ตอนที่ 946 สงครามระหว่างสวรรค์และมนุษย์
เมื่อลั่วหานและหลงเซียวได้รับแจ้งทางโทรศัพท์ ทั้งสองต่างรีบมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาล
ลั่วหานตรงดิ่งไปยังห้องฉุกเฉิน เธอเห็นว่าหลงเซียวรออยู่ด้านนอกแล้ว
“แม่เป็นอย่างไรบ้าง? หมอมาหรือยัง?”
นัยน์ตาลึกของหลงเซียวเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย เส้นเลือดฝอยปรากฏชัดบนตาขาวของเขา “ เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปแล้ว”
ประโยคที่แสนเรียบง่าย แต่กลับทำให้ลั่วหานชาไปทั้งร่าง เธอหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง “สิ่งที่น่ากังวลที่สุดยังคงเกิดขึ้น”
ทางเดินของห้องฉุกเฉินเงียบสงัด แสงยามเย็นสาดส่องผ่านบานหน้าต่าง ตกกระทบลงบนใบหน้าของทั้งสอง
ในขณะที่รอ โทรศัพท์มือถือของหลงเซียวก็ดังขึ้น
“บอสครับ สถานที่ถูกจัดเตรียมพร้อมแล้ว บอสพอมีเวลาว่างมาตรวจด้วยตัวเองได้เมื่อไหร่ครับ?”
หากเจ้านายของเขายังไม่อนุญาต จี้ตงหมิงก็ไม่กล้าที่จะเซ็นข้อตกลงกับทีมก่อสร้างด้วยตัวเอง เขาจึงโทรศัพท์มาเพื่อสอบถามเจ้านายของเขาก่อน
หลงเซียวใช้มือข้างหนึ่งทาบหน้าผาก “ส่งรูปสถานที่มาให้ฉัน”
จี้ตงหมิงรู้ได้ทันทีว่าหลงเซียวจะไม่เข้ามาดูสถานที่ด้วยตนเอง “ได้ครับ ผมจะส่งภาพไปที่โทรศัพท์ของบอสทันที”
ลั่วหานตาแดงก่ำ “เรื่องนิทรรศการในหางโจวหรือ?”
หลงเซียวเปิดดูภาพถ่าย “ใช่ ตกแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
ลั่วหานและหลงเซียวตรวจดูภาพถ่ายทุกภาพโดยละเอียด ทั้งแสงในโถงนิทรรศการ ฉากหลัง วอลล์เปเปอร์ กรอบรูปภาพ รวมถึงโซฟาและเครื่องดื่ม สำหรับแขก ทั้งหมดนี้ล้วนผ่านสายตาของพวกเขาเองทั้งหมด
“อาหมิงทำงานรอบคอบมาก ฉันคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร คุณจะไปดูด้วยตัวเองหรือเปล่า?” ลั่วหานกล่าวหลังจากตรวจเช็กเรียบร้อยแล้ว
“รอแม่ฟื้นขึ้นมาก่อน ผมจะไปที่นั่นด้วยตัวเอง ไปและกลับวันนั้นเลย”
รูปที่ส่งมาก็ดูดีพอใช้ได้ แต่ยังต้องไปสัมผัสบรรยากาศของสถานที่จริงด้วยตนเอง
“ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยดี ก็สามารถจัดส่งผลงานทั้งหมดไปยังหางโจวได้…แต่พวกเรายังไม่รู้ว่าแม่จะออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่” สิ่งที่ลั่วหานกังวลมากที่สุดคือสุขภาพของหยวนชูเฟิน เธอจะไปต่อไหวไหม?
หลงเซียวยกมือของลั่วหานขึ้นมาแตะบนริมฝีปากเขา “เธอจะต้องไหว”
สามชั่วโมงอันแสนยาวนานได้ผ่านไป ในที่สุดประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก
ร่างของหยวนชูเฟินถูกเข็นออกมาด้วยใบหน้าซีดเซียว ใบหน้าที่ซูบผอมทำให้เธอดูชราขึ้นหลายปี กลุ่มผมสีดำของเธอมีเส้นผมสีขาวขึ้นแซม
“คุณหลง หมอฉู่ เซลล์มะเร็งของคุณนายแพร่กระจายไปแล้ว อาการเป็นลมหมดสติในวันนี้เป็นผลจากการกดทับของสมอง ตอนนี้ยังไม่มีอะไรร้ายแรง แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังให้มากขึ้น”
ผู้อำนวยการแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านมะเร็งวิทยาเข้ามาเฝ้าดูอาการด้วยตนเอง เขาเป็นตัวแทนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษามะเร็งที่เก่งที่สุดของโรงพยาบาลหวาเซี่ย
ลั่วหานเข้าใจความหมายของเขา “ขอบคุณค่ะ ผู้อำนวยการหวัง”
——
“อาการของหยวนชูเฟินไม่น่ารอด เวรกรรมของฉู่ลั่วหานและหลงเซียวคืนสนองพวกเขาเร็วจริงเชียว!”
เจิ้งซินยกไวน์แดงขึ้นจิบ แสงเงาวับของแก้วไวน์สะท้อนเข้ากับตู้หลิงเซวียน
ตู้หลิงเซวียนขยับแว่นบนจมูกของเขา “หยวนชูเฟินอาการหนัก หลงเซียวคงงานล้นมือ นี่คือโอกาสของพวกเราแล้ว”
เจิ้งซินหัวเราะอย่างเยือกเย็น “คดีรื้อถอนที่เจียงเฉิงจะสิ้นสุดลงในสองวันนี้ ในงานประมูล พ่อของฉันจะพยายามทุกทางเพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะชนะการประมูล”
ตู้หลิงเซวียนยกมุมปาก และดวงตาลึกล้ำของเขามองผ่านไปยังด้านนอกหน้าต่างที่เป็นเวลากลางคืน “คุณเจิ้งถือเป็นคนสำคัญของผม ผมขอดื่มอวยพรให้คุณ”
ใบหน้าของเจิ้งซินแดงระเรื่อ เมื่ออยู่ต่อหน้าตู้หลิงเซวียน ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ ทำให้เธอเกิดรู้สึกประหม่าเล็กน้อย ให้ความรู้สึกราวกับความมืดมัวของยามค่ำคืนที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้าสู่กระดูกดำ “คุณก็เช่นกัน”
เสียงกังวานของแก้วที่กระทบกัน
ดวงตาของตู้หลิงเซวียนที่อยู่เหนือแก้วไวน์ จับจ้องไปที่ท่าทางของเจิ้งซิน
“พ่อของผมอาการดีขึ้นแล้ว จะได้ออกจากโรงพยาบาลในอีกไม่กี่วันนี้ โชคดีที่ผมได้ทราบข่าวเกี่ยวกับอาการของหยวนชูเฟินก่อนที่พ่อของผมจะออกจากโรงพยาบาล ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะอยู่ข้างเรานะ”
เจิ้งซินจิบไวน์แดงอย่างเชื่องช้า ของเหลวสีแดงสดไหลผ่านปลายลิ้นของเขา สัมผัสเย็นของไวน์วิ่งลามลงไปสู่กระเพาะ
นัยน์ตาสีดำของตู้หลิงเซวียนหันมองออกไปทางนอกหน้าต่าง “หมากรุกเกมนี้ ช่างน่าตื่นเต้นเสียจริง”
“พวกเราจะจับตาดู”
วันรุ่งขึ้น โรงพยาบาลหวาเซี่ย
เนื่องจากเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ หลงจื๋อออกไปโรงพยาบาลทันทีหลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เขานั่งอยู่ในห้องพักผู้ป่วยของหลงถิงได้สักพัก ก็ได้ทราบข่าวจากแพทย์ผู้ดูแลอาการของหยวนชูเฟิน ว่าอาการของเธอนั้นเข้าขั้นวิกฤติ ตอนนี้เธอพักอยู่ที่ห้องพักผู้ป่วยพิเศษ
หลงเจ๋อวิ่งปรี่ไปยังห้องพักผู้ป่วยพิเศษที่สุดขอบทางเดิน
หลงเซียวและลั่วหานอยู่เฝ้าอาการของหยวนชูเฟินทั้งคืน พวกเขาแทบไม่ได้นอน ผ่านไปหนึ่งคืนเต็ม ๆ แต่หยวนชูเฟินก็ยังไม่ฟื้นขึ้น
“พี่ชายใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ แม่อาการดีขึ้นหรือยัง”
หลงจื๋อเปิดประตูเข้าไปอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นหยวนชูเฟินที่นอนไม่ได้สติ ทำให้ใจเขาอ่อนยวบ
แม่ที่นอนไม่ได้สติ และพ่อที่อยู่ในอาการโคม่า ทั้งสองมีความคล้ายคลึงกันอย่างน่าประหลาด
“แม่ยังไม่ได้สติ พ้นขีดอันตรายแล้ว แค่ต้องรออีกสักพัก” สิบสองชั่วโมงอันยากลำบากได้ผ่านไปแล้ว ลั่วหานถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หลงเซียวพยักหน้า เขาไม่ตอบอะไร
หลงจื๋อเดินไปดูหยวนชูเฟิน “แม่ รีบตื่นขึ้นมาเร็ว แม่บอกว่าแม่จะจัดงานแต่งงานให้ผมกับซีเหวิน เวลาได้ถูกกำหนดไว้หมดแล้ว แม่จะผิดนัดไม่ได้นะครับ”
“กำหนดไว้แล้ว?” ลั่วหานยังไม่ทราบข่าว
หลงจื๋อเกาผม รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “เจมส์จัดการให้หมดทุกอย่าง เขาบอกว่า เขาทำตามแผนที่แม่บอกไว้หมดทุกอย่าง และยังปิดเรื่องนี้เป็นความลับ ไม่ให้ผมและซีเหวินรู้”
เจมส์?
ไม่อยากเชื่อว่าผู้ชายคนนี้จะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้
ทั้งสามคนได้พูดคุยกันที่นี่ ในที่สุดบรรยากาศก็ผ่อนคลายลง
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือดังแทรกเข้ามาระหว่างการสนทนา หลงจื๋อก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมา เป็นสายโทรศัพท์ของแพทย์ที่รักษาพ่อ “ว่าอย่างไรครับ”
เขาก็เพิ่งจะออกมาจากห้องของหลงถิง ทำไมจู่ ๆ หมอถึงโทรมาเลยล่ะ?
“คุณชายรองหลง ท่านประธานฟื้นแล้ว” น้ำเสียงของผู้คนที่นั่นดูตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
ทันทีที่ทราบข่าว หลงจื๋อรีบผุดลุกขึ้น!
“ฟื้นแล้วเหรอ!! ผมจะรีบไปทันที!”
หลงจื๋อตื่นเต้นจนเกือบทิ้งโทรศัพท์ในมือ เขาคลี่ยิ้มกว้าง “พี่ชายใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ พ่อฟื้นแล้ว! ท่านฟื้นแล้ว!”
ลั่วหานและหลงเซียวมองหน้ากัน และหันกลับไปมองที่หลงจื๋อ “รีบไปดูเร็ว”
“งั้นผมไปก่อนนะครับ!”
หลงจื๋อรีบสาวเท้าไปยังห้องพักผู้ป่วยของหลงถิงที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม ส่วนทางด้านนี้ก็เกิดความเงียบเข้าปกคลุม
หลังจากนั้นไม่นาน ลั่วหานจึงพูดขึ้นว่า “ในที่สุดคดีนี้ก็สามารถดำเนินต่อได้”
หลงเซียวมองไปยังหยวนชูเฟินด้วยความรู้สึกอันแสนลึกซึ้ง กอบกุมมือเธอไว้ในฝ่ามือทั้งสองข้างของเขา “หวังว่าแม่ของผมจะได้รู้ความจริงทั้งหมด เธอจะได้จากไปโดยที่ไม่มีอะไรค้างคาใจ”
ข่าวเรื่องการฟื้นขึ้นจากอาการโคม่าของหลงถิงกระจายออกไปอย่างรวด ไม่นานข่าวนี้ก็แพร่ไปถึงสื่อมวลชน เรื่องนี้ถูกนำไปพาดหัวข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ชั้นนำหลายแห่ง การฟื้นขึ้นจากอาการโคม่าของหลงถิง ทำให้ตลาดหุ้นเกิดความปั่นป่วน
อย่างไรก็ตามบริษัท MBK ที่อยู่ภายใต้การบริหารของหลงเซียวค่อนข้างที่จะมั่นคง ทำให้ตลาดหุ้นเกิดความผันผวนเพียงแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ และกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
สถานีตำรวจเมืองหลวง
“ฟื้นแล้วหรือ?!”
เจิ้งซิ่วหยาผุดลุกขึ้นโดยไม่ทันระวัง เธอชนเข้ากับแก้วน้ำที่วางอยู่ขอบโต๊ะ ทำให้แก้วล้มกลิ้งลงบนพื้น แต่ที่น่าแปลกเพราะแก้วที่ตกนั้นกลับไม่มีเศษแก้วแตกกระจายออกมา
เมื่อเฉินเจาเห็นเธอตื่นเต้นแบบนั้น เขายิ้มขึ้นพร้อมกับเขี่ยผงบุหรี่ลง “ในที่สุดคดีลึกลับที่มีอายุกว่า30ปีก็กำลังจะถูกคลี่คลาย ดูเหมือนว่าคุณจะดีใจนะ”
เจิ้งซิ่วหยากัดปากของเธอ ริมฝีปากบางกดเป็นเส้น
ใช่ไหม?
ถ้าเป็นเมื่อก่อน หากเธอได้ข่าวว่าหลงถิงฟื้นขึ้น และสามารถสืบสวนคดีต่อไปได้ เธอคงจะเดินทางไปยังหวาเซี่ยในทันที เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงแต่ตอนนี้ เธอไม่สามารถพูดได้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร
เทวาและซาตานกำลังต่อสู้กันอยู่ภายในใจของเธออย่างไม่ลดละ จนกว่าจะมีใครตายไปข้างหนึ่ง
เธอไม่ต้องการให้พ่อของถังจิ้นเหยียนต้องกลายเป็นฝ่ายชนะหรือฝ่ายแพ้
แต่ในฐานะตำรวจ เธอต้องดำรงซึ่งความยุติธรรม
“โอ้ แก้วนี้เป็นของใคร? ไม่ใช้แล้ว?”
ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามา ก้มหยิบแก้วน้ำที่ตกอยู่ขึ้นมา และเช็ดคราบน้ำบนมือออก
เจิ้งซิ่วหยาหันหน้ากลับไปเห็นโจวจั่นกำลังเดินมา “ทำไมนายถึงมาที่นี่?”
โจวจั่นยืดเส้นยืดสาย “อยู่บ้านเบื่อ ๆ เลยออกมาทำงาน!”
เฉินเจาบีบนวดไหล่ของเขา “กล้ามเนื้อคลายนิดหน่อย ต้องฝึกให้หนักขึ้นแล้ว!”
“ครับ หัวหน้า ผมซื้อดัมเบลขนาด 25 กิโลกรัมมาสี่ตัว”
เจิ้งซิ่วหยาเบ้ปาก “ พักผ่อนอีกสักหน่อยเถอะ ถ้าคราวนี้เจ็บตัวมาฉันจะไม่รับผิดชอบนะ”
โจวจั่นพยายามลืมคำพูดอันน่าขายหน้าที่ตนเองเคยพูดก่อนที่จะ “ตาย” และพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้สิ! คุณเป็นเจ้านายของผม คุณต้องรับผิดชอบผม!”
“ไสหัวไป!”
เฉินเจาพูดอย่างไม่อ้อมค้อม “ศาลได้ดำเนินการแล้ว”
เจิ้งซิ่วหยาปวดหัวตุบ ๆ สวรรค์และมนุษย์กำลังตีกันยุ่งเหยิงอยู่ภายในนั้น
——
“แม่ของลูกล่ะ?”
เมื่อหลงถิงฟื้นคืนสติ สิ่งแรกที่เขานึกถึงคือหยวนชูเฟิน
หลงจื๋อตักโจ๊กข้าวนุ่ม ๆ แล้วยื่นไปป้อนพ่อของเขา “พ่อ พ่อกินข้าวก่อน ให้ร่างกายแข็งแรงแล้วค่อยไปหาแม่”
หลงถิงไม่สนใจ “บอกมา แม่ของลูกอยู่ไหน? เธอสุขภาพไม่ค่อยดี ตอนที่ฉันนอนไม่ได้สติ เธอไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม?”
เห็นได้ชัดว่าหลงจื๋อไม่สามารถโกหกพ่อของเขาได้ หลังจากลังเลสักพัก เขาก็สารภาพออกมาหมดเปลือก “แม่หมดสติไป”
“พาพ่อไปหาแม่” หลงถิงผลักโจ๊กในมือของหลงจื๋อทิ้ง และพยายามยันตัวลุกขึ้น ความเจ็บปวดแล่นแปลบขึ้น เหงื่อเกาะขึ้นตามหน้าผากของเขา
“พ่ออย่าขยับ! ผมจะไปเอารถเข็นมาให้! อย่าเพิ่งขยับ! เดี๋ยวผมจะพาพ่อไป!”
หลงจื๋อและหมอช่วยกันพยุงหลงถิงขึ้นนั่งรถเข็น ขณะที่เขาก้มศีรษะลง หลงเจ๋อก็เห็นผมสีขาวบนศีรษะของบิดา
รู้สึกปวดแปลบที่หัวใจ
“พ่อครับ ตอนนี้แม่ยังไม่ฟื้นนะครับ พ่อไม่ต้องรีบ ตอนนี้พวกเราจะไปหาแม่กันครับ”
ห้องพักผู้ป่วยของหยวนชูเฟินอยู่ไม่ไกล อยู่บริเวณชั้นเดียวกัน เมื่อรถเข็นของหลงถิงขยับเข้าใกล้ ยังไม่ทันได้เปิดประตู เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากด้านใน
ลั่วหานและหลงเซียวอยู่เฝ้าหยวนชูเฟินด้านใน ดูเหมือนว่าหยวนชูเฟินจะตื่นแล้ว
“พ่อ พ่อจะเข้าไปตอนนี้ไหม?” ชั่วขณะนั้นเอง หลงจื๋อกลับรู้สึกเหมือนเขาและหลงถิงได้กลายเป็นคนนอก เพียงแค่บานประตูกั้น กลับแบ่งแยกออกครอบครัวเป็นสองส่วน
หลงถิงถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม “ เธอ…คงไม่อยากเจอพ่อ”
หลงจื๋อรู้สึกเจ็บแปลบในใจ “ อุตส่าห์มากันแล้ว เข้าไปกันเถอะ พี่ชายใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ว่าอะไรพ่อหรอก”
มือที่อ่อนเปลี้ยของหลงถิง กำแน่นบนหัวเข่าของเขาอยู่เป็นเวลานาน โดยไม่ได้คลายออก “พ่อ…ก็ได้ เข้าไปดูหน่อย”
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขากำลังทำให้ตัวเองอับอาย แต่เขาก็ยังอยากจะเข้าไปดูเธอสักหน่อย
บางทีหากไม่รีบเข้าไปดูเธอตอนนี้ วันข้างหน้าเขาอาจจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีก
เมื่อหลงถิงนึกได้เช่นนี้ ความรู้สึกเจ็บปวดก็เอ่อล้น
หลงจื๋อเตรียมตัวที่จะเคาะประตูอย่างมีความสุข แต่ทันทีที่มือของเขาแตะลงบนประตู ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลังโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว —-
“คุณหลงถิง ที่แท้คุณก็อยู่ที่นี่เอง”
เมื่อทั้งสองหันกลับไป ก็เห็นคนจากชั้นศาล
หลงถิงขมวดคิ้ว “ พวกคุณรู้ข่าวเร็วจริง!”
“คุณหลงถิง คดีค่อนข้างวุ่นวาย พวกเขาเพียงแค่อยากขอรบกวนคุณสักครู่ และหวังว่าคุณจะให้ความร่วมมือ”
หลงจื๋อวางมือลง พูดด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ “สหาย พ่อเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา พวกคุณก็มาหาพวกเราเลยแบบนี้ ไม่เสียมารยาทไปหน่อยเหรอ!”
“ขอโทษครับคุณชายรอง แต่ศาลได้กำหนดไว้ว่า จะต้องติดต่อคู่กรณีโดยเร็วที่สุด”
ใบหน้าของหลงถิงเรียบเฉย เขามองไปยังประตูที่ไม่ได้ถูกเปิดออกด้วยความอาวรณ์ ราวกับว่าประตูบางอย่างในใจของเขาก็ปิดลงไปด้วยเช่นกัน
“ไม่มีปัญหา ผมจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่”