บทที่ 1324 กลัวเธอเสียเปรียบ
เมื่อเห็นว่าเธอไม่พูดอะไร พี่เหวินเหวินรู้สึกว่าตัวเองคงถามอะไรไม่ได้แล้ว แต่ก็ไม่ยอมตัดใจยอมแพ้ จึงต้องใช้แผนทางอ้อมเข้าโจมตี
“จริงสิ เมื่อก่อนเธอเรียนจบอะไรมาเหรอ? ทำไมจู่ๆถึงมาทำงานที่บริษัทพวกเราล่ะ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องในอดีต ความหวาดระแวงของสวี่เย็นหวั่นก็กลับขึ้นมาตั้งรับอีกครั้ง
หรือเป็นเพราะมีเรื่องเกิดขึ้นกับเธอเยอะเกินไป ทำให้ตอนนี้เธอต้องมีสติและป้องกันตัวเองมากขึ้น
สวี่เย็นหวั่นรู้สึกว่า นอกจากหานชิงแล้ว เธอไม่ควรจะเชื่อใจใครอีก
“คือว่าธุรกิจบ้านล้มเหลว ต้องการเงิน ก็เลยออกมาทำงานค่ะ”
แบบนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นการโกหกรึเปล่า แต่ก็ไม่ได้เล่าเรื่องของตัวเองออกมา สวี่เย็นหวั่นรู้สึกว่าคำตอบนี้ทำให้เธอพอใจมาก และเธอก็ไม่คิดที่จะให้อีกฝ่ายซักถามเรื่องเกี่ยวกับตัวเองมากไปกว่านี้แล้ว เมื่อตอบกลับไปเสร็จก็รีบพูดต่อ: “พี่เหวินเหวิน เอกสารฉบับนั้นที่พี่ให้ฉันมาตอนเช้า ฉันยังทำไม่เสร็จเลย ฉันขอตัวไปทำก่อนนะ ส่งให้พี่ช้าหน่อยนะคะ”
นี่หมายความว่าไม่คิดจะพูดอะไรต่อแล้วใช่ไหม
แสงบางอย่างพาดผ่านสายตาของเจี่ยงเหวินเหวิน จากนั้นaพยักหน้าลง
“ได้สิ เธอไปทำงานก่อนเถอะ”
หลังจากที่สวี่เย็นหวั่นเดินออกไป เจี่ยงเหวินเหวินก็พูดในใจ หญิงสาวคนนี้จัดการด้วยยากจริงๆ พูดอะไรไม่มีหลุด หากจะให้พูดความจริงคงไม่มีทางแน่นอน
และเธอก็ไม่สามารถถามตรงๆได้
ช่างปวดหัวเหลือเกิน
**
ตั้งแต่เสี่ยวเหยียนรู้ว่าตัวเองท้อง จึงเริ่มทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่มักจะชอบกระโดดโลดเต้น และไม่สามารถใส่กางเกงยีนส์รัดรูปได้อีกแล้ว จึงเปลี่ยนเป็นใส่กระโปรงสบายๆและชุดคลุมยาว
หลัวหุ้ยเหม่ยเห็นเธอแต่งตัวแบบนี้ ยังอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะเธอ
“นี่ลูกเปลี่ยนรูปแบบการแต่งตัวหรือเป็นอะไรเนี่ย?”
เสี่ยวเหยียนทำสายตาน้อยใจ “ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ แค่ช่วงนี้อยากแต่งตัวน่ารักๆบ้าง แอ๊บแบ๊วน่ารัก”
เมื่อหลัวหุ้ยเหม่ยได้ยินเช่นนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบตามองบน “พอเถอะ อายุอย่างลูกในตอนนี้ ยังจะมาทำตัวน่ารักแบ๊วๆ ระวังทำให้คนอื่นตกใจจนหนีไปล่ะ”
เสี่ยวเหยียนทำหน้าทำตาใส่เธอ และยังหยอกล้อแกล้งทำหน้าผี จากนั้นก็หันหลังวิ่งหนีไป
เมื่อวิ่งไปได้หนึ่งก้าว เสี่ยวเหยียนก็หยุดชะงักลงทันที จากนั้นยกมือขึ้นมากุมท้องของตัวเองไว้ ตกใจหมดเลย เกือบลืมว่าตัวเองกำลังท้องอยู่อีกแล้ว
ต่อไปเธอต้องท่องไว้ให้ดีว่าตอนนี้ตัวเองกำลังท้องอยู่ แม้ว่าลูกน้อยเพิ่งจะมีอายุได้เพียงหนึ่งเดือน แต่ตอนนี้เสี่ยวเหยียนรู้สึกว่าร่างกายมีพละกำลังเต็มที่มาก
มีความสุขมากๆ
เธออยากแบ่งปันความสุขนี้ให้หานชิงรับรู้มากๆ แต่ก็ไม่สามารถบอกตอนนี้ได้ ทำได้เพียงอดใจรอไว้
เพราะยังไงอีกนานสักพักจึงจะเห็นชัดว่าท้อง ตอนนี้เธอเองก็ไม่รีบร้อนอะไร อยู่รอเงียบๆแบบนี้ไปก่อนดีกว่า
แม้ว่าเสี่ยวเหยียนท้องแล้ว ไม่อยากไปไหนมาไหนเยอะ แต่สำหรับหานชิงเธอยังคงทนนั่งไม่ติด พอถึงเวลาก็ตักซุปที่ตัวเองทำไว้ ใส่หม้ออุ่น และออกไปหาเขา
เมื่อพ่อจางเห็นเช่นนี้ รู้สึกหวงลูกขึ้นมาทันที จึงพูดกับหลัวหุ้ยเหม่ย
“มีแต่คนบอกว่าลูกสาวแต่งงานไป ก็เหมือนสาดน้ำออกไป แต่คุณดูสิ นี่ขนาดลูกยังไม่แต่งออกไป ก็ลุกลี้ลุกลนไปหาคนอื่นแบบนี้แล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สายตาของหลัวหุ้ยเหม่ยก็เหลือบมองไปที่แผ่นหลังของเสี่ยวเหยียน จากนั้นส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ: “นั่นสิ เสี่ยวเหยียนชอบเสี่ยวชิงมาก”
“แค่กลัวว่าต่อไปจะถูกเอาเปรียบ”
“พูดอะไรกัน? เสี่ยวชิงก็ถือเป็นคนรับผิดชอบ รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ดูเขาดีกับเสี่ยวเหยียนมากเลยนะ ไม่เอาเปรียบลูกหรอก”
พ่อจางกำหมัดแน่น: “ไม่ว่ายังไง ถ้าเขากล้าเอาเปรียบลูกสาวของเรา ผมก็จะแลกด้วยชีวิตของตาแก่คนนี้เอาเรื่องเขาให้ถึงที่สุด”
หลัวหุ้ยเหม่ย: “…”
ตอนที่เสี่ยวเหยียนไปถึงบริษัท พนักงานต้อนรับก็เห็นเธอทันที และยังเป็นฝ่ายทักทายก่อนอีกด้วย
แม้ว่าปกติทั้งสองจะทักทายกันอยู่แล้ว แต่ก็แค่พยักหน้าให้กันเท่านั้น แต่วันนี้พนักงานต้อนรับกลับอ้อมโต๊ะออกมาวิ่งตามเสี่ยวเหยียน และหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ
“เดี๋ยวก่อนค่ะ”
เสี่ยวเหยียน: ?”
“เอ่อคือ…” พนักงานต้อนรับยิ้มและมองไปที่หม้ออุ่นร้อนในมือเธอ ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน: “คุณต้มซุปไก่มาให้ประธานหานอีกแล้วเหรอคะ?”
ได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวเหยียนจึงพยักหน้าลง และถามกลับ: “มีเรื่องอะไรรึเปล่า?”
“เปล่า เปล่าค่ะ!” พนักงานต้อนรับรับส่ายมือ ทำสีหน้าเคอะเขิน “ก็แค่มีคำถามอยากขอคำแนะนำจากคุณค่ะ”
“เอ๊ะ?”
“ก่อนหน้านี้ฉันเคยไปทานบะหมี่ที่ร้านคุณ อร่อยมากเลย”
เมื่อได้ยินพนักงานต้อนรับชมว่าบะหมี่ร้านตัวเองอร่อย เสี่ยวเหยียนจึงรู้สึกดีกับเธอขึ้นมา สายตาเปล่งประกายขึ้นมาทันที: “อร่อยใช่ไหม? เธอชอบก็ดีแล้ว ต่อไปมาบ่อยๆนะ”
“จริงเหรอคะ?” พนักงานต้อนรับตกตะลึงจนเบิกตากว้าง “เมื่อก่อนฉันมีเรื่องขัดแย้งกับคุณ คุณไม่ถือโทษโกรธฉันแล้วใช่ไหม?”
“เรื่องพวกนั้นเป็นอดีตไปแล้ว ฉันจะโทษเธออีกทำไมล่ะ?”
ถ้าเธอถือโทษโกรธเธอ คงไม่พยักหน้าทักทายให้เธอตอนเข้ามาหรอก
“คุณใจดีจังเลย” พนักงานต้อนรับพูดชม “มิน่าล่ะ ประธานหานถึงได้ชอบคุณขนาดนั้น และไม่แปลกที่คุณได้เป็นแฟนของประธานหาน”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ใบหน้าของเสี่ยวเหยียนแดงขึ้นมาทันที กระแอมขึ้นมาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อ
พนักงานต้อนรับกลับเข้ามาควงแขนของเธออย่างสนิทสนม ทำท่าทางตีซี้จนเสี่ยวเหยียนทำตัวไม่ถูก นอกจากนั้นเธอเองก็ยังทำท่าทางขัดขืนบ้าง
เพราะปกติเธอไม่ค่อยเข้าใกล้ใครมากนัก มากไปกว่านั้นยังไม่ใช่คนที่เธอสนิทคุ้นเคยด้วย แต่ถ้าจะผลักออกไปเลยก็คงดูไม่ดี กลัวว่าจะทำให้เธอบาดเจ็บ ดังนั้นจึงได้แต่อดทนไว้
“คุณไม่โกรธฉันจริงเหรอ? งั้นถ้าฉันไปกินบะหมี่ที่ร้านคุณ บอกชื่อคุณแล้วจะได้ลดราคาไหม ฉันกลัวว่ากินแล้วอร่อยติดใจจนต้องไปทุกวัน เงินเดือนฉันคงหมดพอดี”
คำพูดนี้ทำให้เสี่ยวเหยียนแทบจะอดใจไว้ไม่ไหว: “ไม่มีทางกินจนเงินหมดหรอก บะหมี่ร้านเราราคาย่อมเยา แต่เธอเป็นพนักงานของบริษัทตระกูลหาน ถ้าเธอไปกิน ฉันจะลดราคาให้”
“จริงเหรอ ขอบคุณนะ! คุณใจดีมากๆเลย ฉันขอคุยกับคุณสักครู่ได้ไหมคะ?”
เพราะชมร้านบะหมี่ของเธอไปเยอะ จึงทำให้เสี่ยวเหยียนไม่ได้คิดระแวงอะไร ถูกเธอดึงไปดึงมา
สุดท้ายเมื่อพนักงานต้อนรับเห็นเธอเริ่มเชื่อใจ ไม่ระแวงอะไรแล้ว จึงค่อยๆถามขึ้น: “จริงสิ คุณรู้ไหม หลังจากที่คุณเป็นแฟนกับประธานหานแล้ว พวกเราทุกคนต่างพากันอิจฉาคุณมากเลย รู้สึกว่าคุณช่างโชคดีเหลือเกินและเก่งมากด้วย เป็นถึงคนที่ทำให้คนเก่งอย่างประธานหานหวั่นไหวได้ คุณทำได้ยังไงกันแน่?”
“เอ่อ…” เสี่ยวเหยียนกัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่น ย้อนคิดสักพัก จากนั้นจึงเอียงหัวและพูดขึ้น: “คงเป็นเพราะฉันค่อนข้างหน้าด้าน?”
“หน้าด้าน?” พนักงานต้อนรับตกใจตะลึง: “นี่คุณหมายความว่ายังไงเหรอคะ?”
เสี่ยวเหยียนยิ้มด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม: “ตอนแรกฉันเป็นคนจีบเขา จีบนานมากเลยนะ”
เธอไม่ได้คิดอะไรมาก คิดเพียงแค่ผู้หญิงคุยกันธรรมดาทั่วไป
พนักงานต้อนรับ: “ตามจีบ? โห นี่คุณถึงขั้นตามจีบประธานหานเลยเหรอคะ แต่ในบริษัทของพวกเรา เมื่อก่อนก็มีคนคิดจะตามจีบประธานหานเยอะเลยนะคะ แต่ก็จีบไม่ติดสักที คุณต้องมีวิธีพิเศษอะไรแน่นอนเลยใช่ไหมคะ? ไม่เช่นนั้นประธานหานจะรู้สึกพิเศษกับคุณเช่นนี้ได้อย่างไร?”
วิธีพิเศษ? เสี่ยวเหยียนรู้สึกว่านอกจากตัวเองจะหน้าด้านและสู้ไม่ถอยแล้ว ก็ไม่มีวิธีพิเศษอย่างอื่นอีก
เธอครุ่นคิดไปมา จากนั้นส่ายหน้า