เราจะทยอยไล่แก้ให้ยามว่างอยากให้แก้เรื่องไหนคอมเมนต์ไว้นะคะ
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่1459 กินข้าวด้วยกัน
อยากสิ
แน่นอนสิว่าเซียวซู่อยาก ตอนที่เธอจับมือเขาก็อยาก ตอนที่เธอถอนใจเบาๆนั่นเขาก็อยาก
ดูเหมือนเจียงเสี่ยวไป๋ตั้งใจที่จะอ่อยเขา เธอใช้มือวางบนเข็มขัดของเขา และกดเสียงกริ๊กเบาๆ หัวเข็มขัดก็เปิดออกมา
เซี่ยวซู่อดไม่ได้ที่จะเหอะออกมา
“อื้มม….”
เสียงร้องนี่มันช่าง….
เจียงเสี่ยวไป๋พูดกับเขาอย่างเคืองโกรธ: “นายจะร้องเสียงดังแบบนั้นทำไมฮะ?”
เซียวซู่พลิกร่างกดเธอเอาไว้ด้านล่าง ดวงตาแดงก่ำ:”แล้วมันไม่ใช่เพราะเธอหรือยังไง”
ก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าคนทั้งสองจะเคยมีความสัมพันธ์อะไรแบบนี้มาก่อน แต่พอวันต่อมาเธอก็จำได้ไม่มากแล้ว แต่ตอนนี้….กลับเกิดขึ้นมาอีก
ดังนั้นเจียงเสี่ยวไป๋จึงเกิดประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย แต่ภายหลังก็แบ่งรับแบ่งสู้
จากนั้นเธอก็ผลอยหลับไปด้วยความงัวเงีย กระทั่งเธอตื่นมานั้น เซียวซู่ก็ไม่ได้อยู่ข้างตัวเธอแล้ว
เธอยกมือขึ้นมาสัมผัส พื้นที่เตียงข้างๆเธอเย็นแล้ว
เหอะ นี่ออกไปนานแค่ไหนแล้วเนี่ย? นอนไปแป๊บเดียวตื่นมาก็หายไปซะแล้ว โหดร้ายจริงเชียว!
เจียงเสี่ยวไป๋พลิกตัวหันหน้าให้มองพระอาทิตย์นอกหน้าต่าง ดูจากท่าทางของเซียวซู่เมื่อวานแล้วนั้น เขาเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไรกับเธอนะ
อย่างไรก็ตามตามสัญชาตญาณของมนุษย์มันไม่อาจหลอกลวงกันได้ ถ้าหากว่าเกลียด ก็จะต้องไปอยากที่จะเข้าใกล้หรือยุ่งเกี่ยว แต่ถ้าหากเป็นคนที่ชอบ ก็จะพยายามที่จะอยู่ใกล้ชิด
อีกทั้งท่าทางของเซียวซู่เมื่อคืนนั้น ก็ดูอยากที่จะเขาหาเธอออก
ก่อนหน้านี้ที่เมา เช้าวันต่อมาเธอก็จำอะไรแทบจะไม่ได้ แต่เมื่อคืนนี้ทั้งสองคนก็ต่างมีสติครบถ้วนดี ด้วยแววตาเขาตอนนั้น เสียงลมหายใจที่รดข้างหูของเธอ อีกทั้งยังเสียงเรียกครางชื่อเธอนั้นก็เต็มไปด้วยความรู้สึก
ยิ่งคิด ใบหน้าของเจียงเสี่ยวไป๋ก็แดงระเรื่อขึ้นมา เธอมุดหัวลงไปในผ้าห่ม
เสียงเสี่ยวไป๋ นี่เธอเองก็ลามกไม่ใช่น้อยเลยนะ!
ไม่นึกเลยว่าคนที่นอนอยู่นี่กำลังคิดย้อนกลับไป ชายหนุ่มนั่นไม่รู้ว่าไปทำงานนานแค่ไหนแล้ว เขาไม่เห็นจะคิดอะไร มีแต่เธอเนี่ยที่ยังคิดอยู่ได้!
ไม่อนุญาตให้ย้อนไปคิดแล้วนะ!
หลังจากนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ก็จึงเลิกผ้าห่มขึ้นเตรียมจะลุกขึ้นไปอาบน้ำ แต่ผลนั้นเมื่อเธอลงจากเตียง ขาเธอก็เกิดอ่อนขึ้นมา ทำให้เธอแทบจะล้มลงกับพื้น
โชคยังดีที่เธอหันตัวเข้าเตียงทัน
จากนั้นเธอจึงสูดลมหายใจลึกๆอย่างตั้งใจ แล้วจึงค่อยก้าวไปที่ห้องน้ำด้วยท่าทางประหลาดๆ
รอจนกระทั่งเธออาบน้ำ และกินข้าวเช้าเพื่อเพิ่มกำลังแล้วนั้น เธอก็ได้รับสายจากตู้เซียวหยู่แม่ของเธอ
ช่วงนี้เป็นเพราะเธออยู่กับเซียวซู่ ดังนั้นตู้เซียวหยู่จึงไม่ได้โทรหาเธอนานมากแล้ว แล้วก็ไม่ได้โทรมาเร่งให้เธอออกไปนัดบอดเพื่อที่จะแต่งงาน ซึ่งทำให้เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ค่อยจะได้มีเวลาว่างที่สบายใจ
ดังนั้นในตอนนี้เมื่อเธอเห็นเบอร์ตู้เซียวหยู่โทรมาเธอก็ไม่ได้หวั่นเกรงเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
เธอจึงกดรับสาย: “ฮัลโหล?”
“อุ๊ย รับไวเชียว ดูท่าจะไม่กลัวแม่แล้วสินะตอนนี้?”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ก็อดที่จะพูดจาค่อนแคะออกไปไม่ได้“ แม่ก็รู้นี่”
“แม่คลอดแกมานะ แกคิดอะไรยังไงทำไมฉันจะไม่รู้หล่ะ? เจ้าเด็กน้อยเอ๊ย แต่ก่อนตอนไม่มีแฟนก็ไม่ยอมกลับบ้านเพราะกลัวว่าแม่จะจับนัดบอด แล้วตอนนี้มีแฟนแล้วยังจะไม่กลับบ้านอีกเหรอ? หรือเพราะมีแฟนก็เลยลืมแม่คนนี้ไปเสียแล้ว?”
เจียงเสี่ยวไป๋รีบปฏิเสธทันที: “แม่หล่ะก็ ฉันไม่ได้เป็นแบบนั้นซะหน่อย แม่ต้องเข้าใจนะ ลูกสาวแม่เพิ่งจะมีความรัก ตอนนี้ก็กำลังสุกงอม มันก็ไม่อยากจะแยกจากกันไม่ใช่เหรอ?”
“อุ้ย สุกงอมจนไม่อยากจะแยกจากกันเลยหรือ?นี่แกคิดว่าฉันมองไม่ออกเหรอว่าแฟนนั่นแกจ้างมาแสดงเล่นเฉยๆหน่ะฮะ?”
ว่าไงนะ?
เจียงเสี่ยวไป๋ใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ ออกจะประหลาดใจหน่อยๆ นี่แม่ของเธอมองออกอย่างนั้นเหรอ?
ไม่สิ นี่แม่อาจจะกำลังทดสอบเธออยู่
แต่ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบหรือว่าดูออกจริงๆ เธอเองก็ไม่ได้สนใจ ยังไงเสียตอนนี้เธอกับเซียวซู่ก็เป็นแฟนกันจริงๆไปแล้ว
ดังนั้นเจียงเสี่ยไป๋จึงพูดออกไปตรงๆ:”ถูกต้องแล้วหล่ะ แรกเริ่มเดิมทีฉันก็แกล้งทำเป็นว่ามีนั่นก็เพื่อที่จะเป็นอิสระต่อการที่ให้แม่จับไปนัดบอดได้ ฉันกับผู้ชายพวกนั้นเข้ากันไม่ได้เหมือนคุยกันคนละภาษาอยู่แล้ว ฉันก็เลยหาคนมาก่อน”
“เห้อ แกนี่มันเด็กเวรจริงๆ ฉันเป็นแม่แกนะจะไม่รู้ในสิ่งที่แกคิดได้ยังไง?”ตู้เซียวหยู่นั้นราวกับรู้มาเนิ่นนานแล้ว เธอไม่มีท่าทีประหลาดใจใดๆเลย
“แม่ แล้วถ้าแม่รู้อยู่แล้ว แล้วทำไมถึงไม่แอบนัดบอดลับหลังฉันหลัง?”
“นั่นก็เพราะเด็กคนนั้นเองก็ใช้ได้หน่ะสิ ดังนั้นฉันจึงหวังที่จะให้พวกแกเล่นกันจนเป็นจริง แล้วพวกแกก็ไม่ใช่ว่าเป็นจริงกันแล้วเหรอ?”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้พูดอะไร
“ให้แม่ทายนะ ตอนนี้พวกแกก็คงอยู่ด้วยกันแล้วสิเนี่ย?”
“แม่! นี่แม่รู้ได้ยังไงกันเนี่ย?”
“เจ้าเด็กบ๊องเอ๊ย ฉันก็บอกแล้วว่าฉันเป็นคนคลอดแกออกมานะ ใจแกคิดอะไรทำไมฉันจะไม่รู้?ถ้าแกกับเขายังไม่สมหวังกัน แกก็คงจะปฏิเสธเรื่องที่แกกำลังเล่นละครกันอยู่ แต่เพราะตอนนี้สมหวังกันแล้ว แกก็เลยไม่มีอะไรต้องกลัวหน่ะสิ”
เมื่อฟังคำของตู้เซียวหยู่ เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้แต่เบ้ปาก สุดยอด สมเป็นแม่ เข้าใจความเป็นเธอดีจริงๆ แม้แต่สิ่งที่เธอคิดเธอก็รู้
“ก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้โทรหา เพราะฉันตัดสินใจที่จะให้เวลาแก แต่ตอนนี้มันสมหวังแล้ว แบบนี้ฉันควรเรียกกลับมากินข้าวด้วยกันไม่ใช่เหรอ? โดยมีพ่อแก และพ่อแม่อีกฝ่ายด้วยหน่ะ”
เมื่อได้ยินตู้เซียวหยู่พูดถึงพ่อแม่ของอีกฝ่าย เจียงเซียวไป๋ก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“ฉันกับเขาเพิ่งจะคบกันไม่นาน ไม่แน่ใจเลยว่าจะได้แต่งงานกันไหม ตอนนี้ถ้าจะให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายมากินข้าวด้วยกันมันก็จะยังไม่ค่อยถูกนักไม่ใช่เหรอ?”
“ก็เพียงแค่เจอกันครั้งหนึ่งก็เท่านั้น มันจะมีอะไรที่ไม่ดีเล่า?พ่อกับแม่ก็มีแกเป็นลูกสาวคนเดียวก็อยากรู้เป็นธรรมดาว่าครอบครัวของอีกฝ่ายเป็นยังไง นิสัยของครอบครัวนั้นเป็นยังไง ถ้าฝ่ายนั้นไม่โอเค งั้นแม่ก็ไม่อาจที่จะเห็นด้วยกับการสานสัมพันธ์ของแกต่อ คงไม่ใช่ต้องให้รอจนความสัมพันธ์กระชับกว่านี้แล้วค่อยเจอหรอกไหม?”
ที่พูดมาแบบนี้ก็มีเหตุผล แต่บ้านใครเขาทำแบบนี้กันหล่ะ? ปกติเขาต้องคบกันจนมั่นใจก่อนค่อยให้พบพ่อแม่ของอีกฝ่าย แล้วจากนั้นก็ใช้ชีวิตด้วยกันไปตลอดชีวิตเหรอ
“เสี่ยวไป๋ลูก ตอนนี้แกยังสาวดังนั้นแกจะยังไม่เข้าใจหรอก พ่อผัวแม่ผัวเองก็เป็นปัจจัยสำคัญนะ พ่อกับแม่ไม่อยากให้แกต้องผิดหวัง เข้าใจความทุกข์ใจของพ่อกับแม่ไหม?”
ตู้เซียวหยู่พูดโน้มน้าวล้างสมองเจียงเสี่ยวไป๋ไปฉากหนึ่ง ถูกพูดแบบนั้นเจียงเสี่ยวไป๋ก็ออกจะเหนื่อยๆ ได้แต่พูดกลับ: “งั้นเดี๋ยวรอเขาเลิกงานแล้วจะลองถามดูแล้วกัน”
พวกเขาทั้งสองเพิ่งจะคบกันได้ไม่เท่าไหร่เองไหม? ตอนนี้ก็จะนัดให้เจอพ่อแม่อีกฝ่ายแล้ว ไม่ว่าจะนึกคิดยังไงก็ดูจะไม่เหมาะสม อีกอย่าง เรื่องที่สำคัญเลยนั่นก็คือไม่นานมานี้เธอก็เพิ่งจะขอเซียวซู่เลิกไป
แต่ถ้าต้องเจอกันจริงๆ ก็น่าจะเป็นการให้เซียวซู่ไปเจอพ่อแม่เธอก่อน ให้กินข้าวและทำความรู้จักกันอะไรต่างๆ เพราะไม่ว่ายังไงเธอกับพ่อแม่ของเซียวซู่ก็คุ้นเคยกันอยู่แล้ว
เมื่อตัดสินใจได้แบบนี้แล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็ปักหลักรอ รอให้เซียวซู่เลิกงาน เธอก็รีบมัดมือชกเขาทันที
“พรุ่งนี้นายว่าไหม?”
พรุ่งนี้เซียวซู่มีประชุมสองที่ เมื่อได้ยินคำถามของเจียวเสี่ยวไป๋เขาก็ถามอย่างลังเลเล็กน้อย :”ทำไมเหรอ?”
“อ้อ คือแม่ฉันหน่ะ…อยากนัดนายกินข้าว!”