หลิ่วเหยียนหลอกล่อ
มั่วมั่วยังพูดไม่จบ หลิ่วเหยียนก็ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ยิ่งทำให้มั่วมั่วใจฝ่อ
“พี่ก็พูดมาเถอะว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกันอย่างไร เหตุใดถึงได้บอกว่าข้าจะกลายเป็นเครื่องสังเวยกันล่ะ”
มั่วมั่วเริ่มร้อนรน สายตาล่อกแล่ก เพราะการพูดค้างๆ คาๆ ของหลิ่วเหยียนเช่นนี้ ทำให้นางสงสัยและหวาดหวั่น
กฎเกณฑ์ต่างๆ ในวังนางไม่รู้เรื่องและไม่อาจมองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปรงเช่นหลิ่วเหยียน แต่คำพูดของหลิ่วเหยียน ทำให้นางเกิดความรู้สึกว่าตนเองจะมีชีวิตไม่ยืนยาว
หลิ่วเหยียนเห็นท่าทางลนลานของมั่วมั่วแล้วก็รู้ว่าตนเองสามารถแทรกเข้าไปในใจของนางได้แล้ว อย่างน้อยคำพูดพวกนั้นก็คงทำให้นางหวั่นไหวได้บ้าง ยังไงนางก็ไม่ใช่คนที่มีความคิดมากนักอยู่แล้ว
มั่วมั่วเขย่าแขนหลิ่วเหลียน น้ำเสียงยิ่งร้อนรนขึ้น
“พี่ พี่สาวคนดีรีบบอกข้าเถอะ ในวังนี้ข้าก็มีแต่พี่คนเดียวเท่านั้นที่เชื่อถือได้” มั่วมั่วลนลานด้วยรู้สึกยิ่งกังวลใจ นางเชื่อว่าหลิ่วเหยียนไม่โกหกพกลม เชื่อว่าเรื่องนี้จะต้องมีสาเหตุ
หลิ่วเหยียนเมื่อเห็นถึงเวลาแล้วจึงค่อยๆ เอ่ยปากขึ้น
“อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้า ใต้เท้าสวี่อี้คนนั้นเห็นชัดว่าเข้าข้างเซียงฉือ วันนี้เจ้าหากระโปรงเปื้อนเลือดพบแล้วนำไปส่งที่กองคดี เจ้าคิดว่าเป็นผลงานความชอบหรือ เจ้าอย่าลืมนะว่าในตอนนั้นเซียงฉือไม่ลนลานสักนิดเดียว รู้ไหมล่ะว่าทำไม”
หลิ่วเหยียนจิบชาอย่างมีจังหวะจะโคนเป็นธรรมชาติไม่จงใจ แต่เมื่อถามคำถามแบบนี้ขึ้นมาก็ทำให้มั่วมั่วก็ไม่รู้ว่าทำไม
“นั่นน่ะสิ แล้วทำไมหรือ”
มั่วมั่วถาม นางไม่รู้ว่าเรื่องนี้มีปัญหาตรงไหน ถึงหลิ่วเหยียนจะบอกว่าสวี่อี้ช่วยเหลือเซียงฉือ นางยังรู้สึกว่าเรื่องนี้ประหลาดอยู่ เพราะตามที่เคยปฏิบัติกันมา หากในวังมีคนตายขึ้นมา ไม่ว่าใครมาตรวจสอบล้วนทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ส่วนเรื่องเล็กน้อยก็จะทำให้หายไป
แต่เรื่องในตอนนี้มีหลักฐานตั้งมากมาย สวี่อี้ทั้งไม่ยอมปล่อยแต่ก็ไม่ได้ลงทัณฑ์
“ทำไมน่ะหรือ เฮอะๆ…”
“เจ้าน้องโง่ พวกนางกำลังหาคนตายแทนอย่างไรล่ะ!”
“วันนี้เจ้าล่วงเกินเซียงฉือ น่ากลัวว่าคนที่พวกนางจะคิดถึงก่อนเพื่อนก็คือเจ้านี่แหละ”
นิ้วมือที่ทากระวานสีแดงของหลิ่วเหยียนจิ้มเบาๆ ไปบนหน้าผากมั่วมั่ว แต่น้ำเสียงเย็นเยียบอย่างอับจนปัญญาแบบนั้นฟังเหมือนหนังสือพิพากษาสำหรับมั่วมั่ว นางนั่งกลับลงยังที่เดิมอย่างแรงทำอะไรไม่ถูก
“พี่ แล้วเรื่องวันนี้ ข้า พวกนาง จะทำอย่างไรดี!”
มั่วมั่วตื่นตระหนก เรื่องที่หลิ่วเหยียนพูดมานางไม่สามารถพิจารณาได้ทัน แต่จิตใจถูกคำพูดของหลิ่วเหยียนสั่นสะเทือนจนพูดอะไรไม่ถูก
คำพูดสับสนเพราะไม่รู้จะพูดอย่างไร จะแก้ตัวแบบไหน
“พี่ก็รู้นี่นาว่าไม่ใช่ข้านะ แล้วเหตุใด…”
“พี่พูดไม่ใช่หรือว่าพวกนางใกล้จะปิดคดีได้อย่างง่ายดายแล้ว หลักฐานก็มีแล้ว แต่เหตุใดถึงต้องเป็นข้า มันไม่ถูกต้องนะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าอย่างสิ้นเชิง…”
ถึงแม้ความคิดของมั่วมั่วจะสับสนอยู่ คำพูดของหลิ่วเหยียนก็ฟังดูอันตรายอย่างยิ่ง แต่นางยังพอจับประเด็นสำคัญได้
หลิ่วเหยียนเองก็รู้ว่าคำพูดง่ายๆ ไม่กี่คำนั้น ไม่อาจจะหลอกนางได้ทั้งหมด
ดังนั้นจึงได้พูดต่อ
“เด็กโง่เอ๊ย เจ้ามาอยู่ตำหนักอวี้หยวนนานแค่ไหน แล้วเซียงฉือล่ะนานแค่ไหน เหตุใดคนอื่นไต่เต้าขึ้นเป็นถึงนางกำนัลอาวุโสได้ ส่วนเจ้ายังไม่ก้าวหน้าสักที นั่นน่ะเพราะเขามีคนคอยหนุนหลังกันอยู่”
“เรื่องในวันนี้ฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้สืบสวนถึงที่สุด เช่นนั้นแล้วไม่ว่าคนคนนี้จะถูกคนในตำหนักอวี้หยวนฆ่าตายหรือไม่ก็ตาม สวี่อี้จะต้องหาคนออกมารับผิดให้ได้ ถ้าหากเป็นเซียงฉือไม่ได้แล้ว เช่นนั้นจะเป็นใครกันล่ะ”