บทที่ 1107 อืม เยี่ยมทีเดียว
ณ ด้านหลังเวที
พิธีกรสาวมองดูสคริปต์ที่อยู่ในมือและทำท่าทางตกตะลึง
“การแสดงลำดับต่อไป…… ทำไมยังไม่ได้บทอีก ก่อนที่งานจะเริ่ม แอนดี้บอกว่าจะเขียนให้ เพลงใกล้จะร้องจบอยู่แล้วเนี่ย”
พิธีกรสาวเปิดสมุดสคริปต์ไปมา อีกทั้งยังลากแอนดี้มาถาม
แอนดี้ยักไหล่แล้วพูดว่า “การแสดงต่อไปไม่ต้องแจ้งชื่อ พวกคุณรอดูก็พอแล้ว”
“ไม่ต้องอย่างนั้นเหรอ? ใครกัน?”
เมื่อสักครู่พิธีกรสาวมองไปรอบๆก็ไม่พบว่ามีแขกรับเชิญปริศนาคนไหน นอกจากรายชื่อนักร้องนักแสดงที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นล้วนอยู่ในสคริปต์ต์ของเธอ
“หากอีกสักครู่แขกรับเชิญผู้นั้นไม่ขึ้นมาบนเวทีแล้วพวกเราจะทำอย่างไร?”
“วางใจเถอะ แขกผู้รับเชิญคนนี้พวกคุณไม่จำเป็นต้องกังวลไป”
แม้ว่าแอนดี้จะพูดออกมาแบบนั้นแต่ตัวเธอเองก็กังวลไม่น้อย เนื่องจากตั้งแต่แรกจนบัดนี้เธอยังไม่เห็นคุณชายเซียวและก็ยังไม่เห็นจี้ตงหมิงเลย
ตามสถานการณ์ปกตินั้น จี้ตงหมิงจะอยู่ข้างกายคุณชายเซียว แล้วจะรายงานการเคลื่อนไหวของท่านประธานกับเธอตลอด เพื่อให้มั่นใจว่าสถานการณ์จะดำเนินไปอย่างราบรื่น
ที่แปลกไปกว่านั้นก็คือ ไม่รู้ว่าจี้ตงหมิงกำลังทำอะไรอยู่ไม่เห็นแม้แต่เงา
“คุณแอนดี้คะ คุณไม่ได้กำลังโกหกพวกเราใช่ไหม สถานการณ์แบบนี้จะเอามาล้อเล่นกันไม่ได้ง่ายๆนะคะ ถ้าหากไม่มีแขกขึ้นมาบนเวที ก็จะทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะเอาเปล่า” พิธีกรสาวกัดฟันถาม
การแสดงบนเวทีใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว หากยังไม่สามารถแน่ใจได้ว่าคนที่แสดงต่อไปเป็นใคร คงจะถูกหัวเราะเยาะ
“เดี๋ยวนะ ฉันขอโทรศัพท์ก่อน”
เมื่อสักครู่เธอโทรศัพท์ไปหาจี้ตงหมิง แต่ไม่มีคนรับสายอีกทั้งต่อมาก็โทรไม่ติดอีกแล้ว
“บ้าเอ้ย!”
โทรศัพท์ของจี้ตงหมิงถูกกระแทกจนพัง และไม่สามารถใช้งานได้โดยที่เขาก็ไม่รู้ตัว
เมื่อไฟบนเวทีดับลงเพลงนั้นก็ค่อยๆหยุด
ท่ามกลางความมืด โทรศัพท์ของโจวโร่หลินก็ดังขึ้น
เกาจิ่งอาน “ที่รักครับผม อยู่หน้าอาคารแล้วคุณอยู่ตรงไหนผมจะไปหา?”
โจวโร่หลินหันหลังกลับไปมองตรงทางเข้า ขนมที่วางอยู่บนขาของเธอตกลงยังพื้น “อะไรนะคะ?คุณมาได้ยังไง ไหนบอกว่าคืนนี้มีประชุมกะทันหัน?”
เกาจิ่งอานทำท่าทางเก่งกาจใส่กระจกเงาด้วยแววตาอันเหมือนมีไฟฟ้าแผ่ออกมาของเขาพูดว่า “บริษัทของพี่ผมจัดงานเลี้ยงประจำปีทั้งทีอีกอย่างคุณก็อยู่ที่นี่ ผมจะไม่มาได้ยังไง คุณอยู่ตรงไหนผมกำลังจะเข้าไปแล้ว”
“เอ่อ คือ ฉันอยู่ตรงโซน B แถวที่ 6 เลขที่ 4 แต่ว่าตรงนี้ไม่มีที่ว่างนะ”
คนในฝ่ายการเงินจัดรวมอยู่ในที่เดียวกัน ที่นี่ไม่มีที่ว่างแม้แต่ที่เดียว ต่อให้เขามาตรงนี้ก็ไม่มีที่นั่งอยู่ดี
เกาจิ่งอานไม่รู้หรือไงว่าจะมีคนมาเข้าร่วมงานมากขนาดนี้?
“ไม่เป็นไรครับรอผมแป๊บหนึ่ง”
“เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณเข้ามาได้เหรอ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรวจสอบอย่างเคร่งครัด จะต้องมีการ์ดเชิญและบัตรพนักงานของพวกเรา แต่คุณไม่มีอะไรเลย” โจวโร่หลินกังวลว่าจะออกไปรับเขาได้ยังไง
เกาจิ่งอานจับเซ็ททรงผมด้วยมือข้างหนึ่ง “จะต้องใช้การ์ดเชิญอะไรกัน ใบหน้าผู้ชายของคุณคนนี้ก็คือบัตรเชิญ ที่รักรอผมนะครับ”
โจวโร่หลิน “……”
แม้แต่การกระทำอันหน้าด้านแบบนี้ก็ยังหล่อเหลา คาดว่าคงมีแต่ผู้ชายของเธอเท่านั้นแหละที่ทำได้
แน่นอนว่าการที่เกาจิ่งอานจะเข้ามา เขาไม่ต้องใช้บัตรเชิญอะไรหรอก เนื่องจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหมดก็รู้จักเขา
“ประธานเกาครับ ทางเจ้าหน้าที่กำชับเอาไว้ ที่นั่งของคุณอยู่ในโซน VIP กรุณาถือบัตรของท่านไว้ให้ดี”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้เตรียมบัตรเชิญเอาไว้ให้เขาแล้วและยื่นให้
เกาจิ่งอานเป็นแขกผู้มีเกียรติพิเศษ เขาได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี แต่เมื่อเกาจิ่งอานมองดูบัตรนั้นแล้วเขาก็ใส่มันไว้ในกระเป๋าของชุดสูท
ในขณะที่ไฟยังไม่เปิด ดังนั้นการที่เกาจิ่งอานปรากฏตัวขึ้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาใครเท่าไหร่ อีกทั้งที่นั่งที่จัดเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ไม่นานเกาจิ่งอานก็มองหาเธอเจอ
“โร่หลิน ผมมาแล้ว”
เกาจิ่งอานแทรกตัวเข้ามาราวกับลูกแมว ในท่ามกลางความมืดเช่นนี้มองเห็นแต่ดวงตาของเขาเท่านั้นที่เป็นประกาย แต่ก็ยังมองออกว่าเขากำลังยิ้ม
โจวโร่หลินอ้าปากค้าง “เร็วจังเลยคะ?”
เกาจิ่งอานกุมมือของเธอแล้วพูดว่า “ผู้ชายของคุณทำอะไร รับรองว่ามีประสิทธิภาพรวดเร็ว”
เนื่องจากว่าตรงข้างๆไม่มีที่ว่างอยู่ ดังนั้นเกาจิ่งอานจึงทำได้เพียงนั่งยองๆ แต่เขาค่อนข้างสูง แม้นั่งยองๆก็มองเห็น
“คุณ…… จะไม่นั่งยองแบบนี้ใช่ไหม?”
โจวโร่หลินมองไปซ้ายขวาแต่ก็ไม่มีที่ว่างอยู่เลย
เกาจิ่งอานยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ท่ามกลางความมืด มือของเขาทั้งสองข้างยื่นออกไปแล้วอุ้มโจวโร่หลินขึ้นมา จากนั้นเขารีบนั่งแทนที่แล้วโอบเอวโจวโร่หลินเอาไว้ ให้เธอนั่งลงบนตักของตน
“คุณทำอะไรคะ?!”
โจวโร่หลินนั่งอยู่บนขาของเขา ทำให้เธอสูงขึ้นอีกหน่อย ซึ่งเป็นที่จุดสนใจของบรรดาคนอื่นๆด้วยสัดส่วนที่สูงเกินไป
เกาจิ่งอานยิ้มจนตาหยี เขายังโอบไปที่เอวของเธอไม่ยอมปล่อย “ดูการแสดงไปเถอะน่า”
“ดูอะไรล่ะคะ! ทุกคนกำลังมองพวกเราอยู่ คุณปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะให้ฉันลงไป”
สายตาของคนในแผนกการเงินจับจ้องมาที่พวกเขาทั้งสองคน หลายๆคนรู้ว่าโจวโร่หลินมีแฟนแล้ว แต่ไม่รู้ว่าแฟนของเธอคือเกาจิ่งอาน ดังนั้นจึงได้พูดเล่นว่า “โจวโร่หลิน ปกติแล้วเห็นเงียบๆ ถึงช่วงเวลาสำคัญก็หวานซึ้งเชียวนะ”
“แฟนเธอดีกับเธอจัง อีกสักพักพวกเธอสองคนต้องดังแน่”
สีหน้าของโจวโร่หลินเป็นกังวลขึ้นมาทันที เธอพยายามแกะมือของเกาจิ่งอานออก “คุณปล่อยเดี๋ยวนี้นะให้ฉันลงไป”
แต่เกาจิ่งอานดูเหมือนจะสนุก “ไม่ปล่อยครับ ถ้าคุณยังพูดอีกผมจะปิดปากคุณ”
โจวโร่หลินจึงได้ปิดปากนิ่งลง
การที่ถูกเขาอุ้มไว้ในอ้อมกอด และสายตาจากคนรอบข้างที่มองดูเหมือนอิจฉาเธอบอกตามตรงว่าเธอก็มีความสุข
แต่การที่นั่งอยู่บนขาของเขาไม่ค่อยสบายตัวนัก โจวโร่หลินจึงบิดไปบิดมาหาท่าที่นั่งสบายตัว
เกาจิ่งอานได้กลิ่นหอมจากผมของเธอ อีกทั้งร่างกายเธอที่ขยับไปมา ทำให้ร่างกายบางส่วนของเขาเกิดทำงานขึ้น……
เขากระซิบไปที่ข้างหูของเธอด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ว่า “ถ้าคุณยังขยับอีกผมจะพาคุณกลับบ้านเดี๋ยวนี้”
หน้าของโจวโร่หลินแดงเรื่อ เธอนั่งลงแล้วรู้สึกได้ว่าบางอย่างกำลังแข็งตัวและพองตัวขึ้น
ให้ตายสิ!
เพื่อนร่วมงานคนข้างๆเอามือกุมปากของตัวเองและอุทานว่า “พระเจ้า ท่านประธานเกา…… คุณ……!”
ในที่สุดก็มีคนจำได้!
เกาจิ่งอานจึงได้พยักหน้าและทักทายพวกเขา “สวัสดีครับ”
หลังจากนั้นก็มีเสียงกระซิบกระซาบกัน “แฟนของโร่หลินคือท่านประธานอึนเคอ โอ้มายก๊อด!”
“จริงเหรอ! ปกติแล้วเห็นเงียบๆ เป็นไปได้ยังไง?”
โจวโร่หลินถูกเกาจิ่งอานกอดเอาไว้ เธอหลังหันหน้าให้เขาแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เกาจิ่งอานสัมผัสไปที่มือของเธอและเล่นกับนิ้วมืออันเรียวงามของเธอ เขาตั้งใจสัมผัสไปแล้วทำท่าทางชวนพิสมัย
ทำให้บรรยากาศในงานนี้มีสีสันเข้าไปอีก
ท่ามกลางความเงียบ มือถือของหวังเค่ยก็ดังขึ้น จี้ตงหมิงใช้ระบบเครือข่ายไร้สายส่งข้อความให้เขา
“รีบมายังห้องแต่งหน้าหมายเลข 3 ต้องการความช่วยเหลือ ด่วน!”
……
เสียงบรรเลงเปียโนดังขึ้นท่ามกลางความมืดอย่างช้าๆ โน้ตดนตรีนั้นชัดเจนทุกโน๊ต นิ้วที่ไหลลื่นราวกับหยดน้ำค้างที่ร่วงหล่น เป็นเสียงดังก้องกังวานไม่รู้จบ
ดวงไฟที่ดับไป ค่อยๆสว่างขึ้นทีละดวง จากด้านข้างมาจนถึงตรงกลาง
เมื่อไฟสีขาวค่อยๆไล่ส่องมายังตรงกลางของเวที คนอื่นๆนั้นอาจจะยังมองไม่ชัดเจน
แต่ลั่วหานกลับตกตะลึง!
จากมุมมองที่ไกลออกไปเธอคล้ายกับเห็นเงาของคนที่บรรเลงเปียโนอยู่นั้น ร่างสูงใหญ่ในชุดสีดำเธอค่อนข้างแน่ใจว่าเป็นหลงเซียว
เมื่อช่วงIntroบรรเลงอยู่ 4 รอบ แสงไฟสีกุหลาบก็ส่องมายังหลงเซียว ล้อมรอบเขาและเปียโนสีขาว
หลังจากนั้นเมื่อไฟสีขาวส่องสว่างขึ้นเรื่อยๆ เวทีที่หมุนได้นั้นหันหน้าไปยังลั่วหาน
บรรดาช่างภาพกดนิ้วของตัวเองไปที่ชัตเตอร์ ในจอแสดงผลของพวกเขาปรากฏนิ้วเรียวงาม ทักษะการบรรเลงนั้นช่างคล่องแคล่ว
เพียงแค่เห็นมือคู่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้ชมใจละลาย
และเมื่อกล้องนั้นจับไปที่ใบหน้า
“พระเจ้า คุณชายเซียว! โอ้มายก๊อด เทพบุตรของฉัน!”
“เทพบุตร! เทพบุตร!”
“ใครรู้บ้างว่าคุณชายเซียวบรรเลงเพลงอะไร ฉันจะเรียน!ฉันจะเรียน!”
“อย่าพูดได้ไหม เงียบๆจะฟัง!”
แม้ด้านล่างเวทีจะส่งเสียงจอแจขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่นานต่อมาก็ถูกเสียงของเปียโนกลบเสียจนสิ้น แท่งไฟหลายพันแท่ง ส่องไปมาตามจังหวะ แสงไฟนั้นกลายเป็นคลื่นทะเล
ขนมในปากของหลินซีเหวินร่วงลงสู่พื้น เธอรีบเอามือไปดึงลั่วหาน “พี่ลั่วคะ พี่…… อย่าบอกนะว่าผู้ชายคนนั้นคือพี่ใหญ่!”
ลั่วหานเอามือลูบหัวตัวเอง “เขาเป็นสามีฉันเอง”
การแสดงที่เขาพูดถึงนั้นคือเปียโนนี่เอง
ไม่มีความคิดใหม่ๆเอาเสียเลย
แต่เธอก็ชอบมัน
เพลงนี้ เธอเคยบอกกับเขาว่าเธอชอบเพลงของบีโธเฟน คิดไม่ถึงว่าวันนี้เขาจะบรรเลงเพลงบีโธเฟนที่ชื่อว่า Ludwig van Beethoven
แม้จะมีคนอยู่ในที่มีจำนวนมาก แต่เธอรู้ดีว่าเขาบรรเลงเพลงนี้ให้กับเธอ
โจวโร่หลินเอามือจับไปที่มือของเกาจิ่งอาน “เพราะจังเลยค่ะ เทพบุตรของฉันบรรเลงเปียโนได้ไพเราะมาก ฉันรักพ่อเทพบุตรที่สุดเลย!”
มือของเกาจิ่งอานนั้นถูกเธอกุมจนแน่นเกินไป ทำให้เล็บของเธอจิกเข้าไปในผิวของเขา ……
“ชู่ว์ อย่าพูด สิคะ”
เกาจิ่งอาน “……”
ผมพูดอะไรอย่างนั้นเหรอ ผมเจ็บนะ!
แอนดี้พูดกับพิธีกรสาวอย่างมั่นใจว่า “เป็นยังไงล่ะ?ฉันไม่ได้หลอกพวกคุณใช่ไหม”
พิธีกรสาวยืนฟังเสีนจนใจลอย “เพราะ……เพราะมากเลยค่ะ หล่อและเท่กว่าพวกบรรดานักร้อง ที่ขึ้นมาเมื่อสักครู่อีก”
“ไม่ใช่แค่หล่ออย่างเดียวนะ ยังมีออร่าสยบทุกคนเลย” โดยปกติแล้วแอนดี้จะไม่ค่อยเอ่ยชมเจ้านายของเธอเท่าไหร่นัก
ว่าแต่น่าประหลาดใจจริงๆ จี้ตงหมิงไปอยู่ที่ไหนกัน?
……
“ผู้ช่วยจี้ครับ มีอะไรให้ผมช่วยไหม?”
หวังเค่ยไม่รอช้า เขารีบไปที่ด้านหลังเวทีและตรงไปยังห้องแต่งหน้า
เขาเห็นจี้ตงหมิงกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่กับคอมพิวเตอร์สองเครื่อง ไม่รู้ว้าวุ่นอะไรอยู่
“รีบมาแฮกเว็บนี้เร็วเข้า!”
จี้ตงหมิงยื่นคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งให้กับหวังเค่ย ด้านบนเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษบรรทัดหนึ่ง แปลความหมายได้ว่า “ฐานข้อมูลตระกูลCres”
“นี่คือ……” หวังเค่ยคิดว่าตัวเขาเข้าใจอะไรผิดไป
“ไม่ต้องพูดมาก แฮกเข้าไป” จี้ตงหมิงไม่อยากเสียเวลาอธิบาย
หวังเค่ยเคยได้ยินชื่อของCresมาก่อนและในฐานะผู้มีความสามารถด้านไอที เขาเองก็เคยแฮกข้อมูลส่วนตัวของคนในอิตาลี แต่จนบัดนี้เขาก็ไม่กล้าที่จะแฮกข้อมูลพวกคนใหญ่คนโต “ผู้ช่วยจี้ คุณไม่ได้เข้าใจผิดไปใช่ไหม?”
“เรื่องนี้สำคัญกับชีวิตคน ไม่ต้องถามอะไรมาก”
หวังเค่ยไม่ถามอะไรอีกต่อไปมือทั้งสองข้างของเขาพิมพ์เคาะลงไปยังคีย์บอร์ด เสียงคีย์บอร์ดดังก้องไปทั่วในห้อง “ผู้ช่วยจี้ เมื่อสักครู่ผมเห็นรูปคุณตำรวจเจิ้งซิ่วหยาอยู่บนคอมพิวเตอร์ด้วย เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ดำกินดำ”
นิ้วมือของหวังเค่ยไม่ได้ลดช้าลงแต่กลับเร็วขึ้น “เรื่องระหว่างพวกมาเฟียเหรอ?”
“ไม่ใช่ เป็นเรื่องระหว่างมาเฟียกับนักการเมืองในอังกฤษ เอาเป็นว่าเรื่องมันซับซ้อน รีบเข้าไปแฮกข้อมูลเร็ว”
“……” น้ำเสียงที่หวังเค่ยกำลังจะพูดออกมาในที่สุดก็หยุดไว้
จี้ตงหมิงพยายามฟังเนื้อหาสนทนาของฝ่ายนั้นโดยละเอียด และยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่าความอดทนของทั้งสองฝ่ายใกล้จะหมดแล้ว ตอนนี้ห่างจากการลงมือเพียงแค่เอื้อมเดียว
สีหน้าของเจิ้งซิ่วหยาที่ยืนอยู่ตรงนั้นราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่หากพิจารณาดูดีๆจะเห็นว่ามือของเธอข้างหนึ่งจับไปที่ปืนด้านหลัง มืออีกข้างหนึ่งสามารถปกป้องการโจมตีจากด้านหน้า
โจวจั่นที่อยู่ข้างๆ เขาไม่ได้ทำท่าทางปกปิดได้ดีเท่า แต่สายตาของเขานั้นก็จับจ้องไปยังจุดเป้าหมายที่จะยิง
จี้ตงหมิงกำมือแน่น เขากัดนิ้วชี้ของตัวเอง