บทที่ 616 ลงมือสอนด้วยตนเอง
เวินเที๋ยนเที๋ยนเองก็ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าตนเองจะใช้เวลาอยู่กับจี้จิ่งเชินโดยไม่รู้ตัวนานขนาดนี้ แล้วยังนานเสียจนเกือบจะเสียการงานอีก แค่คิดใบหน้าก็เห่อร้อนขึ้นมาทันที
และรีบอธิบายว่า: “คือว่ามีธุระนิดหน่อย…”
“ธุระอะไร?”
ใครบางคนเอนตัวเข้ามาใกล้เวินเที๋ยนเที๋ยน แล้วจ้องหน้าเธออย่างละเอียด
เวินเที๋ยนเที๋ยนตกใจการกระทำของเขาจนต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าว
“ทำไมเหรอ?”
คนๆ นั้นส่ายหน้าและทำหน้าเสียใจ
“น่าแปลก ทำไมปากถึงไม่แดงล่ะ?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนเอียงหัวอย่างไม่เข้าใจ
แต่สักพักก็ได้สติกลับมาแล้วสีหน้าแดงก่ำอย่างรุนแรง
“พวกเธอ พวกเธออย่าพูดเหลวไหลนะ”
สมาชิกคนอื่นๆ ในทีมต่างก็มีอายุมากกว่าเวินเที๋ยนเที๋ยน แล้วส่วนใหญ่ก็แต่งงานมีลูกกันหมดแล้ว สำหรับพวกเขาเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องอาย
พอเห็นว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนเด็กที่สุดในกลุ่ม ก็ถึงขึ้นลากเธอมาอบรมเสียยกใหญ่ ว่าควรมอบความรักอย่างไร ทำอย่างไรถึงจะมัดใจเขาอยู่
เวินเที๋ยนเที๋ยนยิ่งฟังก็ยิ่งหน้าแดง คิดหาข้ออ้างที่จะหนีอยู่หลายครั้ง แต่ก็ถูกจับกลับมาจนได้
พอคุยกันหลายๆ คนความกล้าก็ยิ่งมากขึ้นแล้วก็ไม่เกรงกลัวใครใดๆ ทั้งสิ้น
เวินเที๋ยนเที๋ยนอยากจะหนีก็หนีไม่พ้น ได้แต่มองประตูบ่อยๆ ด้วยหวังว่าจะมีใครสักคนจากแผนกอื่นเข้ามาขัดจังหวะคำพูดเหล่านี้
ถึงจะเป็นจี้จิ่งเชินก็ยังดี
ในขณะที่กำลังคิดจู่ๆ ก็มีคนเคาะประตูห้องทำงาน
เวินเที๋ยนเที๋ยนหันกลับไปอย่างดีใจ แล้วก็เห็นจี้จิ่งเชินยืนอยู่หน้าประตู
จู่ๆ จี้จิ่งเชินก็โผล่มา จึงทำให้ทุกคนเงียบพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายและไม่กล้าพูดต่อ แล้วใช้สายตาสื่อความนัยให้เวินเที๋ยนเที๋ยนไม่หยุด
พอสังเกตเห็นบรรดาสายตาที่มองมา ใบหน้าของเวินเที๋ยนเที๋ยนก็เห่อร้อนยิ่งขึ้นไปอีก
จี้จิ่งเชินยืนอยู่ที่หน้าประตู เขาถอดสูทตัวนอกออกมาพาดไว้ที่แขน
ส่วนเนกไทก็ถูกปลดออกหลวมๆ กระดุมสองเม็ดบนสุดของเสื้อเชิ้ตสีขาวถูกคลายออก เผยให้เห็นท่าทีที่ผ่อนคลายสบายอกสบายใจ ไม่ได้ดูเคร่งขรึมเหมือนเมื่อก่อน
เขายืนอยู่ตรงประตูและเห็นว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนมีสีหน้าที่ผิดปกติ จึงถามขึ้น: “พวกคุณคุยอะไรกันอยู่?”
เมื่อได้ยินคำถาม พนักงานคนอื่นๆ ในทีมชี้แนะต่างคนต่างยิ้มแบบมีเลศนัยทันที
แล้วยังจงใจพูดอีกว่า: “พวกเรากำลังสอนความรู้จำเป็นบางอย่างให้กับหัวหน้าทีมค่ะ”
คำพูดที่ฟังดูกำกวมยิ่งทำให้จี้จิ่งเชินหันไปมองเวินเที๋ยนเที๋ยนด้วยแววตาที่สงสัย
พอเห็นเธอหน้าแดงก่ำ เขาก็ยิ่งอยากรู้ขึ้นไปอีก
แต่เวินเที๋ยนเที๋ยนกลับรีบเดินเข้ามาหาแล้วดันร่างของจี้จิ่งเชินให้เดินไปข้างนอก
“นี่ก็สายแล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ นายบอกว่ามีของขวัญจะให้ฉันไม่ใช่เหรอ?”
ถึงแม้ในใจของจี้จิ่งเชินจะอยากรู้ว่าเมื่อกี้พวกเขาคุยอะไรกัน ถึงได้ทำให้เวินเที๋ยนเที๋ยนหน้าแดงขนาดนี้ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเดินตามเธอออกไปข้างนอก
พอออกจากห้องทำงานแล้ว ก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะตามมาไล่หลัง
หลังจากที่ทั้งคู่เข้ามาในรถแล้ว จี้จิ่งเชินก็ยังอดถามไม่ได้ว่า: “เมื่อกี้พวกคุณคุยอะไรกันในห้องทำงาน?”
พอได้ยินเขาถามแบบนี้ ใบหน้าที่หายแดงแล้วของเวินเที๋ยนเที๋ยนก็กลับขึ้นมาแดงใหม่อีกครั้ง แถมสายตายังดูลุกลี้ลุกลนอีกด้วย
เธอไม่กล้ามองไปทางจี้จิ่งเชิน แล้วเลือกที่จะมองไปรอบๆ แทน
แล้วบ่นพึมพำ
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก ก็แค่ล้อเล่นน่ะ”
ท่าทางแบบนี้ของเธอกลับยิ่งทำให้จี้จิ่งเชินอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นไปอีก
“สรุปมันเป็นเรื่องอะไรกันแน่?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนจะกล้าพูดเรื่องที่พวกเราคุยกับเธอออกมาได้อย่างไร
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรจริงๆ” เธอพูดออกมาแบบไม่ทันคิดและอยากจะจบเรื่องนี้เร็วๆ
แต่จี้จิ่งเชินกลับเลิกคิ้วขึ้น “เกี่ยวกับฉัน?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนไม่กล้าบอกเขา จึงเบนสายตาออกไปยังนอกหน้าต่าง
พอเห็นเธอทำแบบนี้ จี้จิ่งเชินก็รู้เลยว่าตนเองเดาถูกแล้ว
เขาปลดเข็มขัดนิรภัยออกและปล่อยมือจากพวงมาลัย จากนั้นขยับเข้าไปใกล้เวินเที๋ยนเที๋ยน
เวินเที๋ยนเที๋ยนที่กำลังนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างก็หันกลับมาพอดี แต่จู่ๆ ก็เห็นใบหน้าของจี้จิ่งเชินในระยะใกล้ เธอเลยเบิกตาโตอย่างตกใจจนกล้าขยับ
จี้จิ่งเชินใช้สองมือแนบกับเบาะแล้วกักคนตรงหน้าไว้ในอ้อมแขนก็ตัวเอง
“มันคือเรื่องอะไรกันแน่?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพยายามถอยตัวไปด้านหลัง แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ จึงได้แต่เบนสายตาออกไม่ยอมสบตาจี้จิ่งเชิน
“ความจริงแล้ว…ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร”
“ไม่บอก?”
จี้จิ่งเชินเลิกคิ้วอีกครั้งแล้วถาม จากนั้นก็ขยับใบหน้าเข้าไปใกล้เวินเที๋ยนเที๋ยนทีละนิด
ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดที่ใบหน้าเธอและทำให้เธอแก้มแดงระเรื่อทันที
อยู่ใกล้เสียจนเกือบจะจูบกันอยู่แล้ว
เวินเที๋ยนเที๋ยนหลับตาปี๋และตัวแข็งอยู่กับที่
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของจี้จิ่งเชินดังขึ้น
“จู่ๆ ฉันก็เพิ่งจะนึกได้ว่า ดูเหมือนว่าค่าลิขสิทธิ์ครั้งก่อนจะยังเก็บไม่ครบนะ”
พอเวินเที๋ยนเที๋ยนได้ยินคำพูดนี้ ก็รีบลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว
“จะเป็นไปได้อย่างไร? เห็นชัดๆ ว่าได้…”
แต่จี้จิ่งเชินก็มีเหตุผลพอเพียงที่จะสามารถพูดได้เต็มที่
“ฉันเป็นผู้ว่าจ้าง จะขายเท่าไหร่หรือจะใช้คืนอย่างไร ฉันเป็นคนกำหนด”
พอสิ้นเสียง เวินเที๋ยนเที๋ยนก็เม้มปากอย่างไม่พอใจ
สายตาของจี้จิ่งเชินเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดต่อ: “แน่นอน วิธีใช้คืนก็แตกต่างกันไป ขอแค่เธอบอกฉันมาว่าพวกเขาคุยอะไรกับเธอกันแน่ แบบนี้ก็ถือว่าหักล้างกันไป ถ้าไม่อย่างนั้น ก็จะรีบคืนเดี๋ยวนี้…”
พอเวินเที๋ยนเที๋ยนได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็หันไปมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา
ถึงจะรู้ว่าเป็นการข่มขู่ แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย
ผู้ชายตรงหน้านี้เป็นคนพูดคำไหนคำนั้น ถ้าพูดออกมาแล้วก็จะต้องทำให้ได้
พอนึกถึงความ “น่าเวทนา” ที่ตนเองพบเจอมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ในทุกๆ วันเธอต้องตื่นขึ้นมาพร้อมอาการปวดเมื่อยไปทั่วร่าง ก็เพราะถูกผู้ชายที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยคนนี้สูบพลังตลอดทั้งคืน เพราะอย่างนี้เธอก็เลยรู้สึกกังวลใจขึ้นมาทันที
หลังจากที่เม้มริมฝีปากอย่างลังเลใจอยู่นาน ในที่สุดเธอก็ขยับเข้าไปใกล้เขา
เธอรู้สึกเขินอายเลยขยับเข้าไปและกระซิบเบาๆ ไม่กี่ประโยคที่ข้างหูของจี้จิ่งเชิน
จี้จิ่งเชินรับฟังอย่างตั้งใจ แต่รอยยิ้มที่มุมปากของเขากลับกว้างขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งเวินเที๋ยนเที๋ยนพูดจบ ก็ได้ขยับไปนั่งเหมือนเดิมด้วยสีหน้าที่แดงเหมือนลูกแอปเปิ้ลน่าดึงดูดใจเป็นพิเศษ
จี้จิ่งเชินหลุบสายตาลง รูม่านตาสีดำสนิทมีคลื่นอารมณ์บางอย่างแวบผ่าน
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพยักหน้าอย่างไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าใด
“พอแล้ว ตอนนี้คุณก็รู้แล้ว ปล่อยฉันได้หรือยัง? ทีหลังอย่าเอาเรื่องค่าลิขสิทธิ์อะไรนั่นมาข่มขู่ฉันอีก”
“รู้แล้วน่า” จี้จิ่งเชินพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนที่จะกลับมาคิดทบทวนดู
“เพียงแต่เรื่องนี้ยังต้องกลับไปคิดทบทวนดูอีกที”
พอเวินเที่ยนเที๋ยนได้ยินอย่างนั้นก็หันกลับไปมองจี้จิ่งเชินอีกรอบ
รอยยิ้มปรากฏในดวงตาของเขาและเอ่ยว่า: “แต่ว่า ถ้าครั้งหน้าพวกเขาถามเธออีก เธอก็บอกพวกเขาไปว่าฉันจะสอนเรื่องพวกนี้ให้เธอด้วยตัวเองแน่นอน พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลไป”
พอเวินเที๋ยนเที๋ยนได้ยินเข้าก็หน้าแดงขึ้นมาอีกรอบและอยากจะโต้แย้ง แต่สุดท้ายกลับนึกคำพูดไม่ออก เลยได้แต่หันหน้ากลับไปมองนอกหน้าต่างอย่างไม่สบอารมณ์อีกครั้ง
จี้จิ่งเชินหัวเราะออกมาเบาๆ เสียงทุ้มต่ำของเขาเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่น่าหลงใหล
เมื่อมองใบหน้าด้านข้างที่แดงก่ำของเวินเที๋ยนเที๋ยนแล้ว เขาก็รู้สึกคันยุบยิบในใจเหมือนกับมีลูกแมวมาข่วนอย่างไรอย่างนั้น
เขาจึงอดที่จะขยับเข้าไปใกล้ไม่ได้ แล้วจูบลงบนริมฝีปากของเวินเที๋ยนเที๋ยนเบาๆ แล้วรีบถอยออกมาราวกับแมลงปอแตะขาบนผิวน้ำ
จากนั้นคาดเข็มขัดนิรภัยใหม่แล้วพูดว่า: “ตอนนี้พวกเราไปดูของขวัญของเธอกันเถอะ”
พอพูดจบก็เหยียบคันเร่งแล้วรถก็เคลื่อนที่ออกไปอย่างช้าๆ