บทที่903 เตรียมจัดกระเป๋า
“ก็ได้ก็ได้ งั้นไม่รบกวนพวกคุณแล้ว พี่สะใภ้ แล้วพวกผมจะมาเยี่ยมทีหลังนะครับ”สุดท้าย เฉียวจื้อก็บอกลาหานมู่จื่อ
หานมู่จื่อยิ้มแหย เพราะเย่โม่เซินไล่แขกกลับแบบนี้มันไม่ค่อยมีมารยาทสักเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ใส่ในเรื่องนี้เลย
“ต้องขอโทษด้วยนะเฉียวจื้อ หลัวลี่… รอฉันออกจากโรงพยาบาลแล้ว จะต้องเลี้ยงข้าวตอบแทนพวกคุณแน่นอน วันนี้ยังไม่ค่อยสะดวกจริงๆ”
หลัวลี่ที่ถูกเรียกชื่อ รีบโบกมือไปมา “ไม่เป็นไรหรอกมู่จื่อ พวกเราเข้าใจ จริงไหมเฉียวจื้อ”
เฉียวจื้อพยักหน้าตาม หลังจากนั้นทั้งสองคนก็พากันเดินออกไป
ก่อนจะเดินออกจากห้องไป เฉียวจื้อก็ส่งสายตาเคืองให้เย่โม่เซิน แล้วเดินจากไปพร้อมกับหลัวลี่
รอจนทั้งสองคนเดินจากไป ภายในห้องยังคงกลับมาเงียบสงบเหมือนเดิม บรรยากาศที่มีชีวิตชีวาก่อนหน้านี้หายไปด้วยเช่นกัน หานมู่จื่อมองไปทางเย่โม่เซิน ก่อนจะพูดออกมาอย่างอดใจไม่ไหว
“เอ่อ จากนี้ไปคุณเป็นมิตรกับพวกเขาหน่อยได้ไหมคะ”
พอได้ยินแบบนี้ เย่โม่เซินก็หรี่ตาลง แล้วมองหน้าเธอด้วยแววตาวาวโรจน์
“คุณอยากให้ผมทำดีกับผู้หญิงคนอื่นอย่างนั้นเหรอ”
หานมู่จื่อ “…ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นค่ะ ฉันแค่อยากจะบอกว่าเฉียวจื้อกับหลัวลี่เป็นเพื่อนของพวกเราเท่านั้นเอง”
เย่โม่เซินขยับเข้าใกล้เธอ ใช้มือข้างหนึ่งพาดข้างกายของเธอ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “แล้วยังไง ผมทำดีกับแค่คุณคนเดียว ไม่ดีหรือไง”
“…”
ทำดีกับเธอแค่คนเดียว ต้องดีอยู่แล้ว
แต่ว่าเย่โม่เซินเย็นชามากเกินไป ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้เขาได้ เธอจึงต้องเปลี่ยนวิธีพูดใหม่ “ฉันไม่ได้จะบอกว่าคุณทำดีกับฉันคนเดียวแล้วไม่ดี แต่คุณเห็นท่าทางตกใจของหลัวลี่ที่มีต่อคุณ จนต้องวิ่งไปหลบด้านหลังเฉียวจื้อไหมคะ มันหมายความว่ายังไงรู้ไหมคะ”
เย่โม่เซินยักคิ้ว “ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ พวกเธอหลบเลี่ยงผม ดีกว่าเข้ามารบกวนผม”
“คุณคิดมากไปแล้วค่ะ หลัวลี่ไม่เหมือนคนอื่น เธอไม่มีทางรบกวนคุณแน่ๆค่ะ”
“แล้วคุณล่ะ”
เย่โม่เซินจับคางของเธอไว้ แล้วค่อยๆหรี่ตาลง แต่สายตาคู่นั้นกลับไม่มีความแค้นเคือง มีก็แต่ความคาดหวังและรอคอย
น้ำเสียงของเขาแหบพร่าและเคร่งขรึม “ในตอนแรกคุณคิดจะใช้แผนการไหน เพื่อจะเข้าใกล้ผมอย่างนั้นเหรอ”
เขาขยับตัวเข้าใกล้กะทันหัน ทำให้หานมู่จื่อหยุดชะงักไป “คุณ…”
“แล้วพวกผู้หญิงที่เข้ามารบกวนผม จะคิดเหมือนกันหรือเปล่า หืม”
หานมู่จื่อ “…”
“หรือว่า คุณกับพวกเธอมีจุดประสงค์ไม่เหมือนกัน”
พอจ้องตากับเขาได้สักพัก หานมู่จื่อก็ยื่นมือออกมาจากผ้าห่ม แล้วจับมือของเขาที่กำลังจับคางของเธอไว้ ก่อนจะถามกลับ “แล้วคุณคิดว่ายังไงคะ”
เย่โม่เซินชะงักไปเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมา เขาค่อยๆโน้มตัวลงมา ก่อนจะพูดเสียงนุ่ม “คุณไม่เหมือนกับคนอื่น”
พอพูดจบ ริมฝีปากของเขาก็กดทับลงมาที่ริมฝีปากของเธอแน่น
หานมู่จื่อรู้สึกภาพตรงหน้ามืดลง ก็ถูกเขาจูบไปแล้ว เธอพยายามหลบหนี มือใหญ่ข้างที่จับคางของเธอย้ายไปประคองท้ายทอยของเธอ เพื่อที่จะจูบอย่างดูดดื่มมากยิ่งขึ้น
ท่านี้ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่
เขายืนอยู่ ส่วนเธอนั่งอยู่
เขาประคองท้ายทอยของเธออยู่ ทำให้เธอขยับไปไหนไม่ได้ จึงได้แต่ต้องเงยหน้าขึ้นมารับจูบของเขา
ภายในห้องพักคนไข้เริ่มครอบคลุมไปด้วยแรงปรารถนา
จนกระทั่งหานมู่จื่อเริ่มหายใจไม่ทัน เย่โม่เซินจึงต้องถอนจูบอย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะจ้องมองเธอด้วยแววตาเสน่หา
แววตาปรารถนาที่ร้อนแรงนั้น ทำให้หานมู่จื่อรู้สึกว่าเขาพร้อมจะกระโจนเข้ามากลืนกินเธอได้ตลอดเวลา แต่ที่นี่มันโรงพยาบาลนะ
เธอทำได้แค่เอื้อมมือไปแตะหน้าอกของเขาเพื่อห้ามปราม ก่อนจะพูด “นี่คุณ… ต่อไปนี้ห้ามจูบฉันตามอำเภอใจที่นี่อีกนะคะ”
“ทำไม”เย่โม่เซินหัวเราะเสียงต่ำ “กลัวว่าผมจะจับคุณกินที่นี่หรือไง”
คำพูดนี้ทำให้หานมู่จื่อเขินอายจนหน้าแดงก่ำ เธอถลึงตาใส่เขา “คุณพูดอะไรของคุณเนี่ย”
เย่โม่เซินไม่สนใจว่าเธอจะบอกว่าเขาพูดไปเรื่อยหรือว่าอะไร ฝ่ามือใหญ่คล้องเอวบางของเธอไว้ จนมาหยุดลงที่หน้าท้องของเธอ หานมู่จื่อตื่นเต้นมากจนไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย
ทำไม… ทำไมถึงได้บังเอิญวางมือไว้บนหน้าท้องของเธอแบบนี้
ถึงแม้ว่าหน้าท้องของเธอจะยังมองไม่ออก แต่นั่นก็เป็นเพราะใส่เสื้อผ้าปิดบัง ถ้าหากวางมือไปที่หน้าท้อง ถ้าอย่างนั้น…
เป็นไปตามที่คาด ดวงตาเรียวของเย่โม่เซินแฝงไปด้วยแววตาตลกขบขัน “อ้วนแล้ว”
หานมู่จื่อ “…”
ทันทีที่เย่โม่เซินเอามือกลับ สีหน้าของหานมู่จื่อก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อเห็นเขามีอาการแปลกๆ แค่คำพูดของเขาก็ทำให้หานมู่จื่อใจเต้นแรงแล้ว เธออ้าปากค้าง “ฉัน…”
“อย่าพูดแก้ตัว ช่วงนี้คุณกินแล้วก็นอน ตื่นนอนมาก็กินอีก ยังจะบอกว่าตัวเองไม่อ้วนอีก”
เอาเถอะ เธอคงจะอ้วนขึ้นจริงๆ แต่ว่า… ตรงหน้าท้องคงจะเป็นเพราะกำลังท้อง โชคยังดีที่เย่โม่เซินไม่ถามอะไรต่อ
ในวันต่อมา หานมู่จื่อยังคงพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลที่จริงแล้วเธอสามารถออกจากโรงพยาบาลได้นานแล้ว แต่เย่โม่เซินกลับไม่ยอม บอกว่าเธอต้องรักษาตัวอยู่ที่นี่อีกสักพัก
หานมู่จื่อเถียงสู้เขาไม่ได้ สุดท้ายจึงต้องยื่นข้อเสนอกับเขา บอกว่าขอออกจากโรงพยาบาลในวันปีใหม่ เพราะเธอไม่อยากอยู่ในโรงพยาบาลวันปีใหม่ มันโดดเดี่ยวและเงียบเหงามาก
คงจะเป็นเพราะว่าประโยคสุดท้ายที่เธอพูดฟังดูน่าสงสารมาก ดังนั้นเย่โม่เซินจึงตอบตกลงให้เธอออกจากโรงพยาบาลในวันที่สามสิบ ช่วงบ่ายเขาจะมารับเธอกลับบ้าน
ส้งอานมาเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลทุกวัน ตอนที่ทั้งสองคนพูดถึงเรื่องของตระกูลยู่ฉือ ส้งอานก็ยังคงมีท่าทางไม่อยากจะพูดถึง ไม่อยากจะฟังและไม่อยากสนใจเช่นเดิม
พอหานมู่จื่อถามเยอะเข้า เธอก็ตอบกลับสองประโยค
“น้ารู้ว่าหนูกังวลใจอะไรอยู่ หนูกำลังกังวลใจแทนโม่เซิน กลัวว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตาของเขาจะแย่ลง แต่ว่านะมู่จื่อ ตาคนนี้เป็นแค่ตาที่โผล่ออกมากะทันหัน ถึงแม้จะเป็นตาแท้ๆ ถึงแม้จะเกิดเรื่องขึ้นมาจนความสัมพันธ์แย่ลง ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายเสมอไปนะ”
หานมู่จื่อกระพริบตาปริบๆ “แต่ว่า… ถ้าถึงตอนที่ความทรงจําของเขากลับคืนมา เขาจะรู้สึกเสียใจทีหลังหรือเปล่าคะ”
ส้งอาน “… แล้วหนูคิดจะให้ยู่ฉือจินยอมรับพวกหลานหรือไง”
หานมู่จื่อไม่พูด ส้งอานถอนหายใจออกมา ก่อนจะเริ่มปลอบประโลมเธอ “ที่จริงแล้ว ตั้งแต่ที่หนูถูกตวนมู่เสว่จับตัวไป น้าก็บอกเรื่องที่หนูท้องให้ตาแก่นั่นรู้แล้ว ช่วงนี้โม่เซินมาคอยดูแลหนูที่โรงพยาบาลทุกวัน ไม่เข้าไปที่บริษัทเลย เขาก็ไม่ได้พูดอะไร น้าเดาว่าเขาคงไม่มีหน้าจะยื่นมือเข้ามายุ่งแล้วล่ะมั้ง รวมไปถึงเรื่องที่ตวนมู่เสว่ทำไปทั้งหมด ก็เพียงพอให้เขาปวดหัวไปได้สักพักแล้วล่ะ”
”คุณน้าคะ คุณน้าคิดว่าคุณตาของโม่เซินรู้เรื่องของหนู…แล้วท่านจะ…”
“น่าจะยังไม่ใช่ตอนนี้ ช่วงนี้เขาไม่มีเวลาว่างมากขนาดนั้น แต่มันก็มีเวลาจำกัด รอเขาจัดการเรื่องของตวนมู่เสว่เสร็จ เขาคงจะมาจัดการเรื่องโม่เซินกับหนูต่อแน่นอน”
พอได้ยินถึงตรงนี้ หานมู่จื่อก็นิ่งเงียบ ที่พูดมาก็ถูก
เธอจะใจร้อนไปทำไม มีหลายเรื่อง ที่เมื่อถึงเวลาก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาอยู่ดี
หานมู่จื่อไม่รู้เลย ว่าตอนนี้ในประเทศ เสี่ยวหมี่โต้วเริ่มเตรียมจัดกระเป๋าไว้เรียบร้อยแล้ว