ดูจากลายมือแล้ว คงจะเป็นหลวนจื่อที่ทิ้งเอาไว้
แค่เห็นจดหมายฉบับนี้ ในใจก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีแล้ว
เขารีบเปิดจดหมายฉบับนั้น แล้วหยิบเอาจดหมายออกมา เหลือบมองสิบบรรทัดนั้นแล้วอ่านมันอย่างรวดเร็ว
ยิ่งอ่านไปถึงด้านล่าง ก็ยิ่งขมวดคิ้วขึ้น เต็มไปด้วยความตกตะลึง
และไม่นานก็เปลี่ยนเป็นความโมโห สีหน้าซีดเผือด
ไม่คิดว่าหลวนจื่อจะไปต่างประเทศแล้ว! อีกทั้งเพื่อเป็นการไปเรียนต่ออีกสองปีอีกด้วย!
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมเธอไม่เคยพูดกับตัวเองเลย?
ไม่คิดว่าจะรอให้จากไปก่อน แล้วถึงมาบอกเขา และยังใช้วิธีแบบนี้อีกด้วย
สีหน้าของหมินอันเกอดูแย่มาก รีบอ่านให้เสร็จแล้ว ก็กดโทรออกหาหลวนจื่อ
รออยู่ซักพักหนึ่ง ทางฝ่ายนั้นก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆเลย
เขามองจดหมายที่อยู่ในมือ ยังดีที่หลวนจื่อทิ้งข้อมูลของโรงเรียนและอาจารย์เอาไว้
หมินอันเกอเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง เพิ่งจะกลับมาจากการถ่ายทำภาพยนตร์ ยังไม่แม้แต่จะได้นั่งเลยเสียด้วยซ้ำ ก็กำจดหมายในมือแน่นแล้วรีบเดินออกไปด้านนอก พลางโทรหาพี่เจี้ยนผู้จัดการส่วนตัว
“ตอนนี้พี่รีบจองตั๋วเครื่องบินไปอเมริกาให้ผมใบนึง ผมจะออกเดินทางตอนนี้เลย”
พี่เจี้ยนได้ยินแล้วก็อึ้งไปพักหนึ่ง พลางเอ่ยขึ้นด้วยความตะลึง : “เดี๋ยวก่อน คืนนี้นายยังมีกิจกรรมอีกนะ นายลืมไปแล้วใช่ไหม? รายการโปรโมทก่อนภาพยนตร์นะ!”
ก่อนหน้านี้หมินอันเกอยุ่งงาน ก็บีบเวลาให้อยู่ในช่วงเวลางานทั้งหมดเอาไว้ ถ่ายทำเสร็จสิ้นก็รีบกลับ
เขายังแซวอยู่เมื่อก่อน ว่าหลังจากที่หมินอันเกอแต่งงานแล้วก็ยิ่งรักบ้านช่องขึ้นมาแล้ว
ทำไมตอนนี้กลับมาแล้วถึงได้มีข่าวแบบนี้กัน?
น้ำเสียงของหมินอันเกอเย็นชา และมีความโมโหอยู่ด้วย พลางเอ่ยขึ้น : “ต่อให้ผมไม่ไป นักแสดงหลักมากขนาดนี้นี้ ก็คงจะมีคนที่สามารถขึ้นเวทีได้อยู่แล้ว รีบจองตั๋วให้ผมใบนึงเดี๋ยวนี้ ถ้าหากพี่ไม่จัดการให้ ผมจะไปซื้อเอง”
“เดี๋ยวก่อน! นายอย่าเพิ่งใจร้อนสิ” พี่เจี้ยนรีบตะโกนเรียกเขาเอาไว้
ตอนนี้งานของหมินอันเกอกำลังรุ่ง เป็นที่รู้จักมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน ถ้าหากถูกคนพบว่าเขาปรากฏตัวอยู่ที่สนามบินคนเดียวเพียงลำพังล่ะก็ จะต้องเกิดความวุ่นวายอย่างใหญ่หลวงอย่างแน่นอน
เขารีบเอ่ยขึ้น : “นายอย่าเพิ่งวู่วาม ตอนนี้ฉันจะซื้อตัวให้นายเอง แต่นายจะไปอเมริกาทำไม?”
หมินอันเกอก้มลงมองจดหมายที่อยู่ในมือแวบหนึ่ง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มขึ้นมา
เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม : “ไปหาคน”
พี่เจี้ยนได้ยินคำพูดนี้แล้ว ในใจก็รู้สึกสงสัย ขนลุกขึ้นมา รู้สึกหวาดผวาขึ้นมาบ้าง
หลังจากที่หมินอันเกอกลับเข้ามาวงการบันเทิงอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่เหมือนเมื่อก่อน เพื่อเป็นการปกป้องภาพลักษณ์และภาพพจน์ของตัวเอง ก็รักษารอยยิ้มที่เป็นมิตรและอ่อนโยนมาโดยตลอด แต่ก็นอบน้อมและมีมารยาทด้วยเช่นกัน
นานขนาดนี้แล้ว พี่เจี้ยนเป็นครั้งแรกที่ได้ยินน้ำเสียงที่โมโหอย่างชัดเจนแบบนี้จากปากของเขา
เขารู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
“นายอย่าทำเรื่องอะไรที่มันกู้กลับคืนมาไม่ได้เพราะความโมโหนะ”
“ผมรู้ พี่เพียงแค่สนใจเรื่องที่จองตั๋วให้ผมก็พอ ตอนนี้ผมจะไปที่สนามบินแล้ว”
วางสายแล้วนั้น หมินอันเกอก้มลงมองจดหมายที่อยู่ในมือ
ไม่คิดว่าเธอจะไปแล้ว!
ทำไม?
อยู่ข้างๆเขาเป็นทุกข์ลำบากขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรือ?
ก่อนหน้านี้หลวนจื่อมักจะอยู่ข้างๆเขา จะไล่อย่างไรก็ไล่ไม่ไป คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้เธอจะเลือกที่จะจากไปเองแบบนี้ และยังหนีไปในสถานการณ์แบบนี้อีกด้วย!
หมินอันเกอกัดฟันแน่น เธอคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นการเล่นขายของหรืออย่างไรกัน?
เมื่อถึงสนามบิน พี่เจี้ยนก็ซื้อตั๋วเครื่องบินเอาไว้เรียบร้อยแล้วและกำลังรอเขาอยู่
เห็นท่าทางที่โมโหของหมินอันเกอแล้ว ก็รู้สึกกลัวขึ้นมาทันที
เขาไม่เคยเห็นท่าทางที่โมโหแบบนี้ของหมินอันเกอมาเป็นเวลานานมากแล้ว
สีหน้าซีดเผือด ความเยือกเย็นในดวงตาของเขา ทำให้รู้สึกกลัวจนตัวสั่น
การบีบบังคับนี้อยู่บนร่างของเขาทำให้พี่เจี้ยนรู้สึกกลัว
“เป็นอะไรกันแน่?”
เขายื่นตั๋วที่อยู่ในมือให้
หมินอันเกอไม่ได้ตอบคำถาม แต่เอ่ยขึ้นมาแทน : “งานสองสามวันจากนี้ ถ้าเลื่อนออกไปได้ก็เลื่อนไปก่อน ผมอาจจะอยู่ที่นั่นซักสองสามวัน”
ในใจของพี่เจี้ยนนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย แต่กลับไม่กล้าขัด จึงพยักหน้าลง
“ไม่มีปัญหา นายวางใจได้”
หมินอันเกอไม่ได้พูดอะไรอีก แล้วรีบขึ้นเครื่องบินไป
ทิ้งพี่เจี้ยนเอาไว้อยู่ตรงที่เดิม แววตาเต็มไปด้วยความกังวล
เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าดีๆอยู่หรอกหรือ?
หลังจากที่เวินเที๋ยนเที๋ยนกับจี้จิ่งเชินแต่งงานกันแล้ว เขาก็ไม่เคยเห็นสีหน้าอาการแบบนี้ของหมินอันเกออีกเลย ครั้งนี้เป็นเพราะใครอีกกัน?
หลวนจื่อมาถึงอเมริกาแล้ว ได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากปรมาจารย์หูหลิน และยังช่วยเธอจัดเตรียมหอพักเอาไว้อีกด้วย ทำให้โดว์โดว์สามารถอยู่ด้วยกันกับเธอได้
“ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะคะ ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าลงเครื่องมาแล้วจะเจอคนล้วงกระเป๋าไปแบบนี้ โทรศัพท์ก็เลยหายไปด้วยเลยค่ะ”
ปรมาจารย์หูหลินโบกมือ พลางเอ่ย : “ไม่เป็นอะไรเลย ยังดีที่ฉันรออยู่ตรงประตูทางเข้าสนามบิน ไม่อย่างนั้นจะต้องเสียเวลารอรับอย่างแน่นอน เดี๋ยวฉันจะให้คนพาเธอไปทำซิมโทรศัพท์ใหม่นะ”
“ขอบคุณนะคะ”
ส่งปรมาจารย์หูหลินไปแล้ว หลวนจื่อก็หันกลับมามองดูห้องตรงหน้าหนึ่งห้องนอนหนึ่งห้องรับแขก
ถึงแม้จะไม่ใหญ่นัก แต่ดีตรงที่ดูอบอุ่น เธอกับโดว์โดว์พักอยู่สองคนก็เหลือเฟือแล้ว
พอเข้าประตูไปแล้ว โดว์โดว์ก็มองไปซ้ายขวาด้วยความตื่นเต้น พบว่าตรงระเบียงมีต้นไม้ที่ปลูกอยู่ในกระถาง ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา
“ดูเหมือนเป็นดอกไม้ที่คุณพ่อชอบเลยค่ะ!”
หลวนจื่อหันไปมองแวบหนึ่ง เป็นดอกมะลิที่เขาชอบมากที่สุดอย่างนั้นจริงๆ
โดว์โดว์หันกลับมา ดวงตาดูมีความคาดหวัง
“คุณแม่คะ คุณพ่อจะมาหาพวกเราเมื่อไหร่หรือคะ?”
หลวนจื่อเดินไป แล้วกอดเธอเอาไว้เบาๆ
“ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าเราพูดกันเอาไว้แล้วหรือคะ? ว่าเราจะอยู่ที่นี่กันซักพักหนึ่ง ถ้าหากหนูคิดถึงคุณพ่อ แม่ก็จะพาหนูไปหาคุณพ่อบ่อยๆได้ ตอนนี้ก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ? เพียงแต่ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ต่างประเทศกันทั้งนั้นเอง”
โดว์โดว์เอียงหน้าคิด แล้วถึงได้พยักหน้าลงในที่สุด
เหมือนกับเมื่อก่อนจริงๆ ตอนที่อยู่ในประเทศก่อนหน้านี้ เป็นเพราะหมินอันเกอทำงานอยู่ตลอด ดังนั้นเป็นเวลาถึงเดือน สองเดือนถึงจะได้เจอหน้ากัน
ตอนนี้อยู่ที่นี่ ก็ไม่ต่างอะไรกันจริงๆ
โดว์โดว์คิดได้อย่างรวดเร็ว “รอให้คุณแม่เรียนเสร็จก่อนนะคะ แล้วพวกเราค่อยกลับไป ถึงตอนนั้นก็สามารถเจอพวกชิงชิงได้แล้ว”
หลวนจื่อรู้สึกโล่งใจ ก่อนหน้านี้เธอยังรู้สึกกังวลว่าตัวเองควรจะโน้มน้าวให้โดว์โดว์มากับตัวเองได้อย่างไร เพราะถึงอย่างไรความรู้สึกของลูกกับหมินอันเกอก็ดีต่อกันมาก
คิดไม่ถึงเลยว่าลูกจะเอาใจใส่แบบนี้
ตอนที่หลวนจื่อบอกว่าต้องการจะมาเรียนต่อเพื่อตามความฝันของตัวเองนั้น โดว์โดว์ยินยอมเร็วมาก อีกทั้งยังอยู่ข้างเธอ แม้กระทั่งยังคอยปลอบใจหลวนจื่อ ให้เธอไม่ต้องเป็นกังวลอีกด้วย
โดยปกติโดว์โดว์ดูแล้วจะมีนิสัยที่มีความปราดเปรียว และดื้อมาก แต่ก็คอยเอาใจใส่หลวนจื่อมาโดยตลอด
เธอลูบศีรษะของโดว์โดว์พลางเอ่ยพูดขึ้น : “รอหลังจากที่แม่ซื้อโทรศัพท์ใหม่แล้ว เราค่อยโทรไปหาคุณพ่อกันดีไหมคะ?”
โดว์โดว์พยักหน้าลงด้วยความดีใจ แล้วดึงมือหลวนจื่อเดินออกไปทางด้านนอก
หลวนจื่อยิ้มออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อเพิ่งจะผลักประตูออกไปนั้น ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู
ชายคนนั้นสูงมาก น่าจะประมาณ190ซม. ถึงแม้ดูแล้วจะผมดำดวงตาดำ แต่ลายเส้นบนใบหน้าของเขานั้นกลับดูแข็งแรงเป็นอย่างมาก
ทางฝ่ายนั้นราวกับกำลังจะเคาะประตูด้วยเช่นกัน เขายิ้มพลางเอ่ยขึ้น : “สวัสดีครับ ผมเป็นนักเรียนของปรมาจารย์หูหลิน จางอันโย่ว”
หลวนจื่อถึงได้นึกขึ้นมาได้ ว่าเมื่อครู่นี้อาจารย์ฉู่บอกเอาไว้แล้วว่าจะหาคนมาช่วยพาเธอไปซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่
“สวัสดีค่ะ ฉันหลวนจื่อ รบกวนด้วยนะคะ”
“ไม่มีปัญหาครับ”