บทที่765 ไม่ใช่แค่ผู้หญิงคนนึงหรือไง
แม่งเอ๊ย!
เฉียวจื้อด่าว่าอยู่ในใจ
ยู่ฉือเซินยังใช่คนอยู่อีกมั้ย? อ้อ ไม่ เขาช่วยทำตัวเป็นคนหน่อยได้มั้ย?
ตัวเขาพูดออกไปตั้งเยอะ ใบหน้าของเขาไม่มีสีหน้าอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย เขาอยู่ตรงหน้าของเขาเหมือนอย่างกับเป็นมนุษย์ล่องหนที่ไม่อาจเรียกความสนใจจากเขาได้เลย
เฉียวจื้อทนมองไม่ไหวอีกต่อไปแล้วจริงๆ เขารู้จักกับยู่ฉือเซินมาได้ไม่นาน แต่ก็ถูกชะตากับเขาอย่างมาก ในช่วงเวลาที่ได้รู้จักกันมานี้เขาเอาแต่ทำหน้าตานิ่งเรียบอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเจอใครก็แสดงสีหน้าเหมือนเดิมอยู่เสมอ กับผู้หญิงก็จะยิ่งแสดงท่าทีที่เย็นชาออกมา เหมือนกับสัตว์เลือดเย็นที่ไม่มีความรู้สึกตัวหนึ่งไม่มีผิด
แต่…สองวันนี้ได้ต่างออกไป
นึกไม่ถึงว่าเขาจะเห็นยู่ฉือเซินต้อนสาวจนมุมอย่างนั้น อีกทั้งผู้หญิงคนนั้นก็ยังเป็นคนเดียวกันกับคนที่เจอกันที่ลิฟต์คนนั้น ในตอนนั้นเฉียวจื้อบอกว่าอยากจะเข้าไปเอากุญแจไปให้ด้วยตัวเอง แต่ยู่ฉือเซินก็ไม่ยอม อาสาจะเอากุญแจกลับไปเอง
ในตอนนั้นเฉียวจื้อก็รู้สึกทะแม่งๆขึ้นมา แต่นึกไม่ถึงว่าพวกเขาทั้งสองคนจะพัฒนาความสัมพันธ์กันรวดเร็วขนาดนี้
มองไปยังพื้นโซฟาตัวนั้นที่ตัวเองกำลังนั่งอยู่ จู่ๆเฉียวจื้อก็มีความคิดหนึ่งเข้ามาในหัว เผยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มออกมา เอ่ยพูดออกไปอย่างพยายามจับผิด
“จะว่าไปพวกคุณเคยมีอะไรมาแล้วหรือยัง?”
นิ้วมือของเย่โม่เซินหยุดชะงักลง สายตาคมกริบกวาดมองไปยังเขา
มีการตอบสนอง!
เฉียวจื้ออยากรู้จริงๆว่ายู่ฉือเซินถูกกระตุ้น หรือจะเป็นท่าทีที่เริ่มสนใจขึ้นมาแล้ว เอ่ยพูดหยั่งเชิงออกไปต่ออย่างไม่กลัวตาย “ผู้หญิงคนนั้นฉันเห็นอยู่ผ่านๆ หุ่นไม่เลวเลย ดูเป็นพวกอวบอิ่มมีเนื้อมีหนัง อีกทั้งหน้าตาก็ยังดูไร้เดียงสา ผู้หญิงประเภทนี้…ความรู้สึกเวลาเล่นด้วยแล้วก็เร้าอารมณ์อยู่นะ”
ในขณะที่เฉียวจื้อพูดอยู่นั้น มือก็ได้ทำท่าทำทางไปด้วย มองดูลามกหื่นกามอย่างมากไม่ได้รับรู้ได้ถึงอุณหภูมิภายในห้องที่กดต่ำลงฉับพลันเลยแม้แต่น้อย
ในตอนที่เขารู้ตัวว่าบรรยากาศภายในห้องได้ผิดแปลกออกไป ก็ได้สายเกินไปเสียแล้ว เฉียวจื้อเห็นเย่โม่เซินยกโทรศัพท์ขึ้นมาคุยด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น
“อืม คุณปู่เฉียว ผมเย่โม่เซินนะครับ ครับ เฉียวจื้ออยู่ที่นี่ครับ”
เชี้ย!
เฉียวจื้อรีบกระโดดลงจากโซฟาทันที เดินเข้าไปหายู่ฉือเซินด้วยท่าทีขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน อยากเข้าไปแย่งโทรศัพท์มาจากมือของเขา แต่ก็ไม่กล้ามากพอ
เขากล้าพูดคุยล้อเล่นกับยู่ฉือเซินขนาดนี้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะมาเจอเรื่องเด็ดๆของเขา แต่จะให้เขาเข้าไปแย่งของมาจากมือของยู่ฉือเซิน เขายังไม่มีความกล้าถึงขั้นนั้น
ทำได้เพียงจ้องมองยู่ฉือเซินคุยโทรศัพท์อยู่อย่างนั้น
“เฉียวจื้อบอกให้ผมไปนัดบอดแทนเขา บอกว่าไม่พอใจการจัดการของคุณปู่เฉียว จนอยากตัดความสัมพันธ์กับคุณครับ”
ยู่ฉือเซินเอ่ยพูดเน้นหนักออกไปด้วยสีหน้าที่นิ่งเรียบเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
เฉียวจื้อนิ่งแข็งอยู่ตรงตำแหน่งเดิม สีหน้าที่แสดงออกมาค่อยๆเลือนหายไป ไม่ต้องคิด เพราะตอนนี้เขาสามารถได้ยินเสียงกู่ร้องคำรามของตาแก่นั่นดังออกมาอย่างชัดเจน
หลังจากที่วางสายไป ยู่ฉือเซินก็วางโทรศัพท์ลง มองเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ต่อ?”
เฉียวจื้อขบฟันแน่น “โอเค นายชนะแล้ว ฉันไม่พูดแล้วโอเคมั้ย?”
เขาไม่พอใจกับการจัดการของตาเฒ่านั่นจริงๆ แต่เขาก็ยังต้องพึ่งตาเฒ่านั่นอยู่ทุกอย่าง ไม่กล้าเถียงออกไปต่อหน้าเขาจริงๆ ไม่อย่างนั้นแล้ว เขาจะมาหายู่ฉือเซินเพื่อให้ช่วยเขาคิดหาวิธีไปทำไมกัน?
แต่ไม่คิดเลยว่า เพียงแค่พูดถึงผู้หญิงของเขาไปแค่ประโยคเดียว เขาจะแก้แค้นตนออกมาอย่างนี้ได้?
ต้องขนาดนั้นเลยหรอ?
แค่ผู้หญิงคนเดียวเองไม่ใช่หรอ?
เขาเห็นผู้หญิงคนนั้นหน้าตาก็สวยสุดๆ รูปร่างก็ไม่เลว แต่…ไม่น่าจะถึงขั้นนั้นเลยไม่ใช่หรือไง?
สุดท้าย เฉียวจื้อก็ได้กัดฟันเอ่ยออกไป “ฝากไว้ก่อนเถอะ ฉันในวันนี้ก็คือนายในวันพรุ่งนี้ ตาเฒ่ายัดเยียดว่าที่เจ้าสาวให้ฉัน หลังจากนี้ปู่ยู่ฉือก็คงจะยัดเยียดให้นายด้วยเหมือนกัน ตอนนี้นายไม่ช่วยฉัน ต่อไปฉันก็จะไม่สนนายเหมือนกัน!”
พูดจบ เฉียวจื้อก็ได้ออกไปจากบริษัทด้วยอาการขุ่นเคือง
จวบจนเขาเดินออกไป เย่โม่เซินก็ไม่ได้สะทกสะท้าน ทั้งยังคงมองหน้าจอด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์
แต่หูของเขากลับมีคำพูดหยาบโลนที่เฉียวจื้อพูดออกมาเมื่อครู่ดังขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
หยาบโลนเสียจริง แต่ความจริงเป็นสิ่งที่พูดถึงคนอื่น อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงประหลาดคนนั้น แต่ในตอนนั้นหลังจากที่เย่โม่เซินได้ยินไปแล้วภายในใจก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
เขายกกาแฟขึ้นมาจิบอีกครั้ง แววตากลับนิ่งลึกลงหลายส่วน
รูปร่าง ดูเหมือนว่าจะไม่เลวเลยจริงๆ
*
หลังจากที่หานมู่จื่อออกมาจากห้องทำงานอย่างกับกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่างนั้น ก็ได้รีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำข้างๆทันที เธอออกมาอย่างเร่งรีบ จึงคว้ามาเพียงผ้าขนหนูเปียกออกมาเพียงอย่างเดียว อุปกรณ์ทำความสะอาดอย่างอื่นล้วนแล้วแต่จะยังอยู่ในห้องทั้งนั้น
แต่ถึงอย่างไรในตอนนี้เธอกลับไม่กล้ากลับเข้าไปเลย
เธอไม่รู้ว่าจะต้องใช้อารมณ์และท่าทางแบบไหนไปเผชิญหน้ากับเย่โม่เซิน หัวใจดวงนี้ของเธอยังคงเต้นรัวออกมาไม่หยุด
เธอมองตัวเองในกระจก ใบหน้ารูปไข่มีสีแดงก่ำออกมา แม้แต่ใบหูก็ยังร้อนไปหมด
ถ้าเมื่อกี้ไม่มีคนเข้ามาล่ะก็ งั้นเขาจะจูบลงมาใช่หรือเปล่า?
แต่…แล้วทำไมเขาต้องจูบลงมาด้วย? ว่ากันตามหลักแล้ว ถ้าเขาสูญเสียความทรงจำไปแล้ว เขาก็จะต้องไม่ทำเรื่องแบบนี้สิถึงจะถูก?
เธอรู้นิสัยของเย่โม่เซินดี
เมื่อได้ลองคิดไปคิดมาแล้ว หานมู่จื่อโยนความผิดทั้งหมดไปที่ตัวผู้ชายคนนั้นที่เข้าไปในห้องเมื่อครู่นี้ ถ้าไม่เป็นเพราะจู่ๆเขาก็บุกเข้ามาล่ะก็ เธอก็จะรู้แล้วว่าสุดท้ายเย่โม่เซินคิดจะทำอะไรกันแน่
ตอนนี้ ภายในใจตื่นเต้นดีใจเล็กๆขึ้นมา ทั้งยังรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
สิ่งที่ตื่นเต้นดีใจก็คือเย่โม่เซินเข้าใกล้ตัวเองบ้างแล้ว แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือไม่ได้แตะโดน
หานมู่จื่อซักทำความสะอาดผ้าขนหนู จากนั้นก็เอาไปตากเอาไว้ข้างๆ
เธอสงบอารมณ์อยู่ในห้องน้ำอยู่สักพักนึงจากนั้นก็กลับห้องเลขาไป
พี่หลินเหมือนราวกับว่าจะร้อนใจมากเป็นพิเศษ พอเห็นเธอกลับมา ก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของเธอทันที
“ว่าไง เป็นยังไงบ้าง?”
หานมู่จื่อมองเธอเล็กน้อย เห็นเธอถูมือเข้าด้วยกัน ใบหน้าแสดงท่าทางอยากรู้ออกมา บวกกับท่าทางร้อนอกร้อนใจตอนที่ผลักเธอเข้าห้องทำงานเมื่อก่อนหน้าแล้ว ก็เข้าใจขึ้นมาทันที
“ไม่ได้มีอะไรนี่คะ” หานมู่จื่อยิ้มออกมาเล็กน้อย เอ่ยพูดเสียงนิ่งออกไป
ได้ยินดังนั้นแล้ว พี่หลินก็แปลกใจขึ้นมาเล็กน้อย “ไม่ได้มีอะไรแบบไหน?” เธอมองด้านหลังของหานมู่จื่อ แล้วหันมามองร่างของเธออีกครั้ง “คุณชายเซินไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา?”
ระเบิดอารมณ์?
หานมู่จื่อนึกย้อนไปแป๊บนึง ในความทรงจำของเธอ เย่โม่เซินปฏิบัติต่อคนที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยท่าทางอย่างนี้มาโดยตลอด พูดน้อยแต่ปากจัด ไม่อาจนับว่าเป็นการระเบิดอารมณ์เลยทีเดียว
ถ้าเย่โม่เซินระเบิดอารมณ์ออกมาจริงๆ นั่นมันจะน่ากลัวเป็นอย่างมาก
อาจจะไม่มีแม้แต่จะปากร้ายกับคุณเลยแม้แต่น้อย
เมื่อคิดมาจนถึงตรงนี้แล้ว หานมู่จื่อก็ส่ายหน้าเล็กน้อย
“ไม่มีนะคะ”
“ไม่มี??” เสียงของพี่หลินสูงขึ้นมา เหมือนกับไม่กล้าที่จะเชื่อออกมา ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างออกมา “เขาไม่ระเบิดอารมณ์ออกมาเลยงั้นหรอ? นี่มันไม่น่าจะเป็นไปได้นะ?”
ทั้งๆที่สายที่โทรเข้ามาเมื่อกี้ เธอมีลางสังหรณ์ว่าคุณชายเซินจะต้องระเบิดอารมณ์ออกมาแน่ ดังนั้นแล้วหลังจากที่เธอพาหานมู่จื่อไปถึงห้องทำงาน ก็ปล่อยให้หานมู่จื่อเดินเข้าไปเอง จากนั้นเธอก็กลับมารอที่ห้องเลขาทันที
เธอถึงขนาดที่คิดไปถึงว่า ถ้าถึงตอนนั้นหานมู่จื่อเกิดทำให้ยู่ฉือเซินขุ่นเคืองขึ้นมา แล้วถูกเขาไล่ออกไปล่ะก็ เธอเองก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน
อันที่จริง…ถึงแม้ว่าหานมู่จื่อจะเป็นคนที่เธอเลือกมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ แต่ไม่ว่ายังไงตอนนี้ยู่ฉือเซินก็ใหญ่ที่สุด ผู้ช่วยเลขาที่เขาไม่พอใจ จะเก็บไว้ให้ทำงานต่อไปได้ยังไง
แต่เธอเซ็นสัญญาไปแล้ว ถึงตอนนั้นเธอก็ให้เงินปลอบใจเธอไปสักหน่อย แล้วพูดปลอบใจเธอมากหน่อย เด็กคนนี้ไม่เลวเลย เมื่อถึงตอนนั้นเธอสามารถช่วยหางานอื่นให้กับหานมู่จื่อได้
แต่ไม่นึกเลยว่า หานมู่จื่อจะกลับมาได้อย่างแคล้วคลาดปลอดภัย อีกทั้งยังบอกอีกว่ายู่ฉือเซินไม่ได้ระเบิดอารมณ์ออกมา
หลอกผีก็ยังไม่เชื่อเลย
บางเธออาจจะถูกไล่ออกไปแล้ว?
ดังนั้นก็เลยไม่จำเป็นต้องมาเสียเวลาระเบิดอารมณ์ออกมา?
เมื่อคิดมาจนถึงตรงนี้แล้ว พี่หลินก็จับร่างของหานมู่จื่อพร้อมทั้งถามออกมาอีกครั้ง
“แล้วคุณชายเซินได้พูดอะไรออกมาหรือเปล่า?”