บทที่932ถือว่าฉันเข้าใจผิดก็แล้วกัน
นายชอบฉันหรอ?
……………….
คำพูดเรียบง่ายคำหนึ่ง แค่ตัวหนังสือไม่กี่ตัวเอง แต่กลับถามจนเซียวซู่อึ้งค้าง
เขาอึ้งค้างอยู่ที่เดิม นัยน์ตาเขียนไว้ว่าไม่อยากจะเชื่อ
มีอยู่เสี้ยววินาทีหนึ่ง เซียวซู่ถึงขั้นนึกว่าตัวเองหูฝาดไป
ไม่งั้น เขาจะได้ยินเสี่ยวเหยียนถามตัวเองว่า นายชอบฉันหรอได้ยังไง?
คิดยังไง ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่เหมือนคนที่จะถามคำถามแบบนี้
แต่ว่า เขาได้ยินจริงๆ
“เอ่อคือ……” พริบตาเดียวหน้าของเซียวซู่ก็เผาไหม้ขึ้นมา น้ำเสียงกับแววตายิ่งตื่นตระหนกเข้าไปใหญ่: “ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะครับ คุณคงเข้าใจอะไรผิดแล้วครับ”
“เข้าใจผิด?” เสี่ยวเหยียนกระพริบตาปริบๆ แล้วมองแก้วน้ำที่อยู่ตรงหน้าทีหนึ่ง
เซียวซู่ “…….”
แค่รินน้ำให้แก้วหนึ่งคงไม่สามารถสื่อถึงอะไรได้มั้ง? ถึงแม้เขาชอบเธอก็จริง แต่ว่า……เมื่อก่อนเขาไม่เคยได้รับความโปรดปรานจากเธอเลย ตอนนี้ใบหน้าตัวเองยังมีแผลใหญ่ขนาดนี้อีก เธอยิ่งไม่มีทางชอบตัวเองแล้ว อีกอย่าง บาดแผลของเขามีแต่จะทำให้คนกลัว
“เอาเถอะ” เสี่ยวเหยียนยักไหล่ เธอมีสีหน้าไม่แคร์: “งั้นก็ถือว่าฉันเข้าใจผิดก็แล้วกัน นายกลับไปนอนเถอะ”
เดิมทีนึกว่าเธอจะโต้เถียง ไม่นึกว่าเธอจะยอมรับว่าตัวเองเข้าใจผิดแบบนี้เฉยเลย จากนั้นก็ยกน้ำขึ้นมาดื่ม
ไม่รู้เพราะอะไร หัวใจของเซียวซู่ทรมานขึ้นมา มองดูสีหน้าที่ไม่แคร์ของเสี่ยวเหยียน จู่ๆเขาก็อยากพูดว่าไม่ได้เข้าใจผิด ผมชอบคุณจริงๆ
แต่ว่า……พอนึกถึงบาดแผลบนใบหน้าตัวเอง พริบตาเดียวความคิดนั้นก็จางหายไปจนหมด
มือที่ห้อยอยู่ข้างกายกำแน่นเป็นหมัด ผ่านไปสักพักได้คลายมือออกแล้วกำแน่นอีก เซียวซู่เม้มปากไว้ หันหลังไปจากห้องครัวอย่างเงียบๆ
เสี่ยวเหยียนดื่มน้ำไปแก้วหนึ่ง เห็นเขาจากไปอย่างเงียบๆ สายตาได้มองไปที่เขา อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา
เธอตาฝาดหรอ? ทำไมรู้สึกว่าอารมณ์ของเซียวซู่ในเมื่อกี๊เหมือนไม่ค่อยปกติเลย?
หรือเพราะคำถามที่เธอถามเมื่อกี๊ ทำให้เขารู้สึกไปต่อไม่ถูกเลย? เธอก็ไม่ได้ตั้งใจถามนะ ก็ตอนที่เห็นหน้าตาเขา เหมือนหน้าตาตอนที่ตัวเองมองหานชิงมากเป็นพิเศษ
ดังนั้น………..คำถามจึงหลุดปากออกมาเลย
ตอนนี้คิดๆแล้วกลับรู้สึกไม่เหมาะสม ไม่ว่าอีกฝ่ายชอบเธอหรือไม่ เธอถามแบบนี้ไม่เท่ากับว่าทำให้ฝ่ายตรงข้ามอายหรอ? ต่อไปเจอหน้าต้องเก้อเขินมากขนาดไหน?
คิดถึงตรงนี้ เสี่ยวเหยียนส่ายหน้าอย่างแรง ดื่มน้ำที่เหลืออยู่ในแก้วจนหมด จากนั้นก็หอบผ้าห่มตัวเองกลับไปที่ห้อง
เสี่ยวเหยียนที่กลับไปนอนไม่ได้สังเกตเห็นเลย มือถือที่ถูกเธอปิดเสียงเป็นโหมดเงียบ มีสิบกว่าสายที่ไม่ได้รับสาย เธอหลับลึกทั้งคืน
หานมู่จื่อรู้สึกว่าตัวเองนอนไปนานมาก ในฝันเกิดเรื่องมากมาย ตอนที่เธอตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ รู้สึกว่าในหัวยังมีความทรงจำหลงเหลืออยู่นิดหน่อย
แต่พอเธอลืมตาขึ้นมา เรื่องราวในฝันถูกความจริงกลืนกินทีละนิดๆจนหมดเกลี้ยง
พอเธอพลิกตัว หลังจากจ้องมองแสงอาทิตย์นอกหน้าต่างไปครึ่งค่อนวัน ได้ลืมเรื่องที่ฝันไปจนหมด
พิงอยู่บนเตียงอีกสักพัก หานมู่จื่อถึงพบว่าในห้องมีแค่เธอคนเดียว เสี่ยวเหยียนได้ตื่นนอนและไม่เห็นเงาแล้ว
เธอพลิกตัวลุกขึ้นจากเตียง จากนั้นก็ออกจากห้อง
ในห้องเงียบกริบ ไม่มีคนเลย หานมู่จื่อลองเรียกคำหนึ่ง: “เสี่ยวเหยียน เสี่ยวหมี่โต้ว?”
ไม่มีคนตอบเธอ
หานมู่จื่ออ้อมไปที่หน้าห้องของเย่โม่เซิน พอผลักประตูออก พบว่าด้านในไม่มีคนอยู่ตั้งนานแล้ว
เธอยืนเท้าเปล่าอยู่ที่เดิม มองดูห้องนอนที่ว่างเปล่าอย่างมึนตึ๊บ
หรือว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดของเมื่อวานเป็นเพียงแค่ความฝันที่หลอกให้ดีใจเก้อ?
เสี่ยวหมี่โต้วไม่ได้มาเลย?
แต่ว่า ทำไมเรื่องพวกนั้นถึงเหมือนจริงขนาดนั้นล่ะ? เหมือนเคยเกิดขึ้นจริงๆยังไงอย่างงั้น…………..
ในขณะที่หานมู่จื่ออารมณ์กำลังยุ่งเหยิงอยู่ เสียงๆหนึ่งดังมาจากด้านหลังเธอ
“มู่จื่อ?”
นี่คือ………….
หานมู่จื่อหันหลังในทันที เห็นเสี่ยวเหยียนที่แต่งตัวเสร็จและคลุมผ้ากันเปื้อนยืนอยู่ด้านหลังตัวเอง อีกอย่างในมือยังถือจานไว้ ในจานมีอาหารที่หอมฉุยวางอยู่
“เธอยืนเซ่ออยู่ที่นี่ทำไม? แถมยังไม่ใส่รองเท้าอีก เธอเป็นคนท้องเชียวนะ หรือจะนอนเยอะจนโง่ไปแล้ว? หรือว่าคลอดลูกคนหนึ่งแล้วโง่สามปี?”
หานมู่จื่อ: “…….เธอพูดเหลวไหลอะไร?”
เธอกลับไปใส่รองเท้าแตะด้วยสีหน้าเรียบเฉย และออกมาจากห้อง เห็นเสี่ยวเหยียนได้เอาของวางลงบนโต๊ะแล้ว เธอจึงนั่งลงมา
“ตอนนี้กี่โมงแล้ว? ทำไมไม่มีใครสักคนเลย?”
เสี่ยวเหยียนได้ยินคำพูดนี้ปุ๊บ อดไม่ได้ที่จะกลอกตาขาว: “ฉันไม่ใช่คนรึไง? มู่จื่อ เธอนี่ใจดำจริงๆเลย ฉันก็เดินทางไกลมาเที่ยวหาเธอพร้อมพวกเขาเหมือนกัน แถมตลอดระยะเวลาการเดินทางฉันยังเป็นบอดี้การ์ดให้กับเสี่ยวหมี่โต้วด้วย ไม่นึกเลยว่าเธอจะไม่แคร์ฉันเลย”
หานมู่จื่ออดขำไม่ได้ “เธอจะเป็นคุณป้าของเสี่ยวหมี่โต้วไม่ใช่เหรอ?”
เสี่ยวเหยียนอึ้ง
“เพราะฉะนั้น เธอที่เป็นคุณป้าในอนาคต มาทวงความดีความชอบกับฉัน?”
แค่คำพูดเดียว ก็ทำเอาเสี่ยวเหยียนพูดไม่ออกเลย เธอเอียงศีรษะคิด ถ้าตัวเองสามารถเป็นป้าของเสี่ยวหมี่โต้วในอนาคตได้จริงๆล่ะก็ ก็ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรต้องขอความดีความชอบ
เสี่ยวเหยียนคิดๆแล้วแบะปาก: “เอาล่ะ เธอก็แค่อยากถามผู้ชายสองคนนั้นไม่ใช่เหรอ? พวกเขาออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว ที่บ้านเหลือแค่ฉันกับเธอเท่านั้น”
“ออกไปตั้งแต่เช้า?”
ออกไปแต่เช้าทำไม? หานมู่จื่อค่อนข้างสงสัย แต่ว่าไม่รอเธอเปิดปากถามอีก เสี่ยวเหยียนได้ยื่นอาหารไปแล้ว “เอาล่ะสตรีตั้งครรภ์ เธออย่าถามเซ้าซี้อีกเลย รีบกินเถอะ เดี๋ยวตกดึกลูกในท้องของเธอจะได้ไม่หิวเอา”
ไม่พูดยังดี ถูกเสี่ยวเหยียนพูดแบบนี้ปุ๊บ จู่ๆหานมู่จื่อก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันทีเลย
เธอไม่ได้พูดอย่างอื่นอีก อิ่มท้องก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ในที่สุดเห็นเธอก็สามารถสงบสติลงมาทานข้าวได้ เสี่ยวเหยียนถึงโล่งอกไปที: “กลัวก็แต่เธอจะหิวเนี่ยแหละ เธอนี่นะตอนนี้ก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ แต่กลับพักอยู่ที่ต่างเมืองต่างถิ่นนานขนาดนี้ พี่ชายเธอเป็นห่วงเธอจะแย่อยู่แล้ว”
พูดถึงหานชิง แววตาของหานมู่จื่อขยับ เธอถามเพิ่มอีกคำ “พูดถึงพี่ชายฉัน เขายอมให้เธอกับเสี่ยวหมี่โต้วมาแล้วหรอ?”
เสี่ยวเหยียนสีหน้าเปลี่ยนไป ทันใดนั้นก็พูดอะไรไม่ออกเลย
สังเกตเห็นสีหน้าและการเปลี่ยนแปลงของเธอ ท่าทางที่หานมู่จื่อทานข้าวเชื่องช้าลงมาก เธอยกมุมปากเล็กน้อย: “พวกเธอคงไม่ใช่ปิดบังเขาไว้มั้ง?”
หลังจากเสี่ยวเหยียนเงียบไปสักพัก ได้ทำท่าขอร้องอ้อนวอนหานมู่จื่อขึ้นมาทันที สีหน้าช่างน่าสงสาร
“มู่จื่อ มู่จื่อคนดี ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังพี่ชายเธอนะ เพียงแต่ถ้าฉันบอกเขาล่ะก็ เขาไม่มีทางรับปากให้ฉันกับเสี่ยวหมี่โต้วมาหาเธอแน่ๆ เรื่องนี้ฉันกับเสี่ยวหมี่โต้วได้ปรึกษาหารือกันแล้ว อีกอย่างตอนนั้นเซียวซู่ก็จะตามมาด้วย เพราะฉะนั้นพวกเราจึงยิ่งวางใจเลย”
หานมู่จื่อพยักหน้า ย่อยคำพูดของเธอไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า: “เพราะฉะนั้น เธอก็เลยปิดบังพี่ชายฉัน แล้วมาต่างประเทศกับผู้ชายคนอื่น?”
“ผู้ชายคนอื่นอะไรกัน?เซียวซู่เป็นผู้ช่วยของคุณชายเย่นะ! นี่มันเกี่ยวอะไรกับฉันด้วย?”
หานมู่จื่อยิ้มแต่ไม่พูดจา
เสี่ยวเหยียนเริ่มตื่นเต้นขึ้น: “เธอ เธอห้ามพูดจาเหลวไหลต่อหน้าพี่ชายเธอเชียวนะ ฉันชอบแค่พี่ชายเธอคนเดียว ผ่านมานานขนาดนี้ เธอก็น่าจะรู้ดีนี่”