บทที่875 จะต้องรักษาอารมณ์แห่งความสุขเอาไว้
เวินเที๋ยนเที๋ยนพยักหน้าลงอย่างพอใจ “ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นทำไมพี่ไม่พูดแบบนี้ตั้งแต่ตอนที่อยู่โรงพยาบาลล่ะ?”
ได้ยินน้ำเสียงของจี้จิ่งเชินแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขามีการวางแผนเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
แต่ตอนที่พวกเขาคุยกันในห้องพักผู้ป่วย จี้จิ่งเชินกลับไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลย
ได้ยินแล้ว การแสดงออกทางสีหน้าของจี้จิ่งเชินก็แข็งทื่อไป
ยิ่งทำให้เวินเที๋ยนเที๋ยนรู้สึกสงสัย
ถูกสายตาที่สงสัยของเวินเที๋ยนเที๋ยนจ้องอยู่นั้น จี้จิ่งเชินจึงทำได้เพียงต้องสารภาพ “ผมอยากจะพาคุณกลับไปพักผ่อนให้เร็วหน่อย ผมเลยคิดว่า ถ้าหากผมพูดไป ก็จะต้องยืนยันเวลาและสถานที่ ซึ่งก็จะใช้เวลาอีกไม่น้อย”
“ร่างกายของคุณยังไม่ดี ผมอยากจะพาคุณกลับไปให้เร็วหน่อย”
จี้จิ่งเชินนับว่าคิดทบทวนอย่างดีแล้ว
หัวใจของเวินเที๋ยนเที๋ยนนั้นรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา “รู้แล้วค่ะ ต่อไปฉันจะระวังเรื่องเวลานะ”
เธอเป็นกังวลสถานการณ์ของหลวนจื่อ ถึงได้อยู่คุยกับหลวนจื่อนานหน่อยเท่านั้นเอง
ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะไม่สนใจสุขภาพตัวเองเสียหน่อย
ถึงแม้ว่าจี้จิ่งเชินจะระมัดระวังทุกอย่าง ลงมือด้วยตัวเองทุกเรื่อง แต่วันรุ่งขึ้นเที๋ยนเที๋ยนก็ยังคงรู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง
“อาจจะเป็นเพราะว่าเมื่อออกไปแล้วคงเหนื่อยเกินไปหน่อยน่ะค่ะ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนรู้สึกปวดหัวอยู่เล็กน้อย ทั้งร่างกายไม่มีแรง
หลังจากที่หมอมาดูอาการแล้วนั้น ก็บอกว่าร่างกายของเวินเที๋ยนเที๋ยนนั้นอ่อนแอเกินไป จะต้องพักฟื้นเป็นระยะเวลานานอีกด้วย
หล่อนหลีได้ยินที่คุณหมอบอกแล้วนั้น ก็มองเวินเที๋ยนเที๋ยนอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก “ได้ยินแล้วใช่ไหม? ต่อไปอย่าออกไปนานแบบนี้อีกนะ!”
เวินเที๋ยนเที๋ยนมองเธออย่างน่าสงสาร “รู้แล้วค่ะ…..”
เห็นลูกสาวนอนอยู่บนเตียงอย่างอ่อนเพลียแล้ว หล่อนหลีเองก็เอ่ยพูดคำพูดแรงๆออกมาไม่ได้เช่นกัน
เธอถอนหายใจ แววตาก็รู้สึกเป็นกังวลอย่างคิดไม่ตก “อย่าทำให้แม่ตกใจสิ แม่อายุมากแล้ว ตกใจบ่อยๆไม่ดี”
พอได้ยินว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนไม่สบาย เธอก็รีบกลับมาจากบริษัททันที
กลัวว่าลูกสาวของตัวเองนั้นจะเกิดเรื่องขึ้น
เวินเที๋ยนเที๋ยนสามารถสัมผัสได้ถึงความรักของแม่ สีหน้าของเธอ คำพูดและน้ำเสียงของเธอ ล้วนแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน
ซึ่งเธอเองก็รู้สึกแสบจมูกขึ้นมาบ้าง
“แม่คะ หนูไม่เป็นอะไรค่ะ แค่อ่อนเพลียนิดเดียวเอง ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ!”
เวินเที๋ยนเที๋ยนกลั้นน้ำตาเอาไว้ แล้วส่งยิ้มให้กับหล่อนหลี
เธอจะร้องไห้ไม่ได้ มิเช่นนั้น หล่อนหลีจะต้องรู้สึกแย่กว่าเธออีก
ส่งหมอแล้ว เวินหงหยู้กับจี้จิ่งเชินก็เดินเข้ามาในห้อง
หล่อนหลีเห็นพวกเขาแล้วก็รู้สึกโมโหขึ้นมา
ถ้าหากไม่ใช่เพราะเมื่อวานนี้จี้จิ่งเชินดูแลเวินเที๋ยนเที๋ยนไม่ดี เวินเที๋ยนเที๋ยนจะอ่อนเพลียขนาดนี้ได้อย่างไร?
และยังมีเวินหงหยู้อีก ให้เขาเฝ้าเที๋ยนเที๋ยนเอาไว้ให้ดี ก็ยังทำให้เที๋ยนเที๋ยนไม่สบายอีก
เธอจะไปพูดว่าเป็นเพราะจี้จิ่งเชินก็ไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรเวินเที๋ยนเที๋ยนเองก็อยากจะไปโรงพยาบาลด้วยเช่นกัน
ก็เลยเหลือเพียงแค่คุณพ่อเวินคนเดียวเท่านั้นที่เป็นผู้เสียหาย
หล่อนหลีไม่ได้พูดว่าเขาต่อหน้าเวินเที๋ยนเที๋ยน เพียงแต่ดึงตัวเวินหงหยู้ออกไปแล้ว
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงกลับมาแล้ว เวินเที๋ยนเที๋ยนก็เห็นพ่อตัวเองดูตกอยู่ในสภาพใจลอย
เธอเอ่ยพูดกับหล่อนหลีด้วยความรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง : “แม่คะ แม่อย่าโทษพ่อเลย พ่อก็พยายามแล้ว”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพยักหน้าอย่างจริงจัง กังวลว่าหล่อนหลีจะเข้าใจผิด
หล่อนหลีได้ยินแล้ว เห็นสีหน้าท่าทางที่จริงจังของเธอแล้ว กลับหัวเราะขึ้นมา แล้วดึงมือเธอเอาไว้
“ลูกเครียดอะไรกัน แม่ก็แค่ถามพ่อเขาถึงสถานการณ์ในช่วงนี้ของลูก ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วันเอง หัวใจของเที๋ยนเที๋ยนก็ถูกพ่อซื้อไปแล้วสิ”
ผอมเกินไปแล้ว
ถ้าหากเพิ่มเสริมเข้าไปได้ก็คงจะดี
“หนูสบายดีมากค่ะ แม่ดูหนูสิ ถึงแม้จะไม่ได้มีแรง แต่หนูก็มีชีวิตชีวาดีนะ”
เสียงของเวินเที๋ยนเที๋ยนนั้นดูมีความอ่อนเพลียอยู่บ้าง แต่แววตาของเธอนั้นสว่างเป็นประกายเป็นพิเศษ “ร่างกายจะเป็นยังไงกังวลไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ แต่หนูรับประกันได้นะ ว่าหนูจะรักษาอารมณ์แห่งความสุขนี้เอาไว้ให้ได้ตลอด พ่อกับจี้จิ่งเชินดีกับหนูมากเลยค่ะ”
ใช่ ปัญหาของร่างกาย อาศัยแต่ความเป็นกังวลนั้นไม่สามารถแก้ไขได้อยู่แล้ว
อาศัยเพียงแค่การดูแลสุขภาพตัวเองเพื่อค่อยๆแก้ไขให้ดีขึ้นเท่านั้น
หล่อนหลีคิดไม่ถึงว่าคนที่กำลังป่วยอยู่อย่างเวินเที๋ยนเที๋ยน แต่ตัวเองจะกลับเป็นฝ่ายถูกเธอปลอบใจแบบนี้ จึงรู้สึกพูดไม่ออกขึ้นมาในทันที
ในใจนั้นรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
สำหรับลูกสาวคนนี้ ตัวเธอเองรู้สึกติดค้างมาตลอด จึงมักคิดอยากที่จะทำอะไรมาชดเชยให้กับเธอ
แต่รอจนถึงตอนที่เธอรับรู้ตรงจุดนี้แล้ว กลับพบว่าข้างๆกายของลูกสาวนั้นมีผู้ชายคนที่สามารถเป็นที่พึ่งพิงได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เธอมาทุ่มเทอะไรให้อีกแล้ว
นี่ทำให้หล่อนหลีรู้สึกหดหู่ยิ่งนัก
ดังนั้นตอนนี้ ร่างกายของเวินเที๋ยนเที๋ยนเกิดปัญหาขึ้นมา เธอก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียวที่จะหยุดพัก แล้วรีบมาในทันที
หวังแค่ว่าจะสามารถดูแลเที๋ยนเที๋ยนได้ อยู่กับเธอให้มากหน่อยเท่านั้น
หล่อนหลีพยักหน้า “ดีแล้วล่ะ ถ้าอย่างนั้นลูกพักผ่อนนะ แม่ไม่กวนแล้ว”
หมอบอกว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนจำเป็นจะต้องพักฟื้น ภายในห้องไม่สมควรที่จะมีคนอยู่มากเกินไป
หล่อนหลีพูดจบแล้ว ก็ออกไปพร้อมกันกับเวินหงหยู้
ในห้องหอนั้นจึงเหลือเพียงแค่เธอกับจี้จิ่งเชิน
เวินเที๋ยนเที๋ยนก้มหน้าลง ไม่ค่อยกล้ามองเขา
เพราะถึงอย่างไรที่เธออ่อนเพียงขนาดนี้ ก็ล้วนแต่เป็นเพราะตัวเองที่ดื้อเกินไปนั่นเอง
“ตอนนี้รู้ว่าต้องกลัวแล้ว? สายไปแล้วล่ะ!”
จี้จิ่งเชินมองแววตาของเวินเที๋ยนเที๋ยน ที่ทั้งโมโห ทั้งจำใจ
พูดไม่ออก กลัวว่าตัวเองพูดออกไปแล้วจะส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเวินเที๋ยนเที๋ยน
แต่เธอก็จะโกรธเขา
ถ้าหากเมื่อวานกลับมาบ้านตรงต่อเวลาอย่างว่าง่าย ก็ไม่แน่ว่าวันนี้อาจจะไม่ป่วยก็ได้
“ฉันเองก็ไม่ได้ตั้งใจนี่คะ!”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพยายามพูดให้ตัวเองพ้นความผิด “ฉันเองก็ไม่คิดว่าอยู่ต่ออีกหน่อยแล้วจะไม่สบายแบบนี้นี่นา”
จี้จิ่งเชินนั่งลงข้างๆเธอ ทั้งมองเธอด้วยแววตาที่หนักหน่วง
“ไม่ใช่ว่าพี่จะโกรธจริงๆใช่ไหม?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนเอ่ยถามอย่างกระวนกระวายใจ
แววตาของเขานั้นทำให้รู้สึกกดดันมากเสียจริงๆ
“ผมกำลังรู้สึกตำหนิตัวเอง” ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ลงเล็กน้อย แล้วหลุบต่ำลง “ผมควรจะพาคุณกลับมาเลย ไม่ใช่ว่ามัวแต่คิดหาวิธีบอกส่งสัญญาณให้กับคุณ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนสำลักคำพูดของเขา ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี
เมื่อวานนี้เขายังตรงไปตรงมาไม่พออีกหรือ?
ใช้สายตาส่งสัญญาณบอกให้เธอกลับซ้ำไปซ้ำมา ทำให้เธอคิดว่าเขาหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัดขนาดนั้น
ยังดีที่หลวนจื่อกับหมินอันเกอ พวกเขาไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับการเสียมารยาทนี้ของจี้จิ่งเชินกับเธอ
จี้จิ่งเชินยังจะบอกว่ายังตรงไปตรงมาไม่พออีก หรือว่าเขาต้องการที่จะแบกเธอกลับมาถึงจะนับว่าตรงไปตรงมาขนาดนั้นกัน?
แน่นอนว่า เวินเที๋ยนเที๋ยนเองกำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ
แต่เมื่อเห็นท่าทางที่ดูร้อนใจขนาดนั้นของจี้จิ่งเชินแล้ว เธอก็ใจอ่อนขึ้นมาอีกครั้ง
เธอไม่สบาย ก็เป็นเพราะเธอไม่ยอมไปเอง ไม่เกี่ยวกับจี้จิ่งเชินเสียหน่อย
เขาไม่ควรจะตำหนิตัวเอง
คิดเช่นนี้แล้ว เวินเที๋ยนเที๋ยนจึงเอ่ยพูดขึ้น : “เป็นฉันเองที่อยากจะอยู่ต่อให้นานหน่อย ถึงได้ไม่สบายแบบนี้ ไม่เกี่ยวกับพี่นี่คะ”
ได้ยินเวินเที๋ยนเที๋ยนพูดมาแบบนี้แล้ว สีหน้าของจี้จิ่งเชินก็นับว่าดีขึ้นมาอยู่บ้าง
“ไม่ได้ให้คุณกลับบ้านมาพร้อมผมให้ทันเวลาเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในนั้นเท่านั้นครับ”
ได้ยินแล้ว เวินเที๋ยนเที๋ยนก็ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร
เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น? หรือที่จี้จิ่งเชินตำหนิตัวเองนั้น ยังมีสาเหตุอื่นด้วยหรือ?
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินจี้จิ่งเชินเอ่ยพูดต่อ : “ผมไม่ควรบอกข่าวของหลวนจื่อกับคุณ ถ้าหากผมไม่บอกคุณ คุณก็จะไปรีบร้อนไปดูเธอที่โรงพยาบาล”
เวินเที๋ยนเที๋ยน : “………”
แท้ที่จริงแล้วจี้จิ่งเชินตำหนิตัวเองเรื่องนี้นี่เอง!
“พี่ พี่รับปากฉันแล้วนะว่ามีอะไรพี่จะบอกฉันน่ะ!”
เวินเที๋ยนเที๋ยนกลัวว่าต่อไปจี้จิ่งเชินจะปิดบังเธอ จึงรีบดึงมือเขาเอาไว้ แล้วมองเขาด้วยท่าทางที่น่าสงสาร
“ฉันรับประกันค่ะว่าต่อไปฉันจะเชื่อฟังพี่ แต่พี่มีอะไรก็อย่าปิดบังฉันนะ ฉันมีสิทธิที่จะรู้”
เธอยังคิดไปถึงเรื่องจดหมายของหลวนจื่ออีกเสียด้วยซ้ำ
ถ้าหากจี้จิ่งเชินปิดบังเธอ ไม่เอาจดหมายของหลวนจื่อให้เธอ แล้วเธอจะยังสามารถใช้วิธีไหนที่จะสามารถรู้ข่าวของหลวนจื่อได้อีกกัน?