บทที่ 1171 (ตอนจบ2) ร่วมกันก่อเรื่อง
ตึกMBK ชั้นสูงสุด
ส่วนรับแขกในห้องทำงานของหลงเซียวตอนนี้มีคนห้าคนนั่งอยู่ ทั้งห้าคนมองกันไปมา ไม่มีใครพูดอะไร
ทุกคนต่างอยู่ในท่าทีสำรวจตรวจสอบ รอดูว่าจะมีนกตัวไหนโผล่หัวขึ้นมาก่อน จากนั้นรอดูว่านกตัวนั้นจะโดนยิงอย่างไร
ปืน แน่นอนว่าต้องเป็นหลงเซียวที่นั่งอยู่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน
หลงเซียวกำลังถือปากกาอยู่ในมือ นิ้วยาวควงปากกาปลอกทองเล่นไปมา แสงสะท้อนออกมาวิบวับ สาดส่องไปยังใบหน้าของเขา ใบหน้าของเขาคล้ายว่ากำลังยิ้มอยู่ แต่เมื่อมองสังเกตดีๆ รอยยิ้มของเขากลับดูร้ายกาจ
กู้เยนเซินเหลือบตาไปมองหลงเจ๋อที่อยู่ใกล้เขามากที่สุด พยายามส่งสายตาสื่อสารกับเขา ใช้สายตา “นายรีบพูดสิ พี่ใหญ่ของนายไม่ดีนายหรอก” ส่งกระแสจิตไปให้เขา
ทว่าหลงเจ๋อกลับทำราวกับไม่ได้รับสัญญาณจากเขา ท่าทางเลื่อนลอย สายตาแบบนั้นมีความหมายว่า “ฉันไม่ได้ยิน ไม่ได้ยิน ไม่ได้ยิน”
ว้าว…
กู้เยนเซินแอบก่นด่าอยู่ในใจ จากนั้นหันมาหาจี้ตงหมิงที่อยู่อีกด้าน เจ้าเด็กคนนี้มีความสัมพันธ์กับหลงเซียวไม่ใช่ธรรมดา ความสัมพันธ์อันยาวนานตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา หลงเซียวต้องรักเราเป็นพิเศษแน่
กู้เยนเซินดึงชายเสื้อด้านหลังของเขา ทว่ากลับโดนจี้ตงหมิงเมินซะงั้น ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับกลับมาเลยแม้แต่น้อย นิ่งราวกับก้อนหิน
ไป๋เวยนั่งเฉียงจากกู้เยนเซิน มองท่าทางขยับยุกยิกไปมาราวกับลิงของเขาแล้ว อยากจะเข้าไปตีเขาสักที นี่ ขยับอะไรนักหนา
หวังเค่ยนั่งอยู่หลังสุด พยายามทำให้ตัวเองมีตัวตนน้อยที่สุด แสร้งทำเหมือนตัวเองเป็นเพียงนกกระจอกเทศหนึ่งตัวก็เท่านั้น ซุกหัวลงในโซฟา ไม่มีใครมองเห็น อย่างน้อยก็ขอให้ท่านประธานไม่สนใจการมีอยู่ของตัวเขา มองไม่เห็นเขาก็พอแล้ว
หลงเจ๋อลอบกลืนน้ำลายอยู่เงียบๆ คิดในใจ พี่ใหญ่ เรื่องนี้จะมาโทษพวกเราไม่ได้นะ ตู้หลิงเซวียนทำอะไรไม่รอบคอบเอง เราก็แค่…ถือโอกาสแค่นั้นเอง แม้มันจะเป็นการฆ่าก่อนรายงานทีหลังก็ตาม มีอคติค่อนข้างมากไปหน่อย แต่ว่า…คงไม่ถึงชีวิตหรอกมั้ง
ระหว่างที่กำลังเงียบ ดวงตาเย็นเยียบของหลงเซียวมองมาที่กู้เยนเซินเป็นคนแรก
เขาเพียงเหลือบมองเล็กน้อยเท่านั้น แต่อีกคนกลับอ้าปากพร้อมก้าวถอยหลัง อย่าถามเขานะ เขาไม่รู้
ครืด ครืด ครืด
ระหว่างอยู่ระหว่างความเป็นความตาย โทรศัพท์ของหลงเซียวก็ดังขึ้น
หัวใจของพวกเขาหล่อวูบ ดวงตาเบิกกว้าง หัวใจเต้นกระหน่ำ เกือบจะกระโจนออกไปด้านนอกได้อยู่แล้ว
หลงเซียวดึงสายตาหนี เมื่อมองชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ คิ้วคมยิ่งขมวดแน่นขึ้น
ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู เขาไม่เอ่ยอะไร
น้ำเสียงของเกาจิ่งอานตื่นเต้นดีใจราวกับเด็กน้อยที่ได้รับขนมหวาน “พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ พี่เห็นข่าวแล้วหรือยัง มันน่าสะใจมาก สะใจมากจริงๆ สภาพตู้หลิงเซวียนแบบนั้นมันจริงๆ เลย…ฮ่าๆ ไม่ไหวไม่ไหว ขอเวลาผมขำก่อน”
คิ้วของหลงเซียวไม่คลายออกสักนิด ยังคงรักษาใบหน้าที่เรียบนิ่งและสงบเย็นดังเดิม ทว่าหลงเจ๋อสามารถสัมผัสได้ถึงไอสังหาร
ว้าว คนที่โทรมาคงไม่เกาจิ่งอานหรอกใช่ไหม
เฮ้ย พี่รองเยี่ยมไปเลย มาช่วยพวกเราในตอนที่กำลังลำบาก
หลงเซียวยังคงเงียบ ทว่าไอทะมึนบนร่างกายนั้นสูงขึ้นมาก ทำให้ห้องทำงานกลายเป็นห้องแช่แข็งไปแล้ว
เกาจิ่งอานกำลังจมอยู่กับอารมณ์ของตนเอง ไม่ได้สัมผัสถึงบรรยากาศของฝ่ายตรงข้าม พูดเองเออเอง “พี่ใหญ่ไม่รู้ใช่ไหม ตู้หลิงเซวียนพึ่งออกจากบ้าน ก็โดนคนกลุ่มหนึ่งทำร้าย นักข่าวต่างมึนงงบอกให้ผมมาบอกพี่ใหญ่ ตอนนั้นผมอยู่ข้างนอก ถ้าไม่ใช่เพราะไม่สะดวก ผมคงไปร่วมเตะสักหน่อย”
สีหน้าของหลงเซียว…
เอาล่ะ อย่ามองสีหน้าเขาเลย ไม่แน่อาจจะโดนร่างแหไปด้วย
“จิ่งอาน”
เนิ่นนาน ในยามที่เกาจิ่งอานรู้สึกว่าตัวเองกำลังคุยอยู่กับอากาศ ในที่สุดก็ได้ยินเสียงของพี่ใหญ่ จึงบอกด้วยความตื่นเต้น “ครับ พี่ใหญ่จะพูดอะไรครับ”
นิ้วเรียวยาวของหลงเซียวเคาะเบาๆ ที่ขมับ เอ่ยขึ้นช้าๆ “นายเหมือนจะดีใจมากเลยนะ”
เกาจิ่งอานชะงักนิ่ง หรือว่าเมื่อสักครู่เขาหัวเราะเสียงไม่ดังพอ ยังตื่นเต้นไม่พอเหรอ หรือว่าพี่ใหญ่ฟังไม่ออกว่าเขาดีใจแค่ไหน
“ทะ…ทำไม่เหรอครับพี่ใหญ่”
ในที่สุดเขาก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ เกาจิ่งอานเปลี่ยนท่าที เกิดอะไรขึ้น
หลงเซียวกวาดสายตาไปหาทั้งห้าคน “ตู้หลิงเซวียนโดนรุมที่งานแถลงข่าว นายมีส่วนเกี่ยวข้องมากน้อยแค่ไหน”
เมื่อเขาถามแบบนี้ หลงเจ๋อและกู้เยนเซินจึงก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ จนถอยไม่ได้อีกแล้ว
เกาจิ่งอานรีบปฏิเสธ “ผมไม่รู้เรื่องนะพี่ใหญ่ ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย ผมแค่มาชมความครึกครื้นก็เท่านั้น ได้ข่าวว่าตู้หลิงเซวียนกลับมาจัดงานแถลงข่าว ผมก็อดไม่ได้ที่จะไปดูหน่อย ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ตอนนั้นผมเลย…” ดีใจ
“ผมยังคิดอยู่เลยว่าใครกันถึงไร้คุณธรรมขนาดนี้ มาทำร้ายเขาในงานแบบนี้ ต่อยจนตู้หลิงเซวียนหน้าบวมไปหมด เฮ้อ แย่จริงๆ แย่มากจริงๆ ”
หลงเซียวส่งเสียงหึเบาๆ “จิ่งอาน”
เขาเรียกชื่อเขา เกาจิ่งอานรู้สึกแปลกใจ แม้เขาจะไม่รู้ แต่เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ เรื่องนี้เป็นฝีมือหลงเจ๋องั้นเหรอ
“ครับพี่ใหญ่ พี่พูดมาเลย”
มีเรื่องอะไรก็พูดมาตรงๆ เลยดีกว่า อย่าเผยออกมาทีละนิด เขาเริ่มใจไม่ได้แล้ว
“เมื่อก่อนนายเคยต่อยกับตู้หลิงเซวียน คงไม่ลืมใช่ไหม” น้ำเสียงสบายๆ เอ่ยขึ้น
เกาจิ่งอานได้ยินแบบนั้นสันหลังพลันเย็นวาบ “เอ่อ…เคย เคยต่อยกันหนึ่งครั้งครับ แต่ผมไม่ได้รุนแรงนะ”
ตู้หลิงเซวียนนี่ก็จริงๆ เลย โดนต่อยที่จีนถึงสามครั้ง สงสัยดวงจะไม่ถูกกับประเทศจีน
นิ้วของหลงเซียวนวดหัวคิ้ว “นายมานี่หน่อย”
เพล้ง
หัวใจของเกาจิ่งอานถูกกระทืบจนแตกละเอียด “ผะ…ผม ผม…ผมต้อง…”
“นายจะทำอะไร”
เกาจิ่งอานสัมผัสได้ว่าไม่ใช่เรื่องดี อยากหาข้ออ้าง แต่เมื่อหลงเซียวเอ่ยปาก เขาก็ไม่กล้าโกหกต่อ “เดี๋ยวผมจะไปเดี๋ยวนี้เลยครับ”
หลงเซียววางโทรศัพท์ลง หัวใจของคนทั้งห้าก็หล่นลงไปที่ตาตุ่ม จ้องมองเขา จดจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหวของเขา
พวกเขาแค่ต่อยตู้หลิงเซวียนไปแค่นั้นเอง มันหนักหนาขนาดนั้นเลยเหรอ
ตู้หลิงเซวียนไม่น่าต่อยเหรอ
เขาก็แค่คนหน้าซื่อใจคด
หลงเซียวเปลี่ยนเป้าหมาย เดินออกมาจากโต๊ะทำงาน มาหยุดอยู่ตรงหน้าทั้งห้าคน มือข้างหนึ่งล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง มืออีกข้างเท้าเอว จ้องมองมาที่พวกเขา
“เก่งๆ กันทั้งนั้น”
ทั้งห้าคนนิ่ง แทบไม่กล้าหายใจ
หลงเซียวเสียงเข้ม “เสี่ยวเจ๋อ นายเป็นหัวโจกใช่ไหม”
หลงเจ๋อกัดฟัน นิ่งเงียบ
กู้เยนเซินเห็นดังนั้น คิดว่าถ้าไม่ยอมรับคงไม่ได้ ยังไงก็ต้องมีคนยอมรับ ดังนั้นจึงตัดสินใจ ลุกขึ้นยืน “คุณชายหลง ผมทำเองครับ ผมแค่ไม่พอใจตู้หลิงเซวียน ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา”
นิ้วของหลงเซียวขยับ “กล้ามาก ดี ในเมื่อนายเป็นคนทำ งั้น…เมื่อสักครู่เครื่องบินที่พ่อของตู้หลิงเซวียนนั่งมาพึ่งมาจอดที่สนามบิน นายไปขอโทษซะ”
อะไรนะ
พ่อของตู้หลิงเซวียนออกหน้าแล้วเหรอ
ก็จริง ลูกชายโดนต่อยเละขนาดนั้น พ่อจะไม่โกรธได้ยังไง
ดังนั้นขาของกู้เยนเซินจึงเริ่มไม่มั่นคงแล้ว “เอ่อ คุณชายหลง ผมพึ่งนึกขึ้นได้ ผมต้องรีบไปรับลูกที่สถานรับเลี้ยงเด็ก ต้องขอตัวก่อนนะครับ