไปสนุกคนเดียวเถอะ”
เกาจิ่งอานใช้แรงกดไหล่ของเขาลง “ประธานตู้ ในเมื่อมาถึงแล้ว จะขึ้นไปนั่งเล่นสักหน่อยคงไม่เสียหาย”
ลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นสูงสุด เกาจิ่งอานพูดจาหยอกล้อไปตลอดทาง ก่อนจะเดินไปจนถึงห้องสโมสรเดี่ยวส่วนตัว เขาเอ่ยประโยบาร์ขึ้น “ประธานตู้ เชิญเข้าข้างใน”
ตู้หลิงเซวียนเผยสีหน้าแสดงความระแวงขึ้นมา “เกา……”
“รีบเข้าไปสักทีเถอะ!”
เขายังไม่ทันพูดจบ เกาจิ่งอานก็ใช้เท้าถีบเขาเข้าไป ก่อนจะทำให้ตู้หลิงเซวียนถูกผลักเข้าไปด้านใน
กริ๊ก!
ประตูถูกลงกลอนทันที
ตู้หลิงเซวียนขมวดคิ้วแน่น “เกาจิ่งอาน คุณทำอะไร! เปิดประตู!”
เกาจิ่งอานใช้หลังแนบกับประตู ก่อนจะผิวปากขึ้นมา “ตู้หลิงเซวียน ออกมาต้องชดใช้อยู่ดี ผมสามารถรับปากกับคุณได้ว่าที่แห่งนี้ถูกผมจองไว้แล้ว ไม่มีคนมาช่วยคุณแน่”
ตู้หลิงเซวียนหยิบมือถือขึ้นมา ก่อนจะเห็นมาไม่มีสัญญาณแม้แต่ขีดเดียว
“อ้อ ขอเตือนคุณอีกประโยค สัญญาณเน็ตและช่องทางการติดต่อถูกตัดขาดหมดแล้ว เหอะๆ คุณหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปตัวเองเถอะ!” เกาจิ่งอานแอบยกนิ้วชื่นชมในความฉลาดของตนอยู่ในใจ
“ไปตายซะ! เกาจิ่งอาน แบบนี้มันเป็นการกักขังแบบผิดกฎหมาย!” ตู้หลิงเซวียนใช้แรงในการดันประตูออกมา ขอบประตูมีเสียงดังกึกกักขึ้น
เกาจิ่งอานแลบลิ้นอย่างไม่ใส่ใจ “เก็บแรงไว้รอพรรคพวกของตนเถอะ มาพูดกับผมนั้นไร้ประโยชน์เปล่าๆ”
ตู้หลิงเซวียนทิ้งโทรศัพท์ออกไป ก่อนจะนั่งลงบนโซฟา “คุณทำแบบนี้ เพราะจะช่วยแอนน่าเรื่องการขึ้นศาล? บังคับให้ผมเป็นพยาน?”
เกาจิ่งอานพยักหน้าอยู่ด้านนอกประตู “ตู้หลิงเซวียน สมองของนายยังใช้ได้อยู่หนิ”
ตู้หลิงเซวียนหัวเราะสมเพชขึ้นมา
“นายบอกอิสซาว่าพี่สะใภ้แข่งรถเป็น คำนวณเวลาและสถานที่ไว้แล้ว ก่อนจะจัดการคนไข้ที่มีสภาพหนักมาไว้ ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่แท้จริงแล้วเป็นแผนของนาย ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
รอยยิ้มของตู้หลิงเซวียนเริ่มแข็งทื่อขึ้นมา
“แต่ว่านายคำนวณผิดไปอย่างหนึ่ง พี่ใหญ่ของผมไม่โง่!”
ตู้หลิงเซวียนกำมือแน่น “เกาจิ่งอาน คุณจะขังผมไว้แบบนี้เหรอ?”
“วางใจเถอะ อาหารสามมื้อไม่ขาด เลี้ยงไม่กี่วันต้องอ้วนขึ้นแน่นอน!” เกาจิ่งอานพูดประชดออกมา
“เกาจิ่งอาน!”
“จะตะโกนเสียงดังไปทำไม? ผมได้ยินชัดอยู่แล้ว” เกาจิ่งอานทำเป็นแคะหูขึ้นมา
ตู้หลิงเซวียน:“……”
คนสารเลวคนนี้!
จัดการเรื่องกักขังตู้หลิงเซวียนไปอย่างราบรื่น ก่อนจะรายงานสถานการณ์ให้กับหลงเซียวฟัง
“พี่ใหญ่ ตู้หลิงเซวียนถูกผมจับไว้แล้ว ผมยังต้องคอยดูแลเขาอยู่ไหม?” เกาจิ่งอานกำลังนึกถึงแซ่ ไม้ขนไก่ เหล็กความร้อน โซ่กุญแจข้อมือ และของเล่นต่างๆมากมาย
“แล้วแต่นาย อย่าทำให้ถึงตายก็พอ” หลงเซียวตอบข้อความกลับมาอย่างรวดเร็วผิดปกติ