จี้หยู๋ชิงได้ยินแล้วนั้น จึงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง และครั้งนี้จึงพยักหน้าลงในที่สุด
จี้จิ่งเชินเห็นสถานการณ์แล้ว ในใจก็ทั้งรู้สึกดีใจทั้งทุกข์ใจด้วย
ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับเขาจริงๆ ไม่คิดว่าจะถูกซื้อได้ด้วยสารานุกรมเล่มเดียว นี่เป็นอาการของเด็กที่ยังอายุไม่ถึงขวบควรจะแสดงออกมาอย่างนั้นหรือ?
ช่างเถอะ เพราะถึงอย่างไรเด็กคนนี้ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้เป็นปกติอยู่แล้ว
อย่างไรเสีย ก่อนที่ยังไม่เกิดนั้น เขาก็อาศัยความมุ่งมั่นอันแรงกล้านี้ในการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ แม้กระทั่งเสียสละตัวเองเพื่อปกป้องเวินเที๋ยนเที๋ยนอีกด้วย
คิดมาถึงตรงนี้แล้ว จี้จิ่งเชินใจอ่อนขึ้นมา แล้วยกมือลูบแก้มของจี้หยู๋ชิงเอาไว้
“อย่าดื้อนะครับ ต่อไปเดี๋ยวพ่อซื้อหนังสือกลับมาให้อีกหลายๆเล่มเลยนะ”
“อืม!”
จี้หยู๋ชิงพยักหน้าลงด้วยความดีใจ
ก้อนหินในหัวใจของจี้จิ่งเชินนั้นได้วางลงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม ก็นับว่าจัดการกับปฏิกิริยาที่ย้อนแย้งที่ยากที่สุดนี้ได้แล้ว
เขาหมุนตัวแล้วเดินออกไป
เวินเที๋ยนเที๋ยนกำลังรออยู่ด้านนอกประตู เอ่ยถามขึ้น : “เป็นยังไงบ้างคะ? หยู๋ชิงนอนแล้วหรือยัง?”
จี้จิ่งเชินพยักหน้าลง
“หลับแล้วครับ วางใจเถอะครับ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนก็ยังคงรู้สึกกังวล “ฉันเข้าไปดูหน่อยดีกว่า…..”
เพิ่งจะเดินไปได้สองก้าวนั้น กลับถูกจี้จิ่งเชินดึงกลับมาอีก
“ไม่ต้องไปดูหรอกครับ ลูกไม่เป็นอะไรหรอก คุณเข้าไปเดี๋ยวก็จะเป็นการทำให้เขาตื่นอีกเปล่าๆ อีกอย่าง ไม่ใช่ว่าคุณมีเรื่องอื่นอีกด้วยนี่ครับ?”
ว่าแล้วเขาก็จูบเวินเที๋ยนเที๋ยนเบาๆ ยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วอุ้มเธอขึ้นมาพาเดินไปอีกทางด้านหนึ่ง
“อีกทั้งเป็นเรื่องที่สำคัญมากด้วยสิ”
สองสามวันต่อมา เวินเที๋ยนเที๋ยนก็ไม่ได้กลับไปที่พระราชวังอีก
หลังจากที่บอกกับอาจารย์ฉู่แล้ว ก็เตรียมตัวก่อนการแข่งขันอยู่ที่คฤหาสน์
เวินเที๋ยนเที๋ยนถนัดที่สุดก็คือการซ่อมเครื่องเซรามิก แต่การสร้างงานเครื่องลายครามนั้นก็นับว่าไม่ยากเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้นคือก่อนหน้านี้จี้จิ่งเชินก็พาเธอไปเยี่ยมเยียนท่านอาจารย์ท่านหนึ่งอยู่บ่อยๆ แล้วก็เคยมีผลงานของตัวเองด้วยเช่นกัน
เวลาที่นัดไปเยี่ยมท่านอาจารย์ทางด้านเซรามิกนั้น เวินเที๋ยนเที๋ยนก็เริ่มค้นหาข้อมูล
ที่อาจารย์ฉู่ยื่นความต้องการเช่นนี้ออกมานั้น ล้วนแต่ผ่านการพิจารณามาเป็นอย่างหนักแล้วทั้งสิ้น
ในฐานะที่เป็นนักบูรพาวัตถุโบราณ จำเป็นจะต้องมีความรู้ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นศิลปะทางประวัติศาสตร์หรือการสร้างสรรค์ สิ่งเหล่านี้จำเป็นจะต้องพอรู้คร่าวๆทั้งหมด
เธอวางแผนไปพลาง แล้วก็อยู่เป็นเพื่อนจี้หยู๋ชิงที่คฤหาสน์ไปพลางด้วย
การแสดงออกของหยู๋ชิงปกติแล้วจะสงบนิ่งเป็นอย่างมาก หนังสือที่อ่านทั้งหมดก็ไม่ใช่ช่วงอายุอย่างเขาอ่าน
เวินเที๋ยนเที๋ยนรู้สึกสงสัยอย่างเห็นได้ชัด ว่าเขาจะสามารถอ่านตัวอักษรด้านบนนั้นเข้าใจได้หรือเปล่า แต่พ่อบ้านกลับบอกว่า จี้จิ่งเชินจะอ่านสารานุกรมประเภทต่างๆและหนังสือเฉพาะด้านให้เขาฟังทุกวัน
และจี้หยู๋ชิงในตอนนั้น ก็ฟังด้วยความตั้งใจกว่าตอนไหนๆทั้งสิ้น
ระดับความฉลาด แม้แต่เวินเที๋ยนเที๋ยนเองก็ต้องพิจารณาว่าเทียบไม่ได้เช่นกัน
มองดูลูกที่เติบโตได้อย่างรวดเร็ว เวินเที๋ยนเที๋ยนกลับรู้สึกเป็นกังวลเพราะคำพูดของคุณหมอที่เคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้
ถ้าหากไม่สามารถมีความรู้สึกรักได้ ควรจะทำอย่างไร?
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น จู่ๆโทรศัพท์บนโต๊ะก็ดังขึ้น
พ่อบ้านที่ยืนดูจี้หยู๋ชิงเล่นอยู่ด้วยใบหน้าแห่งความรักใคร่เอ็นดูก็รีบเดินไป การแสดงออกนั้นดูจริงจังขึ้นมา เขายกโทรศัพท์ขึ้นมา
“สวัสดีครับ ที่นี่ตระกูลจี้ครับ”
ไม่รู้ว่าทางฝ่ายนั้นพูดอะไร อาการของพ่อบ้านนั้นดูผ่อนคลายลง หรือแม้กระทั่งปรากฏรอยยิ้มออกมา
แล้วหันมาเอ่ยพูดกับเวินเที๋ยนเที๋ยน : “คุณนายครับ ต้องการเรียนสายกับคุณนายครับ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนรู้สึกงงงวย เธอเดินไป แต่กลับเห็นว่าอาการของพ่อบ้านนั้นดูมีความพอใจปรากฏออกมา เห็นได้ชัดว่ากำลังแอบยิ้มอยู่
เรื่องอะไรกัน?
“สวัสดีค่ะ ฉันเวินเที๋ยนเที๋ยนค่ะ”
“เที๋ยนเที๋ยน…….”
เสียงของจี้จิ่งเชินนั้นดังขึ้นมาจากทางปลายสาย
ในใจของเวินเที๋ยนเที๋ยนนั้นรู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันที “จี้จิ่งเชิน? ทำไมพี่ถึงโทรเข้าโทรศัพท์ที่บ้านล่ะคะ?”
“ผมหิวแล้ว” น้ำเสียงที่ดูน่าสงสารของจี้จิ่งเชินดังขึ้นมา
เวินเที๋ยนเที๋ยนเงยหน้าขึ้นมามองนาฬิกาตรงผนังกำแพง ได้เวลาอาหารกลางวันแล้วจริงๆ
“พี่ยังไม่ได้ออกไปทานข้าวหรือคะ?”
“ยังครับ” จี้จิ่งเชินกล่าว : “พวกเขาไปกันก่อนแล้ว เหลือผมทำงานอยู่ ตอนนี้ยังไม่ได้ทานข้าวเลยครับ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนได้ยินแล้ว จึงขมวดคิ้วขึ้นมาทันใด
“ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าพี่บอกฉันมาตลอดนี่คะ ว่าจะต้องทานข้าวด้วย? ทำไมพี่ถึงไม่สนใจสุขภาพร่างกายของตัวเองแบบนี้ล่ะ?”
จี้จิ่งเชินเอ่ยพูดเพียงแค่ว่า : “ผมหิวแล้ว”
เวินเที๋ยนเที๋ยนใจอ่อนขึ้นมาทันที
“ฉันดูแล้วเวลายังไม่ช้าไปเท่าไหร่นัก ถ้าไม่อย่างนั้นเดี๋ยวฉันเอาไปส่งให้พี่แล้วกัน โอเคไหมคะ?”
เดิมทีแล้วจุดประสงค์ที่จี้จิ่งเชินโทรมานั้น ก็เพื่อจุดประสงค์นี้ เห็นเวินเที๋ยนเที๋ยนที่ยื่นเสนอออกมาเองแล้ว แน่นอนว่าก็ต้องบอกว่าดีอยู่แล้ว
“ผมรอคุณอยู่บริษัทนะครับ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนได้ยินเขาตอบรับด้วยความสบายใจ ก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาทันที
รู้สึกว่าตัวเองเหยียบเข้าไปในกับดักอะไรแล้วสิ……
และกำลังจะเอ่ยพูดขึ้นนั้น จี้หยู๋ชิงที่นั่งตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ข้างๆเธอ จู่ๆก็เงยหน้าขึ้นมา
“อ๊ะอ้า!”
เวินเที๋ยนเที๋ยนได้ยินแล้ว ก็หันกลับไปมองเขา “หนูก็อยากจะไปด้วยเหมือนกันใช่ไหมครับ?”
“อ้า!” จี้หยู๋ชิงตอบรับ
เวินเที๋ยนเที๋ยนเอ่ยพูดกับจี้จิ่งเชิน : “ฉันกับเสี่ยวหยู๋ชิงจะไปด้วยกันนะคะ นี่เป็นครั้งแรกที่หยู๋ชิงไปที่บริษัทด้วยนะ”
จี้จิ่งเชินที่กำลังดีใจอยู่นั้น พอได้ยินว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนจะมากับจี้หยู๋ชิงนั้น ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที
“ลูกก็จะมาได้หรือครับ?”
ในน้ำเสียงมีความเมินเฉยอย่างเห็นได้ชัด
เวินเที๋ยนเที๋ยนหัวเราะพลางเอ่ยขึ้น : “ลูกอาจจะคิดถึงก็ได้นะคะ”
“คิดถึงผม?”
จี้จิ่งเชินแสดงความสงสัยออกมาอย่างสุดซึ้งกับจุดนี้
เด็กคนนั้นจะคิดเขาอย่างนั้นหรือ?
กลัวว่าจะคิดที่จะมาทำลายช่วงเวลาที่เขาอยู่กับเวินเที๋ยนเที๋ยนเสียมากกว่าล่ะมั้ง?
จี้จิ่งเชินยังคงยึดความหวังสุดท้ายเอาไว้
“ลูกไม่นอนหรือครับ? ตอนนี้ควรจะเป็นเวลานอนกลางวันแล้วสิ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนมองจี้หยู๋ชิง
“ลูกดูเหมือนจะยังไม่ง่วงนะคะ ไปที่บริษัทรอบนึงก็คงจะใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่นัก”
วางสายไปแล้ว เวินเที๋ยนเที๋ยนก็อุ้มเสี่ยวหยู๋ชิงขึ้นมา
“ตอนนี้เราไปหาคุณพ่อกันนะครับ จี้หยู๋ชิงจะต้องคิดถึงคุณพ่อมากแน่ๆเลย ใช่ไหม?”
จี้หยู๋ชิงยิ้มออกมา แล้วกอดคอเวินเที๋ยนเที๋ยนเอาไว้ ด้านหลังเหมือนกับมีหางปิศาจแกว่งไปแกว่งมาอยู่อย่างไรอย่างนั้น
คิดจะยึดตัวคุณแม่ไปอย่างนั้นหรือ?
ไม่มีทาง!
เขาจะต้องตามไปด้วยอย่างแน่นอน!
ทำข้าวต้มปลาที่จี้จิ่งเชินชอบที่สุดแล้ว เวินเที๋ยนเที๋ยนก็พาจี้หยู๋ชิงออกจากบ้าน
อีกทั้งทางด้านหนึ่ง ของบริษัทเอ็มไอกรุ้ป
เกี่ยวกับเรื่องความร่วมมือของบริษัทตระกูลหล่อนกับบริษัทเอ็มไอกรุ้ปก็ค่อยๆเริ่มต้นขึ้น ถึงแม้จะเป็นการรวมตัวเข้าด้วยกันระหว่างบริษัทใหญ่ทั้งสองแห่ง เป็นความสัมพันธ์ครั้งใหญ่และครั้งสำคัญ แต่เนื่องจากว่าพนักงานของทั้งสองบริษัทนี้มีลางสังหรณ์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จึงไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ
แม้กระทั่งคนของทั้งสองฝ่ายก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีอีกด้วย การรวมตัวกันในครั้งนี้สำเร็จไปด้วยความราบรื่น
ดังนั้นปริมาณงานไม่ได้มาก ไม่ได้เหมือนกับที่จี้จิ่งเชินบอกเอาไว้ ว่ายุ่งเสียจนไม่มีเวลาทานอะไรเลยแบบนั้น
และยิ่งไปกว่านั้น เขาเพิ่งจะวางสายไปนั้น จงหลีก็เดินเข้ามา
“ประธานจี้ครับ ต้องจองร้านอาหารร้านนั้นเหมือนเดิมไหมครับ?”
“ไม่ต้องแล้ว”
จงหลีได้ยินแล้ว ก็เงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ
“เปลี่ยนร้านหรือครับ?”
“ไม่ต้องหรอก”
“……ถ้าอย่างนั้นก็ไปทานข้าวในบริษัท……”
“ฉันมีธุระ ไม่ไปแล้วล่ะ”
จี้จิ่งเชินเงยหน้าขึ้นมา
จงหลีเห็นรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าของเขาแล้ว ตะลึงไปพักหนึ่ง แล้วราวกับจะเดาอะไรได้ จึงพยักหน้าลงแล้วออกไปจากออฟฟิศ
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง เวินเที๋ยนเที๋ยนก็พาจี้หยู๋ชิงมายืนอยู่ตรงใต้ตึกของบริษัทเอ็มไอกรุ้ปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
มือหนึ่งอุ้มจี้หยู๋ชิงเอาไว้ อีกมือหนึ่งถือกล่องข้าว เงยหน้าขึ้นมองตึกสูงขนาดใหญ่ตรงหน้า
แล้วเอ่ยพูดขึ้นกับจี้หยู๋ชิงที่อยู่ในอ้อมแขน : “ที่นี่เป็นที่ทำงานของคุณพ่อนะครับ เดี๋ยวหนูก็จะได้เจอคุณพ่อแล้วนะ”
ว่าแล้ว เธอก็อุ้มเขาเดินเข้าไปด้านใน