บทที่1151 เกิดเรื่องขึ้นจริงหรอ
ตั้งแต่หลังจากที่เสี่ยวเหยียนและหลี่ซือห้านออกไป หลัวหุ้ยเหม่ยก็ค่อนข้างที่จะเป็นกังวล และก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย คนที่เป็นแม่อย่างเธอทำไมถึงได้ไร้ประโยชน์ขนาดนี้
ทั้งๆที่เธอเคยเจรจากับเสี่ยวเหยียนหนึ่งรอบ รู้สึกว่าคนอย่างหลี่ซือห้านปกติจนน่าแปลกใจ ทำไมยังปล่อยให้เสี่ยวเหยียนไปกับเขาได้นะ
ตามเวลาที่ล่วงเลยไป ความวิตกของหลัวหุ้ยเหม่ยยิ่งอยู่ยิ่งแย่ ร้านก็ไม่อยากจะเปิดแล้ว อยากแต่จะออกไปตามหาลูกสาวตัวเอง
พ่อจางที่เห็นเธออยู่ไม่เป็นสุข จึงว่าเธอ
“คุณเป็นอะไร? ตั้งแต่ลูกสาวออกไปก็อยู่ไม่นิ่งเลย เป็นอะไรกัน?”
หลัวหุ้ยเหม่ยร้อนรน เธอฟังแล้วนั่งลงตรงหน้าของพ่อจาง
“คุณรู้สึกไหมว่า หลี่ซือห้านนั้นผิดปกติ?”
พ่อจาง : “เขาก็อยู่ของเขาดีๆ จะไปสงสัยอะไรคนอื่นเขา? จะผิดปกติได้ยังไง? ก็ไปได้ดีกับเยียนเหยียนอยู่ไม่ใช่หรือไง?”
“ก็เพราะว่าไม่มีปัญหาอะไรสักนิดเดียวไงล่ะ เลยต้องสงสัย? คุณลองคิดดูนะ ก่อนหน้านี้คนที่ป้าจางเป็นแม่สื่อให้คนอื่นมีครั้งไหนบ้างที่แนะนำคนดีให้หน่ะ? ไม่มีปัญหานี้ก็มีปัญหานู้น พูดก็พูดเถอะจริงๆแล้วครั้งนี้ฉันก็ไม่ได้อยากจะตอบตกลงหรอก เพราะยังไงพวกเราก็ไม่ได้จะรีบหาแฟนให้ลูกใช่ไหมล่ะ? แต่ยัยเด็กเยียนเหยียนนี่ก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ถึงตอบตกลงจะไปดูตัว”
พ่อจาง : “จะคิดอะไรได้อีกล่ะ? ก็แค่อยากจะแต่งงานไม่ใช่หรือไง? ถ้าเธอไม่อยากแต่ง เธอจะตอบตกลงไปดูตัวทำไม?”
หลัวหุ้ยเหม่ย:“……”
ความคิดของชายแท้นี่มัน จะทำให้คนเป็นบ้าได้จริงๆ
“ไอ้หนุ่มวัยรุ่นนั้นจะคิดเรื่องแบบนี้ไม่ได้ก็ช่างเขาไปเถอะ แต่คุณใช้ชีวิตมาแทบจะครึ่งชีวิตแล้วคุณคิดดูนะว่าความคิดของไอ้แก่อย่างคุณจะตรงไปตรงมาอะไรขนาดนั้น? คุณช่วยอ้อมหน่อยได้ไหม? เยียนเหยียนเป็นลูกสาวคุณนะ ทำไมถึงเฉยชาได้ขนาดนี้”
ใบหน้าของพ่อจางที่โดนเถียงกลับมาอย่างไม่มีเหตุผล : “……”
เขาพูดอะไรผิด? ถ้าไม่ใช่เพราะอยากจะแต่งงาน เธอจะตอบตกลงดูตัวทำไม? ถ้าไม่อยากแต่งงาน งั้นก็ปฏิเสธที่จะไปดูตัวก็จบแล้ว
หลัวหุ้ยเหม่ยไม่อยากจะอธิบายอะไรให้เขาฟังอีก หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “ไม่ได้แล้ว ฉันต้องโทรถามเธอว่าเป็นยังไงบ้าง”
“ผมว่า ลูกสาวก็โตแล้ว มีความคิดเป็นของตัวเอง คุณก็ไม่ต้องเข้าไปยุ่งเถอะ ลูกจะได้ไม่ต้องรำคาญพ่อแม่อย่างเราด้วย”
“ฉันไม่ได้อยากจะเข้าไปยุ่ง ฉันก็แค่เป็นห่วงความปลอดภัยของลูก ฉันก็กลัวว่าหลี่ซือห้านจะทำเรื่องไม่ดีไม่ร้ายกับเสี่ยวเหยียน คุณเข้าใจไหม?”
พอได้ยินเช่นนี้ ในที่สุดพ่อจางก็เหมือนจะเข้าใจความหมายที่จะสื่อ บังอาจ มันเป็นแบบนี้นี่เอง?
“ช้าก่อน คุณหมายความว่า หลี่ซือห้านจะทำไม่ดีไม่ร้ายกับเสี่ยวเหยียน? หมายความว่ายังไง? ทำไมอยู่ดีๆถึงทำไม่ดีไม่ร้ายกับเยียนเหยียนได้หล่ะ?”
“คุณไม่เห็นสีหน้าของเยียนเหยียนตอนออกไปหรือไง? ฉันคิดว่าคืนนี้ลูกคงเคลียร์กับหลี่ซือห้านอย่างเด็ดขาด ถึงแม้ว่าภายนอกหลี่ซือห้านจะดูเป็นสุภาพบุรุษ แต่สมัยนี้พวกคนเลวสวมหน้ากากก็มีเยอะเกลื่อนไปหมด ฉันก็เป็นห่วงความปลอดภัยของเยียนเหยียน”
ขณะที่พูด ก็พลางกดเบอร์แล้วโทรออก
เวลาผ่านไปอย่างนาน ก็ยังไม่มีใครรับสาย
หลัวหุ้ยเหม่ยขมวดคิ้วเข้าหากัน : “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมไม่รับโทรศัพท์?”
แล้วหลัวหุ้ยเหม่ยก็โทรอีกครั้ง ยังคงไม่มีใครรับสายเหมือนเดิม
พ่อจางเริ่มตื่นเต้น : “นี่ คงไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องจริงๆนะ?”
สีหน้าของหลัวหุ้ยเหม่ยจริงจัง ยังคงกดโทร โทรอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่มีใครรับสายเหมือนเดิม
“เร็ว รีบแจ้งตำรวจ!” พ่อจางยืนขึ้นก็จะเดินออกไปทันที แต่กลับโดนหลัวหุ้ยเหม่ยลากกลับมา “คุณจะแจ้งความอะไร? ตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงก็ไม่รู้ พวกเขาคงไม่ไปที่ที่ไกลจากนี้มากหรอก เราปิดร้านกันก่อนดีกว่า ลองไปหาร้านอาหารแถวๆนี้ดูกันก่อน”
“ได้”
เพราะเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน สามีภรรยาทั้งสองคนจึงปิดร้านก่อนเวลา ให้พนักงานเลิกงานก่อนเวลาด้วย และในขณะที่เตรียมตัวจะออกไปนั้น ในที่สุดโทรศัพท์ของหลัวหุ้ยเหม่ยก็ดังขึ้น
“เยียนเหยียนโทรมาใช่ไหม?”
“ใช่!” หลัวหุ้ยเหม่ยรับโทรศัพท์อย่างตื่นเต้น : “เยียนเหยียนเกิดอะไรขึ้นกับลูก? เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า? ลูกอยู่ไหน? แม่โทรหาลูกตั้งหลายรอบทำไมไม่รับล่ะ ”
แท้จริงแล้วในตอนที่เสี่ยวเหยียนเห็นสายที่ไม่ได้รับจากโทรศัพท์ก็พอจะเดาได้ว่าจะโดนถามแบบนี้ หลังจากที่เธอฟังหลัวหุ้ยเหม่ยถามคำถามหมด เธอจึงค่อยๆเอ่ยขึ้น
“แม่คะ หนูไม่เป็นอะไร……”
ได้ยินเสียงลูกสาวที่ปกติ ในที่สุดหัวใจของหลัวหุ้ยเหม่ยและพ่อจางที่ลอยอยู่บนอากาศก็ได้วางลงเสียที
“ไม่เป็นอะไรก็ดี ลูกทำพวกเราตกใจกันหมดเลย ตอนนี้คือยังไง? ลูกอยู่ไหน? อยู่ตรงไหน?”
เสี่ยวเหยียนมองไปรอบๆ จากนั้นก็กัดริมฝีปากล่างตัวเอง : “หนูอยู่……บ้านของเพื่อนคนหนึ่ง”
“บ้านเพื่อน?”
“ค่ะ”
“บ้านเพื่อนคนไหน?”
“พ่อคะ แม่คะ คืนนี้หนูไม่กลับนะคะ พรุ่งนี้ค่อยกลับ”
พ่อจางและหลัวหุ้ยเหม่ยมองหน้ากัน ทั้งสองต่างมองเห็นสายตาที่สื่อถึงความอันตราย แม้ว่าน้ำเสียงของลูกสาวฟังแล้วจะปกติ แต่เธอกลับบอกว่าตัวเองอยู่บ้านเพื่อน แล้วคืนนี้ไม่กลับบ้านด้วย รอพรุ่งนี้ค่อยกลับมา
พอฟังแล้ว ก็รู้สึกแปลกๆ
หลัวหุ้ยเหม่ยอยากจะบอกกับลูกสาวว่า ถ้าลูกโดนลักพาตัวก็ให้กระพริบตา
แต่ตอนนี้พวกเขากำลังคุยโทรศัพท์กัน การสื่อสารแบบนี้ไม่เหมาะสมที่สุด
ดังนั้นหลัวหุ้ยเหม่ยคิดไปคิดมา ถามได้แค่ : “ลูกสาว ลูกสัญญากับแม่แล้วไม่ใช่หรอ พรุ่งนี้จะกลับบ้านเกิดกับแม่หนิ? ทำไมถึงกลับดึกล่ะ แบบนี้แม่ก็เป็นห่วงสิ ถ้าพลาดรถไฟเที่ยวพรุ่งนี้ไปล่ะจะทำยังไง?”
เสี่ยวเหยียนเริ่มรู้สึกมึนงง
“แม่คะ หนูบอกแม่เมื่อไหร่คะว่าจะกลับบ้านเกิดกับแม่? อีกอย่าง……เรามีบ้านเกิดที่ไหนคะ?”
หลัวหุ้ยเหม่ย:“……”
ยัยเด็กโง่! ตอนนี้เป็นยังไงกันแน่?
“ยัยเด็กโง่ลูกลืมแล้วหรอ เมื่อคืนเราคุยกันตอนนอนไง ใครบอกว่าไม่มีบ้านเกิด? ก็บ้านย่าของลูกไง แกอายุเยอะแล้วขาเท้าไม่ค่อยดี สองวันก่อนก็ล้มอีกแล้ว พวกเราต้องกลับไปเยี่ยมหน่อย”
เสี่ยวเหยียนยิ่งได้ยินก็ยิ่งงง
เธอกับหลัวหุ้ยเหม่ยก็ไม่ได้นอนด้วยกันมาตั้งนานแล้ว ไม่มีบ้านเกิดด้วย
แล้วที่สำคัญที่สุดคือ ย่าเสียไปเมื่อหลายปีก่อนแล้ว
ทำไมจู่ๆแม่ของเธอถึงได้พูดอะไรแปลกๆ?
ใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง เสี่ยวเหยียนที่คิดได้อย่างกะทันหัน ในที่สุดก็เข้าใจความหมายที่หลัวหุ้ยเหม่ยจะสื่อ
เธอทำตัวไม่ถูก ได้แต่อธิบายด้วยน้ำเสียงต่ำ : “แม่คะ สบายใจได้เลยค่ะ หนูไม่เป็นอะไรจริงๆ แม่ก็ไม่ต้องพูดอะไรแปลกๆแล้วนะคะ หนูไม่ได้โดนลักพาตัว ไม่ได้โดนแกล้งอะไรด้วยค่ะ หลี่ซือห้านเขา……ไม่ใช่คนดีอะไร แต่ตอนนี้เขาน่าจะเข้าโรงพยาบาลไปแล้วค่ะ”
“ว่าไงนะ? เกิดเรื่องขึ้นจริงหรอ?”
“อื้ม” เสี่ยวเหยียนพยักหน้า สูดหายใจเข้าลึกๆ ในลมหายใจนั้นเต็มไปด้วยกลอ่นจากเสื้อของหานชิง
กลิ่นหอมที่สบายสดชื่นนี้ทำให้ในใจที่ตกใจของเธอค่อยๆนิ่งขึ้น เธออธิบายเสียงเบา : “แต่ตอนนี้จะให้คุยในโทรศัพท์เลยก็คุยไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวพรุ่งนี้หนูกลับไปแล้วจะเล่าให้ฟังนะคะ”
“……ยัยเด็กนี่คิดอะไรอยู่? มีเรื่องแล้วทำไมไม่กลับบ้าน? กลางคืนจะให้ฉันนอนยังไง? ตอนนี้ลูกอยู่ไหน? ไม่ได้ ลูกต้องกลับมา ส่งโลชั่นมาเดี๋ยวนี้ แม่กับพ่อจะไปรับลูก”
เสี่ยวเหยียน:“……”
“พ่อคะแม่คะ ไม่เป็นไรจริงๆค่ะ หนู……หนูอยู่บ้านคุณน้าของเสี่ยวหมี่โต้ว”