ตอนที่ 223 กองงานฝ่ายใน
ชิงอี๋เห็นเซียงฉือพูดเช่นนั้น จึงพูดรับต่อเบาๆ
“ไม่รู้ว่าฝนจะตกไปถึงเมื่อไหร่ อากาศนี่คิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน คนก็เหมือนกันพอจะหาก็หาไม่พบ น้องไม่ต้องกระวนกระวาย มีอะไรไม่เข้าใจก็ถามได้นะ”
“ถึงข้าจะเทียบกับใต้เท้าสวี่อี้ที่รอบรู้และสามารถในทุกด้านไม่ได้ แต่ในครู่ยามนี้คงยังไปไหนไม่ได้ ไม่สู้มาคุยกันดีกว่า”
เมื่อชิงอี๋พูดเช่นนั้น เซียงฉือก็ไม่อาจปฏิเสธจึงเดินเข้าไปหาที่นั่งในเรือนซิ่งฮวาเพื่อคุยกันต่อ
“ใต้เท้าชิงอี๋กล่าวอะไรเช่นนี้ ใต้เท้ายินดีให้คำแนะนำกับข้า นับเป็นวาสนาของข้าแล้ว”
เซียงฉือยังคงเกรงใจต่อนางมาก ส่วนชิงอี๋ก็ไม่ได้วางมาดอะไร ทั้งสองคนจึงคุยกันสนิทสนมอย่างรวดเร็ว เซียงฉือถามขึ้นว่า
“ใต้เท้าชิงอี๋ ท่านพอทราบหรือไม่ว่าทางกองเย็บปักรับสมัครข้าราชสำนักสตรีในตำแหน่งใดบ้าง ข้าเองไม่มีความสามารถอย่างอื่น มีเพียงงานปักที่ยังพอเชิดหน้าชูตาได้บ้างจึงคิดจะไปลองดู”
เดิมชิงอี๋คิดว่าเซียงฉือจะถามเกี่ยวกับเรื่องของข้าราชสำนักสตรีด้านอักษร แต่นางกลับถามถึงกองเย็บปักขึ้น
วังหลังแบ่งออกเป็นสามตำหนักหกหมู่เรือน สามตำหนักหมายถึง ตำหนักอวี้หยวน ที่พำนักของจินกุ้ยเฟย ตำหนักจู้เซียง ที่พำนักของซูเฟย และตำหนักเต๋อซิ่วของฮองเฮาที่ยังว่างอยู่
ทั้งสามที่นี้ก็คือสามตำหนัก เป็นที่อยู่ของพระสนมในวังที่มีฐานะสูงสุดสามคน ตามกฎระเบียบจะแบ่งกันควบคุมดูแลฝ่ายใน
ฝ่ายในแบ่งออกเป็น กองคดีที่ดูแลด้านกฎหมาย กองราชเลขาดูแลด้านบันทึกและเอกสารของฮ่องเต้ กองโอสถดูแลเรื่องโอสถรักษาโรค กองเครื่องเสวยมีหน้าที่ประกอบเครื่องเสวย กองเย็บปักรับผิดชอบดูแลเครื่องแต่งกาย งานประดับผ้าของสตรีในวังหลัง สุดท้ายเป็นกองบริหารจัดการรวมคอยดูแลเรื่องเสบียงและการคลัง
ฝ่ายในเป็นสถานที่ทำงานของข้าราชสำนักสตรี ทุกปีจะมีตำแหน่งว่างอยู่ไม่น้อย เพราะระบบข้าราชสำนักสตรีนั้นยึดถือปฏิบัติตามหลักการด้วยการเน้นคุณภาพไม่เน้นปริมาณ
ดังนั้นจึงมีแต่ต้องดีที่สุดเท่านั้นจึงจะได้รับเลือก โดยเฉพาะกองคดีและกองบริหารจัดการรวม ฮ่องเต้จะทรงสอบคัดและแต่งตั้งเอง ที่เหลืออีกสี่กองส่วนมากแล้วฮองเฮาจะเป็นผู้ชี้ขาด แต่เพราะตอนนี้ตำแหน่งฮองเฮายังว่างอยู่จึงต้องให้กุ้ยเฟย ซูเฟยและจิ้งเฟยเห็นชอบร่วมกันจึงจะสรุปยืนยันได้
ส่วนกองงานราชเลขานั้น เพราะสามารถรับใช้ฝ่าบาทใกล้ชิดจึงกลายเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดที่จะทำให้ข้าราชสำนักสตรีส่วนใหญ่ได้ก้าวพรวดพราดขึ้นเป็นพระชายา ระยะหลังนี้จึงเป็นที่นิยมตลอดมา
การแย่งชิงในแต่ละตำหนักก็ดุเดือด แต่สุดท้ายแล้วยังคงเป็นฮ่องเต้ที่จะเป็นผู้ตัดสินพระทัย
ตอนนี้แผนกเย็บปักที่เซียงฉือถามถึงนั้นเป็นกองที่ค่อนข้างจะเงียบเหงา ทั้งมาตรฐานความต้องการในตัวข้าราชสำนักสตรีก็สูงจึงไม่ค่อยเป็นที่สนใจ
ถึงแม้ชิงอี๋จะสงสัยว่าเซียงฉือจงใจพูดแบบนั้น แต่ก็ยังคงเล่าเรื่องเกี่ยวกับกองเย็บปักแก่นางจนหมดสิ้น
“แม่นางเซียงฉือพึงรู้ว่า การสอบรอบที่สองนั้น จะดูจากความชำนาญและความสามารถเฉพาะทางของหญิงสาวที่ผ่านการคัดคุณสมบัติพื้นฐานของข้าราชสำนักสตรีแล้ว จากนั้นจึงจะกำหนดเลือกกองใดกองหนึ่งในหกกองนั้นที่จะทำให้นางได้แสดงความสามารถออกมาได้เต็มที่ ฝีมืองานปักของแม่นางเซียงฉือเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว คนทั้งหลายในวังต่างพากันยกย่อง คิดว่าหากต้องการจะเข้ากองเย็บปักก็ไม่น่าจะเป็นปัญหามากนัก”
“แต่ว่าใต้เท้าหวังชิงซิ่วแห่งกองเย็บปักปกครองอย่างเข้มงวดมาโดยตลอด หากเจ้าเข้าไปในกองเย็บปักโดยไม่รู้นิสัยนางแล้วละก็ คงต้องเผชิญปัญหาไม่น้อย”
พอพูดถึงเรื่องนี้ชิงอี๋ก็หัวเราะขึ้นเบาๆ เซียงฉือได้ฟังแล้วก็พลอยยิ้มขึ้นด้วย แล้วจึงถามต่อ
“ใต้เท้าชิงอี๋รอบรู้ยิ่งนัก แต่ถ้ามีผู้บังคับบัญชาที่เข้มงวดสักคนก็น่าจะช่วยกระตุ้นเซียงฉือได้ตลอดเวลา นับเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย”
เซียงฉือไม่ได้คิดอะไรมากกับความหมายในคำพูดของชิงอี๋จึงตอบนางเช่นนั้น คิดไม่ถึงว่าชิงอี๋จะยิ่งหลุดหัวเราะหนักขึ้น
“โธ่เอ๊ย น้องสาวโง่ของข้า ที่พี่พูดไม่ได้หมายความเช่นนั้น”