บทที่ 922 ต้องปกป้องหนูน้อยนะ
ในมือโต้วโต้วถือดอกไม้ช่อหนึ่ง แล้ววิ่งเหยาะๆ มาข้างหน้า
เวินเที๋ยนเที๋ยนรีบย่อตัวลง สองมือกางออก มือเล็กของโต้วโต้วโอบรอบคอเวินเที๋ยนเที๋ยนไว้ เสียงเล็กๆ ก็ดังขึ้น
“พี่เที๋ยนเที๋ยน พี่หายป่วยแล้วใช่ไหม?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนยิ้มบาง “อืม พี่หายป่วยแล้ว”
“จริงเหรอ? พี่เที๋ยนเที๋ยน อันนี้ให้พี่”
พูดจบก็ส่งช่อดอกไม้ในมือให้
ดอกไม้ช่อนี้ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของจากร้านขายดอกไม้ ล้วนเป็นดอกไม้ป่าที่นำมารวมเข้าด้วยกัน ในจำนวนนั้นยังแซมด้วยใบหญ้าอยู่หลายใบ
“พวกเขาเก็บมาเอง” เหยาเย้นพูดขึ้น
เที๋ยนเที๋ยนพยักหน้า
ในสายตาของเธอ ช่อดอกไม้นี้มีค่ามากกว่าดอกไม้มีชื่อราคาแพงทุกชนิด
เด็กคนอื่นๆ ก็จับกลุ่มกันเข้ามาล้อมเวินเที๋ยนเที๋ยนเป็นวงกลม ส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจแสดงความคิดถึงที่มีต่อเธอ
“ชู่” เหยาเย้นแสดงท่าทางบอกพวกเขาอยู่ข้างๆ “เด็กๆ พี่เที๋ยนเที๋ยนของพวกหนูต้องพักผ่อน ระวังจะรบกวนเธอ”
พวกเด็กๆ เงียบลงทีละคนใช้มือเล็กๆ ปิดปาก หรือไม่ก็เลียนแบบท่าทางของเหยาเย้นยกนิ้วชี้ขึ้นแนบริมฝีปาก
หล่อนหลีกับเวินหงหยู้ที่ล่าช้ากว่าเล็กน้อย อุ้มเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินเข้ามา
หลวนจื่อกับหมินอันเกอตามหลังมา โดว์โดว์ที่วันนี้ไม่ได้มาด้วยกัน ให้แม่นมดูแลอยู่ที่บ้าน
แม่ครัวเห็นคุณชายน้อยในอ้อมแขนของคุณนายหล่อน ก็รีบเข้าไปจะช่วยแบ่งเบาคุณนายหล่อน
“คุณนาย ฉันมาแล้ว”
“โอ้โห คุณชายน้อยหน้าตาน่ารักจริงๆ คุณดูดวงตานั่นสิ ปากเล็กๆ นั่นราวกับแกะออกจากแม่พิมพ์เดียวกันกับใบหน้าของคุณชายเลย”
รูปร่างที่น่าหวงแหนนั้น ก็กลัวว่าตัวเองจะซุ่มซ่ามทำคุณขายน้อยเจ็บ
พ่อบ้านยกกระเป๋าลงมาแล้วส่งไปที่ห้องนอน
จี้จิ่งเชินจึงหยักหน้าให้จงหลีกับผู้จัดการหยางที่ยืนตัวตรงอยู่ข้างๆ
ในช่วงที่เวินเที๋ยนเที๋ยนเข้าโรงพยาบาล บางครั้งจี้จิ่งเชินก็ช่วยดูแลงานของบริษัทตระกูลหล่อน ด้วยเหตุนี้จึงมีโอกาสได้เจอกับผู้จัดการหยางอยู่หลายครั้ง
เด็กๆ จากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเฉินซี เห็นการปรากฏตัวของเด็กทารกที่ตัวเล็กกว่า ส่วนใหญ่จึงย้ายความสนใจไปล้อมรอบเขาอีกครั้ง
หล่อนหลีอุ้มหลายชายแล้วนั่งลงบนโซฟา เด็กเล็กหลายคนมองเด็กทารกในอ้อมแขนเธออย่างระมัดระวัง
“เขาตัวเล็กมาก” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นเสียงเบา
“คุณน้า เขาคือลูกของพี่เที๋ยนเที๋ยนเหรอ?” เด็กชายอีกคนที่มีความกล้าหาญกว่าอย่างเห็นได้ชัด
“ใช่แล้ว ต่อไปพวกหนูต้องปกป้องเขานะ”
เด็กชายตัวน้อยยืดหน้าอกเล็กขึ้น “ผมทำได้ จะปกป้องน้องชาย”
“หนูด้วย”
“ผมก็เหมือนกัน”
เด็กๆ ทำท่าทางรับประกันอย่างไร้เดียงสา สีหน้าไร้ซึ่งความจริงจัง ทำให้ผู้คนรอบข้างหัวเราะออกมา
จี้จิ่งเชินมองนาฬิกาบนผนังแล้วเอ่ยขึ้น “พอแล้ว ทุกคนไปทานข้าวด้วยกันเถอะ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพยักหน้า
แล้วยิ้มแย้มพูดกับเด็กๆ จากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า “ทุกคนอยู่ทานข้าวด้วยกันเถอะ”
จี้จิ่งเชินพาเธอไปที่โต๊ะอาหารขนาดใหญ่ โต๊ะกลมขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยอาหารเลิศรส
เด็กๆ ส่งเสียงร้องอย่างชอบใจ ทุกคนล้วนมองเวินเที๋ยนเที๋ยน เที๋ยนเที๋ยนมองจี้จิ่งเชิน จี้จิ่งเชินจึงพยักหน้า
แก๊งหัวไชเท้าจึงวิ่งเข้ามานั่ง
พ่อบ้านวางเบาะรองทรงสี่เหลี่ยมไว้ที่เก้าอี้ของเด็กๆ ทำให้ความสูงกำลังพอดี
เมื่อทุกคนนั่งลงแล้ว จี้จิ่งเชินก็ชูแก้วน้ำผลไม้ตรงหน้าขึ้น มองทุกคนที่อยู่ที่นี่แล้วจึงพูดออกมาช้าๆ
“ขอบคุณทุกคน ช่วงนี้ลำบากทุกคนแล้ว” พูดพลางหันไปมองเวินเที๋ยนเที๋ยนที่อยู่ทางซ้ายมือ
เวินเที๋ยนเที๋ยนมองเขายิ้มๆ
“เที๋ยนเที๋ยน ขอบคุณ คุณมาก เพราะคุณยืนหยัดผมถึงได้มีลูก”
เวินเที๋ยนเที๋ยนยิ้มพลางชูแก้วน้ำผลไม้ขึ้นชนแก้วกับจี้จิ่งเชิน
จากนั้นทั้งสองคนก็ชูแก้วขึ้นไปทางทุกคน “ขอบคุณ”
ทุกคนชูแก้วขึ้น แล้วดื่มทีเดียว
เด็กๆ มองอาหารตรงหน้าน้ำลายสอ แต่ก็ยังนั่งเฉยๆ อย่างมีมารยาท ไม่เสียงดังเอะอะ
เวินเที๋ยนเที๋ยนยิ้ม แล้วบอกกับพวกเขา “รีบทานเถอะ”
ห้องโถงเต็มไปด้วยความคึกคัก
เป็นความรู้สึกของครอบครัว ที่แม้ว่าจะไม่ใช่ทุกคนที่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด แต่ทุกคนก็พร้อมใจกัน เป็นห่วงซึ่งกันและกัน สิ่งนี้สำคัญยิ่งกว่าสิ่งที่เรียกว่าความสัมพันธ์ทางสายเลือดเสียอีก
ปราสาทเก่าที่อ้างว้างมานาน กลับมามีเสียงพูดคุยหัวเราะเฮฮาอีกครั้ง
เมื่อทานอาหารเสร็จก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว พ่อบ้านได้เตรียมห้องไว้ให้เรียบร้อย พวกเด็กๆ ยังคงนอนที่หอคอยที่เคยนอน
หลวนจื่อกับหมินอันเกอเป็นห่วงโดว์โดว์จึงไม่ได้พักค้างคืนด้วย
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เวินเที๋ยนเที๋ยนก็รอจี้จิ่งเชินมา ในมือเขาถือถ้วยซุปที่แม่ครัวตุ๋นอยู่หลายชั่วโมง
เวินเที๋ยนเที๋ยนมองซุปนั้นยิ้มๆ พึ่งทานข้าวเสร็จ และเธอยังไม่ได้ทำอะไรเลย จี้จิ่งเชินทำแทนทั้งหมด ต้องดื่มอีกแล้ว?
จี้จิ่งเชินไม่สนใจใบหน้ายับย่นของเวินที๋ยนเที๋ยน
“แม่ครัวตุ๋นอยู่ตั้งหลายชั่วโมง” ความหมายของคำพูดจี้จิ่งเชินคือจะให้แม่ครัวเสียแรงเปล่าไม่ได้
เวินเที๋ยนเที๋ยนจึบยกขึ้นมา โชคดีที่เป็นถ้วยเล็กมากๆ ดื่มไม่กี่คำก็หมดแล้ว
แค่คิดก็รู้แล้วว่าเป็นจี้จิ่งเชินสั่งให้ตุ๋น
ตั้งแต่ตัวเองตัวเองฟื้นขึ้นมา จี้จิ่งเชินก็ให้แม่ครัวตุ๋นซุปไม่ซ้ำกันทุกวัน ลำบากแม่ครัวแล้วจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะหาสูตรอาหารได้มากมายขนาดนี้
จี้จิ่งเชินวางถ้วยลงแล้วมองเวินเที๋ยนเที๋ยนอย่างไม่ละสายตา
เวินเที๋ยนเที๋ยนสังเกตเห็นความผิดปกติ
บางทีอาจจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น
เธอจึงรีบเอ่ย “ลูก……”
ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกจี้จิ่งเชินขัดขึ้นซึ่งๆ หน้า “ลูกนอนกับคุณแม่แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะไปดูพวกโต้วโต้ว” พูดพลางลงจากเตียงแล้วสวมรองเท้า
จี้จิ่งเชินจับข้อมือของเธอเบาๆ ไม่เจ็บแต่ก็ไม่สามารถดิ้นหลุดไปได้
“ผมพึ่งไปดูมา” จี้จิ่งเชินเอ่ยอย่างสบายๆ
“หลับ กัน หมด แล้ว” เอ่ยเสริมขึ้นทีละคำ
จากนั้นก็พูดขึ้นอีก “พวกเราก็ควรนอนได้แล้ว เที๋ยนเที๋ยน”
เวินเที๋ยนเที๋ยนเขินอายเล็กน้อย แม้ว่าจะเป็นแม่คนแล้ว แต่ก็ยังเขินไม่กล้าขึ้นเตียง
“ผมเหนื่อยแล้ว” จี้จิ่งเชินใช้อุบายให้อีกฝ่ายวางใจ แล้วก็ได้ผลชัดเจนอย่างที่คิดไว้จริงๆ เวินเที๋ยนเที๋ยนกลับมานอนลงบนเตียง แล้วห่มผ้าให้เขา
“นอนกันเถอะ” พูดพลางหลับตาลงเป็นตัวอย่างที่ดี
“เที๋ยนเที๋ยน”
ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ
“เที๋ยนเที๋ยน”
หลับไปแล้ว?
จี้จิ่งเชินไม่มีทางเลือกนอกจากรวบเวินเที๋ยนเที๋ยนไว้ในอ้อมกอดเหมือนเดิม
“ขอโทษ ที่เหล้าครบเดือนของลูกทำได้แค่นี้”
ที่จริงแล้วลูกน้อยอายุครบหนึ่งเดือนนานแล้ว เพียงว่าตอนนี้พึ่งจะออกจากโรงพยาบาล เขาไม่อยากจัดงานใหญ่โต โอ้อวดเกินไปก็ไม่ดี
“ไม่เป็นไร แบบนี้ก็ดีมากแล้ว ฉันดีใจมาก”
เวินเที๋ยนเที๋ยนลืมตาขึ้น
“พี่จิ่ง ขอบคุณนะ ที่ไม่ได้ทอดทิ้งลูกของเรา”
เธอสามารถเข้าใจจี้จิ่งเชินได้ ถ้าหากเปลี่ยนบทบาทกัน เธอคิดว่าเธอคงเลือกจี้จิ่งเชินเหมือนกัน
เพียงแค่ว่าเธอตัดใจจากชีวิตเล็กนี้ไม่ได้จริงๆ
ยังโชคดี
“เที๋ยนเที๋ยน ผมไม่อยากเจอประสบการณ์แบบนั้นอีกแล้ว”
จี้จิ่งเชินเอ่ย เธออาจจะไม่รู้ ตอนที่เธอนอนอยู่ในห้องผ่าตัด เขาอยู่หน้าประตูนั้นหวาดกลัวและสิ้นหวังมากแค่ไหน ภรรยาของตัวเองกำลังเผชิญกับความเป็นความตาย ตัวเองกลับช่วยอะไรไม่ได้อะไรแม้แต่น้อย
ทำได้แค่เฝ้ารอ
ให้เขารับความเจ็บปวดนี้แทนเธอยังดีเสียกว่า