บทที่768 ชอบฉัน
“ชอบฉัน?”
น้ำเสียงนิ่งเรียบดังขึ้นมาจากทางด้านบน
หานมู่จื่อเงยหน้าขึ้นไปทันที มองเขาไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
จากนั้นก็รีบส่ายหน้าออกไปทันที “ไม่ใช่นะคะ”
“ไม่?” เย่โม่เซินเอ่ยเย้าออกมา เหยียดร่างลุกขึ้นหรี่ตาเข้าไปใกล้ร่างเธอ “เธอคิดว่าฉันจะเชื่อ?”
คาดว่าน่าจะเป็นเพราะกังวลว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานจะกลับมาอีกครั้ง ดังนั้นแล้วหานมู่จื่อก็รีบเซถอยไปข้างหลังทันที รีบพูดแก้ตัวให้ตัวเองออกไป “ฉันเพียงแค่เห็นท่านประธานดื่มกาแฟอยู่ตลอด แล้วยังดูเหมือนว่าสุขภาพจิตจะไม่ค่อยดีนัก ฉันก็เลยเปลี่ยนเป็นนมให้คุณอย่างคิดเออออไปเองคนเดียวเพราะว่าฉันคิดว่านมสามารถช่วยในการนอนหลับได้ ทั้งยังดีต่อร่างกายของท่านประธานอีกด้วย ไม่ได้มีความหมายอื่นเลยนะคะ”
คาดว่าน่าจะกลัวว่าเขาจะไม่เชื่อ หานมู่จื่อก็ยังพูดออกไปอีกว่า “แน่นอนว่า ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ท่านประธาน แต่ถ้าเป็นเจ้านายของฉันแล้ว ฉันก็จะทำอย่างนี้เหมือนกันค่ะ!”
เห็นเธอร้อนรนจนไม่รู้จะเอามือไม้ไปวางเอาไว้ตรงไหนดีอย่างนั้นแล้ว แววตาของเย่โม่เซินก็ยิ่งมืดครึ้มออกมาเรื่อยๆ
ผู้หญิงตรงหน้านี้ เห็นได้ชัดเลยว่ากำลังคิดแทนเขาอยู่ สายตาที่มองเขาเมื่อวาน เขาไม่มีทางที่จะมองผิดไป
แต่เธอฉลาด ไม่ยอมรับว่าตัวเองสนใจเขา ก็คงอยากอยู่ที่นี่ต่อให้นานอีกหน่อยล่ะมั้ง?
อยากอยู่ที่นี่ต่อ แต่กลับท้าทายขีดจำกัดความอดทนของเขาอย่างนี้อีก
“ตกลงเธอทึ่ม หรือโง่กันแน่?”
จู่ๆเขาก็พูดประโยคนั้นออกมา
“หา?” หานมู่จื่องุนงงไม่รู้เรื่องรู้ราว
เย่โม่เซินหันร่างกลับไป เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “ก่อนที่ฉันจะโมโห ไปเอากาแฟมาให้ฉัน ส่วนนมนี่…ถ้าเธอคิดว่ามันมีคุณค่าทางโภชนาการมากนัก”
เขาหันออกไปเล็กน้อย จนเผยให้เห็นใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาออกมา “งั้นก็ยกให้เธอแล้วกัน”
เขาก็พูดออกมาอย่างนั้นแล้ว หานมู่จื่อจึงรู้ได้อย่างแน่นอนว่าเขาไม่ดื่มนมแก้วนั้นแน่ ความจริงแล้วเย่โม่เซินเป็นคนไม่ชอบดื่มนม อันที่จริงสำหรับเขาแล้ว นมก็เหมือนกับยาพิษก็ไม่ปาน เพราะเขาไม่ชอบรสชาตินั้นของมัน
ตอนนี้เธอกับเขาก็ยังไม่ได้อยู่ในความสัมพันธ์แบบนั้น เธอไม่อาจหวังเกินตัวว่าเขาจะยอมเปลี่ยนมาดื่มนมแทนกาแฟเพียงเพราะคำพูดไม่กี่ประโยคของเธอได้จริงๆ
แต่หานมู่จื่อก็ยังไม่ยอมแพ้ เมื่อเทียบกับการที่เย่โม่เซินโมโหออกมาแล้วนั้น เธอกังวลว่าร่างกายที่ถูกละเลยไม่ได้รับการดูแลจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นมามากกว่า
เธอยกแก้วนมแล้วก้าวเข้าไปข้างหน้า คิดอยู่สักพักก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไป “เอ่อ…ถ้าไม่ดื่มนม งั้นฉันชงชาให้ดีมั้ยคะ?”
เย่โม่เซินขมวดคิ้วออกมา
“ชาก็ดีนะคะ สามารถปลุกร่างกายให้ตื่นตัวได้เหมือนกับกาแฟ อีกทั้งดื่มแล้วก็ยังดีต่อสุขภาพ ดีกว่าดื่มกาแฟเยอะเลยนะคะ”
ความจริงกาแฟก็ไม่ใช่ของที่ไม่ดีอะไรนักหรอก เพียงแต่ความถี่ที่เย่โม่เซินดื่มกาแฟนั้นมันมากเกินไปจริงๆ
ในตอนนี้เย่โม่เซินก็ได้มองเธอออกไปด้วยความไม่พอใจเป็นที่เรียบร้อย รังสีของความเยือกเย็นจากร่างของเขาแผ่ออกมา “เธออยากโดนไล่ออกหรือไง?”
หานมู่จื่อ “….”
โอเค เธอไม่กล้าแล้ว
สุดท้ายเธอก็ต้องยกนมแก้วนั้นออกจากห้องทำงานไป
ต้องกลับไปที่ห้องครัวอีกครั้งเพื่อชงกาแฟให้กับเย่โม่เซิน
เนื่องจากรู้มูลเหตุเรื่องที่เกิดขึ้น ดังนั้นแล้วพี่หลินจึงยืนรอดูผลลัพธ์อยู่ที่ประตูหน้าห้องเลขา
เมื่อเห็นหานมู่จื่อถือนมแก้วนั้นกลับมาในตอนที่เดินผ่านประตูหน้าห้องเลขานั้น พี่หลินก็ก้าวเข้าไปด้วยสีหน้ายิ้มๆ “รู้ผิดแล้วหรือยังล่ะ? เพิ่งเข้าทำงานได้สองวันก็คิดจะเปลี่ยนความเคยชินของเจ้านายเข้าเสียแล้ว ฉันแนะนำว่าต่อไปก็กำจัดความคิดพวกนี้ออกไปซะ คนอย่างคุณชายเซินน่ะ…จุ๊ๆ”
เธอส่ายหน้าออกไปพลางมองไปทางห้องทำงานของยู่ฉือเซินไปพลาง
“ไม่ใช่คนที่คนทั่วไปจะสามารถสั่นไหวได้ อีกทั้ง…”
เธอไม่พูดออกมา หานมู่จื่อก็ไม่ได้คิดจะถามออกไปอยู่แล้ว แต่พูดออกมาครึ่งนึงแล้ว แล้วก็ไม่พูดอีก หานมู่จื่อก็เกิดอยากรู้ขึ้นมาทันที จึงได้มองเธอออกไปด้วยความสงสัย “อีกทั้งอะไรหรอคะ?”
“อีกทั้งถึงแม้ว่าจะมีวันไหนที่เธอสามารถสั่นไหวเขาขึ้นมาได้จริงๆ แต่มันก็ไม่ยาวนานหรอก”
คิ้วสวยของหานมู่จื่ออดไม่ได้ที่จะขมวดออกมา “ไม่ยาวนานหมายความว่าอะไรหรอคะ?”
แต่พี่หลินกลับไม่ได้พูดต่อออกมาอีก แต่ก็ได้เหลือบไปมองแก้วนมในมือเธอด้วยแววตาที่สื่อความหมายลึกซึ้ง เอ่ยพูดยิ้มๆออกมา “เอาล่ะ คุณชายเซิน ให้เธอไปเปลี่ยนเป็นกาแฟใช่มั้ย? รีบไปเปลี่ยนสิ คุณชายเซินจะได้ไม่ต้องรอนาน จนโมโหออกมาจริงๆ”
“ค่ะ” หานมู่จื่อก้มหน้าแล้วเดินไปทางห้องครัว
พี่หลินมองตามแผ่นหลังของเธอออกไป เริ่มคิดไตร่ตรองขึ้นมา
เมื่อวานหานมู่จื่อยังพูดออกมาต่อหน้าเธอว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับคุณชายเซิน แต่เธอก็เชื่อออกไป แต่คิดว่าตอนนี้เธอคงต้องย้อนกลับไปคิดใหม่อีกสักหน่อย
ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน แต่ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนก็คงไม่ง่ายดายอย่างนั้นแน่
เธอบอกว่าตัวเธอไม่ได้สนใจในตัวคุณชายเซิน แต่ทั้งความกังวลก็ดี ความเป็นห่วงก็ดีที่ได้ประดับอยู่บนใบหน้านั้นล่ะ ทั้งหมดล้วนแสดงออกมาให้เห็น ความรู้สึกนี้ไม่เหมือนกับเป็นเพียงแค่การหลงรักเท่านั้น แต่เหมือนกับว่า…ทั้งสองคนจะมีความสัมพันธ์ที่ชิดเชื้อกันอย่างมากไม่มีผิด
อืม ยังต้องสังเกตอีกสักหน่อย
หานมู่จื่อไปที่ห้องครัว เพื่อชงกาแฟให้เย่โม่เซินใหม่ เนื่องจากกังวลเรื่องสุขภาพของเขา ดังนั้นก็เลยแอบลดส่วนผสมไปเล็กน้อย
ส่วนนมที่เขาไม่ต้องการนั้น หานมู่จื่อก็จำต้องดื่มเองจนหมด
ดื่มเสร็จ ก็ยกกาแฟไปที่ห้องทำงานอีกครั้ง
“กาแฟมาแล้วค่ะ” เธอเอากาแฟไปวางบนโต๊ะทำงานของเขาอย่างเนือยๆ
เมื่อได้ยินเสียงเอ่ยเนือยๆของเธอ เย่โม่เซินก็แทบจะจินตนาการถึงสภาพหมดกำลังใจของเธอออกมาได้เลยทีเดียว ไม่รู้ว่าทำไม นัยน์ตาดำสนิทคู่นั้นได้มีประกายของรอยยิ้มจางๆออกมา แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
หานมู่จื่อยืนอยู่ตรงนั้น เห็นเขายกกาแฟขึ้นจิบ จากนั้นก็ขมวดคิ้วออกมาทันที พร้อมวางแก้วกาแฟนั้นลง
“จืดลง”
จู่ๆก็เงยหน้าขึ้นมองเธอทันที จากนั้นก็นิ่งอึ้งไปแป๊บนึง
ใบหน้าสวยอันเป็นธรรมชาตินั้นของเธอ อยู่ในชุดที่ดูเรียบง่ายเป็นอย่างมากกำลังยืนอยู่ตรงหน้าของเขา ผิวขาวจนสว่างออกมา สำคัญที่สุดก็คือ…บนขอบริมฝีปากสีชมพูนั้น มีคราบนมสีขาวเปื้อนอยู่
เย่โม่เซินหรี่ตาลง เผยแววตาดุดันออกมา
เมื่อกี้นี้ที่เขาบอกไปว่านมแก้วนั้นยกให้เธอ
เธอก็ดื่มมันไปจริงๆ
เฮอะ ช่างเป็นผู้หญิงที่ว่าง่ายเสียจริง
เห็นคราบนมสีขาวนั่นแล้ว เย่โม่เซินก็ลุกขึ้นไปทันที ใช้นิ้วมือปาดเช็ดคราบนมนั้น
ความรู้สึกที่ผิวเนื้อสัมผัสกันทำให้ทั้งสองคนต่างก็สปาร์คกันทันที หานมู่จื่อเห็นคราบสีขาวที่อยู่บนปลายนิ้วมือของเขาก็ได้รู้ตัวอะไรขึ้นมาได้บ้างแล้ว รีบยกมือขึ้นมากุมริมฝีปากของตัวเองเอาไว้ ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากที่จะเชื่อออกมา
บ้าจริง เมื่อกี้เธอกำลังโมโหอยู่ จึงซดนมแก้วนั้นไปจนหมด ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลยสักนิด ไม่นึกเลยว่า…เธอยังทิ้งร่องรอยหลงเหลืออยู่ตรงขอบปาก
เย่โม่เซินจ้องมองคราบสีขาวที่อยู่ตรงปลายนิ้วของตัวเอง ทันใดนั้นเองก็รู้ตัวขึ้นมาว่าเมื่อกี้ตนได้ทำอะไรลงไป นัยน์ตาดำสนิทของเขามีประกายความขึงขังแวบผ่านออกมา พร้อมเอ่ยเสียงเย็นออกมา “เธอออกไปได้แล้ว”
หานมู่จื่อ “ฉัน…”
“ยังไม่ไป?” เขาหรี่ตาออกมา จ้องมองเธออย่างไม่พอใจ
หานมู่จื่อก็ไม่รู้ว่าตนกำลังคิดอะไรอยู่ ภายในใจกระสับกระส่ายขึ้นมา จากนั้นก้าวหนีกระเจิงออกไปจากห้องแห่งนั้น
หลังจากที่เธอออกไป เย่โม่เซินก็เหม่อมองนิ้วมือของตัวเอง
ผ่านไปได้สักพักนึง เขาก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดคราบเปื้อนที่ปลายนิ้วออกไป จากนั้นก็เช็ดมันออกไปซ้ำๆ
ใช่ ต้องแบบนี้
เขาต้องเป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นอะไรที่มาโดนตัวเขา เขาก็ต้องหลบเลี่ยงไม่ให้มาแตะต้องเขาได้ จากนั้นก็ตามเช็ดร่องรอยพวกนั้นออกไป ไม่ใช่เป็นเหมือนอย่างในตอนนี้…
คล้ายกับว่าร่างกายเกิดความผิดปกติขึ้นมาอย่างนึง เห็นร่องรอยที่อยู่บนริมฝีปากของเธอแล้ว ก็เข้าไปเช็ดให้เธอเสียแล้ว
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาควรทำ
เย่โม่เซินเม้มริมฝีปากของตัวเอง โยนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นลงถังขยะข้างๆด้วยสีหน้าเย็นชา
เจ้าตัวไปแล้ว บรรยากาศรอบๆทั้งหมดก็ได้กลับคืนมาเป็นปกติ