นางหลิวผู้เป็นสะใภ้ใหญ่ เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งตกที่นั่งลำบากยิ่งนัก จึงรีบปรามเสิ่นจั้งหนิงไม่ให้กระเซ้าเย้าแหย่พี่สะใภ้ที่เพิ่งจะเข้าบ้านมา ทั้งยังบอกกับน้องสะใภ้รองแซ่ตวนมู่ว่า “น้องสะใภ้สามเพิ่งจะเข้าบ้านมา ยากจะไม่ให้รู้สึกขัดเขิน เรื่องที่พวกเขาสามีภรรยารักใคร่กัน พวกเราเพียงมองเห็นอยู่ในสายตาและรับรู้เอาไว้เป็นพอแล้ว ไยต้องกล่าวออกมา ทำเอาแม้แต่ขนมฮวายฮวากวนแป้งนี้ น้องสะใภ้สามก็ยังไม่กล้าชิมเสียแล้ว!”
เว่ยฉางอิ๋งโล่งอก พลางมองไปทางนางหลิวด้วยสายตาซาบซึ้งใจ ไม่คิดว่าพอนางหลิวกรอกตาหนหนึ่ง ก็กล่าวออกมาอย่างขึงขังว่า “พวกเจ้าลองคิดดูสิ น้องสามเขาเคยสนใจเรื่องอาหารการกินเช่นนี้แต่เมื่อใดกัน? นี่นับเป็นหนแรกที่กุลีกุจอตระเตรียมเอาไว้ให้คนสักคน แต่ปรากฏว่าผู้ที่เขาเอาใจใส่ตระเตรียมไว้ให้ผู้นี้ กลับถูกพวกเจ้าเย้าแหย่เสียจนไม่กล้าลิ้มรสขนมเสียแล้ว ยามน้องสามกลับมาและรู้เรื่องนี้เข้า แล้วจะไม่รู้สึกผิดหวังได้หรือ? คนเป็นพี่สะใภ้และเป็นน้องสาวเช่นพวกเจ้าก็ไม่รู้จักทำตัวให้น่ารักสักหน่อย! ทำเสียเรื่องเสียได้!”
เพิ่งจะสิ้นเสียงนาง ภายในห้องก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะดังลั่น
นางตวนมู่และเสิ่นจั้งหนิงต่างพยักหน้าด้วยสีหน้าขึงขัง พากันบอกว่า “พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวถูกต้องเป็นที่สุด เช่นนั้นยามนี้พวกเราจะไม่พูดสิ่งใดแล้ว!”
แต่ตอนนี้เว่ยฉางอิ๋งยื่นมือออกไปไม่ได้จริงๆ ด้วยขวยเขินเหลือประมาณ อดจะกล่าวไปไม่ได้ว่า “ข้านึกว่าพี่สะใภ้ใหญ่เอ็นดูข้าเสียอีก ที่แท้แล้วพี่สะใภ้ใหญ่ต่างหากที่ร้ายที่สุด!”
นางหลิวแสร้งเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับที่หางตา พลางทอดถอนใจว่า “น้องสะใภ้สาม คำกล่าวนี้ทำร้ายจิตใจข้าเสียจริง พี่สะใภ้ ข้านั้นล้วนพูดความในใจ! แล้วจะร้ายได้อย่างไร?”
“พี่สะใภ้สามท่านเพิ่งรู้หรือเจ้าคะ?” เสิ่นจั้งหนิงกลับหักหน้านางอย่างไม่ไว้หน้า บอกว่า “ก่อนนี้ตอนพี่สะใภ้รองเข้าบ้านก็ถูกพี่หญิงใหญ่ พี่หญิงรองเย้าแหย่เช่นนี้ และเป็นพี่สะใภ้ใหญ่เข้ามาประนีประนอม พี่สะใภ้รองก็เห็นว่าพี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนดี แต่ปรากฏว่า…เหอๆ!”
“คนที่ร้ายที่สุดก็คือน้องสี่แล้ว!” นางหลิวหรี่ตาพลางว่า “ยามนี้กำลังอยู่เป็นเพื่อนพี่สะใภ้สามของเจ้า แต่เจ้ากลับโยงไปถึงเรื่องหลายปีก่อน นี่เพราะอยากเห็นพี่สะใภ้สามของเจ้าถูกหักหน้าเช่นกันรึ! น้องสี่เจ้านี่ร้ายกาจเกินไปแล้ว วันพรุ่งคอยดูข้าจะไปบอกกับแม่เจ้า!”
เสิ่นจั้งหนิงแลบลิ้น “พี่ชายสามกลับมาแล้ว ข้าจะกลัวสิ่งใด? ท่านแม่จะตีข้า ข้าก็คอยหลบข้างหลังพี่ชายสามเป็นพอ! ถึงเวลาก็ปล่อยให้ท่านแม่ตีไป อย่างไรก็มีพี่ชายสามช่วยบังข้าไว้อยู่แล้ว!”
นางตวนมู่พลันหัวเราะลั่นขึ้นมาทันใด กล่าวว่า “น้องสี่เจ้านี่ช่างไร้เดียงสาเกินไปจริงๆ ก่อนนี้เจ้าวิ่งไปหลบหลังพี่ชายสามก็มิเป็นไร แต่ยามนี้น้องสะใภ้สามเข้าบ้านมาแล้ว น้องสามเองก็รักใคร่น้องสะใภ้สามถึงเพียงนี้ แล้วจักยังคอยคุ้มครองเจ้าอยู่ได้อย่างไร? หากเจ้ายังคงไปรบกวนพี่ชายสาม เกรงว่าท่านแม่จะมีแต่ทำโทษเจ้าหนักขึ้นน่ะสิ?”
แรกเริ่มนั้นเว่ยฉางอิ๋งเพียงคิดว่าเป็นการหยอกล้อระหว่างพี่สะใภ้น้องสะใภ้ และน้องสามีตัวน้อย เพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศครื้นเครงในยามส่งตัวเท่านั้น แต่เมื่อฟังถึงตรงนี้กลับรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาในใจ ปรากฏว่าเสิ่นจั้งหนิงพลันพูดออกไปด้วยท่าทีไม่พอใจว่า “พี่สะใภ้สามเข้าบ้านแล้วจะเป็นอย่างไร? ข้ากับพี่ชายสามอย่างไรก็เป็นพี่น้องร่วมท้อง หรือถ้าข้ามาที่เรือนของพี่ชายสามนี่ แล้วพี่สะใภ้สามจะคอยขวางประตูเอาไว้ไม่ให้ข้าเข้ามา?”
หลังจากนางพูดจบก็เบิกตากว้างมองมาที่เว่ยฉางอิ๋ง ดูไปแล้วหากเว่ยฉางอิ๋งเอ่ยคำว่า ‘ไม่’ ออกไป ก็คงต้องเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นเป็นแน่แท้ เห็นชัดว่าในบ้านเสิ่นนี้นางถูกเอาอกเอาใจเป็นอย่างยิ่ง… หาไม่แล้วนางตวนมู่ก็ไม่จำเป็นต้องมายุแยงนางเช่นนี้
“น้องสี่ว่ามาเช่นนี้ ข้าเห็นว่าน้องสี่เป็นผู้ที่ใครเห็นใครก็รัก กลัวแต่ว่าถึงเวลาขึ้นมา ข้าจะเชิญเจ้ามาไม่ได้เสียมากกว่า” เว่ยฉางอิ๋งยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดปาก พูดพลางหัวเราะเบาๆ และไม่หันไปมองนางหลิวและนางตวนมู่อีกแม้สักหน
แต่กลับเห็นว่านางหลิวมีสีหน้าประหลาดขึ้นมา จากนั้นก็ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ส่วนนางตวนมู่ก็ไม่มีสีหน้าเปลี่ยนไปแต่อย่างใด ยังคงอมยิ้มอยู่เช่นนั้น
เสิ่นจั้งหนิงจึงได้หายไม่พอใจและกลายมาเป็นยินดี นางมองไปทางนางตวนมู่ด้วยท่าทีโอ้อวด พลางว่า “พี่สะใภ้รองท่านดูสิ พี่สะใภ้สามมิได้เป็นคนใจคอคับแคบเช่นนั้นสักหน่อย!”
นางตวนมู่เองก็มิได้มีท่าทีอึดอึดใจ ยิ้มตาหยีแล้วว่า “โธ่เอ๊ย ข้าก็เพียงพูดไปเช่นนั้นเอง นี่เจ้าคิดเป็นจริงเป็นจังเสียแล้วรึ?”
นางยังคงยืนยันเสียงแข็งว่าเป็นเพียงการล้อเล่น แล้วครานี้ก็กลับมาเป็นช่วงเวลากระเซ้าเย้าหยอกเจ้าสาวจริงๆ อีกหน และไม่เหมาะจะไปไล่เรียงเอาสิ่งใดกับนางอีก เว่ยฉางอิ๋งลอบเยาะอยู่ในใจหนหนึ่ง คิดว่าวันเวลายังอีกยาวนาน จึงไม่ได้ใส่ใจว่าจะต้องมาจัดการนางตวนมู่ให้ถึงที่สุดในวันที่ตนเข้าบ้านมาวันนี้ และมิได้ต่อความนางอีก
เมื่อเป็นดังนี้แล้วบรรยากาศก็เย็นสบายขึ้น นางหลิวมองถังทองแดงหยดน้ำที่อยู่ที่มุมห้อง เม้มปากยิ้ม กล่าวว่า “เราอยู่เป็นเพื่อนคุยกับน้องสะใภ้สามมาสักพักแล้ว คาดว่าน้องสามคงจะต้อนรับแขกเหรื่อข้างหน้าจนครบ เวลานี้คงจะจวนกลับมาแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถิด ให้น้องสะใภ้สามอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อสักพัก… คืนนี้พวกเขายังมีเรื่องต้องวุ่นวายกันอีกนะ!”
เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งกำลังขุ่นเคืองอยู่ว่าตนเพิ่งจะเข้าบ้านมา เหตุใดนางตวนมู่ที่แต่งกับบุตรจากอนุตระกูลเสิ่นจึงอดจะเสี้ยมเสิ่นจั้งหนิงให้หันมาเล่นงานตนไม่ได้ เมื่อได้ยินคำของนางหลิว หน้าแดงๆ ที่เพิ่งจะจางลงก็พลันแดงขึ้นมาอีก นางอุทานออกมาทั้งใบหน้าที่แดงก่ำจนร้อนว่า “พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวสิ่งใดกันเจ้าคะ!”
นางหลิวหัวเราะรื่นพลางว่า “เอาล่ะ ข้าไม่พูดแล้ว สรุปก็คือ พวกเราจะไม่ทำให้พวกเจ้าเสียเวลาอีก อย่าได้กลายเป็นว่าสักพักน้องสามกลับมาแล้วเห็นพวกเรายังไม่ไป แม้ปากจะไม่ว่า แต่ก็ไม่แน่ว่าในใจจะต่อว่าว่าพวกเราไม่รู้จักกาลเทศะ!”
นางตวนมู่หัวเราะและช่วยพูดประหนึ่งไม่เกิดเรื่องใดขึ้นว่า “พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวถูกต้องเป็นที่สุดเจ้าค่ะ พวกเราอยู่ที่นี่ แม้แต่ของว่างเล็กน้อย น้องสะใภ้สามก็ยังไม่กล้าทานเลย หากยังไม่ไป จักไม่ถูกรังเกียจเอาหรอกหรือ?”
เสิ่นจั้งหนิงกลับคิดอยากจะอยู่ต่อ แต่แล้วพี่สะใภ้ทั้งสองต่างก็ทั้งลากทั้งดึงนางออกไป นางจึงไม่อาจไม่ออกไปได้ ขณะที่ถูกนางตวนมู่ดึงตัวออกไป นางก็ยังไม่ลืมหันหน้ากลับมาพูดว่า “ซูเหยียนอยากจะมาพบพี่สะใภ้สามเอามากๆ แต่วันนี้นางปวดหัวเล็กน้อยจึงมิได้ออกมา ไว้วันพรุ่งนางหายดีแล้ว ข้าจะพานางมาหาพี่สะใภ้สามนะเจ้าคะ!”
เว่ยฉางอิ๋งกำลังสงสัยว่าซูเหยียนคือผู้ใดและยิ่งประหลาดใจว่าเหตุใดนางจึงอยากจะพบตน นางหลิวผลักเสิ่นจั้งหนิงไปพลางและหันมาอธิบายกับนางไปพลางว่า “ซูเหยียนเป็นบุตรสาวของน้องสะใภ้รอง เป็นลำดับที่สี่ในรุ่นหลานสาว”
เมื่อว่ามาดังนี้ก็นับว่าเป็นหลานสาวของตน? ฟังดูแล้วเหมือนนางจะอายุไม่มาก แล้วเด็กตัวเล็กๆ เช่นนี้จะมาหาตนทำสิ่งใด? เว่ยฉางอิ๋งอดคิดไปไม่ได้ว่า “หรือนางตวนมู่จงใจยุยงให้เสิ่นจั้งหนิงไม่พอใจตน และเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงเสิ่นซูเหยียนด้วย? นี่เป็นเรื่องใดกัน?”
เมื่อเห็นว่าทุกคนล้วนไปกันหมดแล้ว นางหวงจึงรีบให้สาวใช้เข้ามาช่วยปลดเปลื้องภาระอันหนักอึ้งบนตัวเว่ยฉางอิ๋ง ถอดมงกุฎดอกไม้ เครื่องประดับต่างๆ และชุดแต่งงานออก เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกสบายตัวขึ้นมาโดยพลัน เพราะยามนี้กำลังเข้าสู่ฤดูร้อน ชุดแต่งงานมีน้ำหนักมากและไม่สบายตัว เมื่อถอดออกแล้วเสื้อตัวในล้วนเปียกชุ่มไปหมด นางจึงเร่งร้อนอยากจะไปอาบน้ำ
นางหวงปลอบนางว่า “ข้าน้อยได้สั่งให้คนไปเอาน้ำร้อนมาตั้งนานแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่รับประทานอะไรสักเล็กน้อยก่อน ส่วนห้องอาบน้ำนั้นตระเตรียมไว้เรียบร้อยนานแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่คุณหนูไม่ได้ดื่มกินอะไรมาทั้งวัน เกรงว่าหากไม่ทานอะไรสักหน่อย เมื่อลงน้ำแล้วจักไม่ใคร่ดีเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งหิวมากจนเกินไป ยามนี้กลับกลายเป็นว่าไม่อยากจะกินสิ่งใดเลย แต่เมื่อได้ยินนางหวงกล่าวเตือนเช่นนี้ จึงดื่มนมแพะที่นางหลิวส่งมาให้ภายหลัง และทานขนมฮวายฮวากวนแห้งไปสองชิ้น เมื่อขนมกวนแป้งเข้าปาก รสหอมวานก็แผ่ซ่านออกมา ในปากยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกฮวายฮวาด้วย เว่ยฉางอิ๋งอดคิดถึงเรื่องเมื่อต้นเดือนสามที่เกิดขึ้นในลานต้นฮวายไม่ได้… เป็นตนนั้นเองที่ตอนนั้นบอกว่าจะเก็บดอกฮวายฮวาไปให้นางหวงทำขนมฮวายฮวากวนแป้ง เขาจึงจำได้กระมัง?
ฝีมือทำขนมฮวานฮวากวนแป้งของห้องครัวบ้านตระกูลเสิ่นนี้คล้ายยังไม่สู้ที่นางหวงทำ ทว่า..รสชาตินั้นกลับ…หวาน…เป็นธรรมดา คาดว่าเพราะตัวดอกฮวายฮวาทานแล้วก็จะมีรสหวานกระมัง?
เมื่อครู่นี้ยังบอกว่าไม่กิน แต่หนนี้กลับอดจะไปหยิบมาอีกชิ้นไม่ได้
เพียงแต่เมื่อปลายนิ้วแตะลงไป เมื่อมองเห็นขนมกวนแป้งสี่อ่อนๆ นางก็พลันนิ่งเหม่อ ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวมุมปากของนางก็โค้งขึ้นมา…จนกระทั่งนางหวงจงใจกระแอมไอหนหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งจึงได้รู้ตัวขึ้นมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำไปหมด!
นางหวงแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้สัมผัสถึงบางสิ่ง เพียงกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ห้องอาบน้ำเตรียมพร้อมแล้ว คุณหนูใหญ่จะรีบไปอาบน้ำเลยหรือไม่เจ้าคะ?”
“อ่ะ? ได้!” เว่ยฉางอิ๋งหน้าแดงพลางโยนขนมฮวายฮวากวนแป้งชิ้นนั้นกลับลงใบบนจานกระเบื้อง พยายามฝืนวางท่าแล้วกล่าวว่า “เห็นขนมฮวายฮวากวนแป้งแล้ว ข้าก็คิดถึงต้นฮวายแก่ในรุ่ยอวี่ถังของเรา ท่านอา ท่านว่าต้นฮวายต้นนั้นยามนี้ยังอยู่ดีหรือไม่?”
มุมปากขอนางหวงโค้งขึ้นเล็กน้อย เพราะกำลังพยายามกลั้นไม่ให้ตนหัวเราะออกมา แล้วกล่าวไปด้วยท่าทีขึงขังว่า “ในเมื่อมันอยู่มาเป็นร้อยปีก็ยังคงมีดอกใบเต็มต้น คิดว่ายามนี้ก็ยังคงดีเช่นเดิมกระมังเจ้าคะ”
“อืม เช่นนั้นก็ดีแล้ว!” เว่ยฉางอิ๋งลุกขึ้นมา วางท่าทำเป็นว่าเพียงสอบถามไปลอยๆ เช่นนั้น แล้วว่า “ไปกันเถิด”
….หลังอาบน้ำเสร็จ ฉินเกอและเยี่ยนเกอคอยช่วยนางสวมเอี๊ยมซับใน นางหวงหยิบเสื้อเกาะอกผ้าไหมเค่อซือ[1]สีแดงส้มภาพลายเมฆหรูอี้ดิ้นทองที่เตรียมเอาไว้เรียบร้อยนานแล้วมาจากถาดวางเสื้อผ้าที่เจวี๋ยเกอถืออยู่ออกมา บอกให้ฉินเกอสวมให้แก่เว่ยฉางอิ๋ง จากนั้นก็คลี่เสื้อคลุมเยวี่ยหลัวผ่าหน้าสีแดงเข้มทับทิมปักภาพลูกเต็มบานหลานเต็มเมืองออกมาและเอามาคลุมให้นาง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “คุณหนูใหญ่ของพวกเราสวมสีแดงแล้วขึ้นเสียจริงๆ”
ผ้าเยวี่ยหลัวที่อ่อนนุ่มบางเบาจนรู้สึกเหมือนไม่ได้สวมใส่นี้คลุมอยู่ที่หัวไหล่ของนาง หลังจากอาบน้ำแล้วเว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่ง เมื่อคลุมตัวด้วยเสื้อคลุมหลัวซานตัวยาวนี้เข้าไป จู่ๆ นางก็คิดถึงหนังสือภาพที่นางหวงนำมาสอนตนก่อนหน้านี้ แม้วันนั้นนางจะรู้สึกอายเกินไป จึงไม่กล้าดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่ก็พอจะจดจำภาพเหล่านั้นได้รางๆ และในใจกลับรู้สึกขลาดกลัวอย่างไม่รู้ที่มา อดจะกำมือแน่นหนแล้วหนเล่าไม่ได้
นางหวงมองเห็นความตื่นเต้นของนาง เมื่อรอจนพวกของฉินเกอช่วยปรนนิบัติเว่ยฉางอิ๋งสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ก็สั่งให้พวกนางออกไป แล้วจึงปลอบประโลมเว่ยฉางอิ๋งเสียงเบาๆ ว่า “คุณหนูใหญ่อย่าได้กลัวไปเลยเจ้าค่ะ สตรีทุกคนย่อมต้องผ่านเรื่องเช่นนี้ ดูไปแล้วท่านเขย… ท่านเขยก็มิใช่คนที่จะไม่เมตตาปราณีคน คุณหนูใหญ่อดทนสักหน่อย ผ่านไปสักสองวันก็จะดีเองนะเจ้าคะ?”
ตอนดูหนังสือภาพครานั้น เว่ยฉางอิ๋งอายเสียจนไม่กล้าลืมตา แม้นางหวงจะพยายามช่วยให้ความกระจ่างกับนางอย่างสุดชีวิต อีกทั้งนางหวงเองก็เป็นบ่าวในบ้านใหญ่ที่พอจะรู้หนังสืออยู่บ้าง ยามพูดจาก็สุภาพอ่อนโยน ทว่าเว่ยฉางอิ๋งก็ยังไม่ยอมตั้งใจ จึงทำให้เข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง จำได้แต่เพียงว่าพอเรื่องนี้ผ่านไปแล้วก็จะรู้สึกเจ็บ… นอกนั้นกลับเข้าใจอย่างคลุมๆ เครือๆ เมื่อถูกนางหวงปะเหลาะเช่นนี้ จึงรู้สึกอายจนโกรธ แล้วกล่าวอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ก็มิใช่แค่เจ็บนิดหน่อยเท่านั้น! ท่านอาวางใจเถิด ยามข้าฝึกวรยุทธ์ก็เคยลำบากมานักต่อนักแล้ว มีสิ่งใดต้องกลัวเล่า! อีกประการเขารึจะกล้าทำข้าเจ็บ? ถึงเวลายังมิรู้ว่าผู้ใดจักทำผู้ใดเจ็บกันแน่!”
แม้จะบอกว่านางหวงเพิ่งมาดูแลนางได้ไม่กี่เดือน แต่ก็สามารถสัมผัสถึงนิสัยแข็งกร้าวไม่ยอมแสดงความอ่อนแอออกมาของคุณหนูใหญ่ผู้นี้ได้อย่างชัดเจน มาได้ยินดังนี้ก็รู้ว่าเรื่องที่นางอธิบายไปนั้นเปล่าประโยชน์เสียแล้ว จึงไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี ทว่าเมื่อลองคิดดูใหม่ ดีชั่วอย่างไรเสิ่นจั้งเฟิงทางนั้นก็คงจะไม่ใช่ว่าไม่มีคนชี้แนะมา ยามนี้ก็ไม่มีเวลาจะมาอธิบายรายละเอียดให้เว่ยฉางอิ๋งฟังแล้ว ทั้งยังคร้านจะจ้ำจี้จ้ำไชนาง จึงเพียงกำชับไปว่า “คืนนี้ให้ทำตามท่านเขยสักหน่อย ท่านเขยต้องการให้คุณหนูใหญ่ทำสิ่งใด ก็ให้คุณหนูใหญ่เชื่อฟังก็แล้วกันนะเจ้าคะ”
เว่ยฉางอิ๋งพลันไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันใด “ข้าไม่ได้อยากเชื่อฟังเขาสักหน่อยนี่ แล้วเหตุใดเขาจึงไม่ต้องเชื่อฟังข้าบ้าง?”
“คุณหนูใหญ่…” เมื่อเห็นนางหวงชักสีหน้า คล้ายว่าคงจะต้องเกิดเรื่องให้ว่ากันอีกยาว เว่ยฉางอิ๋งจึงสูดหายใจลึกๆ แล้วพูดกลบเกลื่อนไปว่า “ตกลง ตกลง”
…เชอะ! ข้าเชื่อฟังเขาก็บ้าแล้ว! ลองกล้าไม่เชื่อฟังข้าสิ คืนนี้จะเล่นงานเขาให้ดู!
เว่ยฉางอิ๋งถูกนางหวงส่งออกมาจากห้องอาบน้ำพร้อมกับความคิดเช่นนี้ เมื่อถึงในห้องกลับเห็นว่าพวกของฉินเกอที่ออกมาก่อนหน้านี้ไม่อยู่แล้ว จึงอดจะรู้สึกงงงันไม่ได้ กำลังจะร้องเรียกคน ข้างหลังกลับมีคนกระแอมไอเบาๆ หนหนึ่ง
นางหวงรีบหันหลังไปคำนับ “ท่านเขย”
“ท่านอาออกไปก่อนเถิด” เสิ่นจั้งเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
และนางหวงเองก็มิได้ขัดข้อง อมยิ้มด้วยความยินดีแล้วว่า “เจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งกำมือแน่น เมื่อหันหน้าไปมองกลับเห็นว่าเสิ่นจั้งเฟิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดยาวใส่อยู่บ้านตามปกติ ถอดครอบม้วยผมทองที่ใส่ในงานแต่งงานออก มีเพียงผ้ารัดผมสีเข้มมัดไว้หลวมๆ และเขากำลังมองมาทางนางด้วยรอยยิ้มบางๆ แม้สีหน้าเขาจะอ่อนโยน ทว่าใบหน้าของเขาก็ยังคงเฉียบคมเร่งเร้าใจคน
เมื่อถูกเขามองมา เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกลนลานโดยไม่รู้สาเหตุ จากนั้นก็เกิดไม่พอใจขึ้นมา ‘มันเรื่องใดที่ข้าต้องกลัวเขาด้วย!’ แล้วยกคอเสื้อขึ้นแสร้งทำเป็นไม่สะทกสะท้าน กล่าวว่า “เจ้ามองสิ่งใด?”
เพราะกราบไหว้ฟ้าดินแล้ว ยามนี้เสิ่นจั้งเฟิงจึงได้ดูผ่อนคลายลงมาก เมื่อถูกนางซักไซ้เช่นนี้ นอกจากจะไม่หันเหสายตาไปที่ใดแล้ว กลับยิ้มอย่างใจเย็นว่า “เหนื่อยแล้วใช่หรือไม่? อยากจะกินอะไรสักหน่อยหรือไม่? ข้าจะสั่งคนให้เตรียมสุราอาหารมาให้”
พูดไปก็ขยับเข้ามาคว้าแขนเว่ยฉางอิ๋ง
เว่ยฉางอิ่งสะดุ้งแล้วขยับหลบไปตามสัญชาตญาณ เพียงแต่เสิ่นจั้งเฟิงก็ก้าวตามเข้ามาอีกก้าวหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งอดไม่ไหวจึงถอยหลังไปอีกก้าว เสิ่นจั้งเฟิงชะงักเล็กน้อย แล้วยกแขนขึ้นมา… ปรากฏว่าเว่ยฉางอิ๋งก็ก้าวถอยไปอีกก้าวอย่างไม่ทันรู้ตัว เสิ่นจั้งเฟิงยืนนิ่งไม่ได้ขยับตามเข้าไปอีก แต่กลับหัวเราะออกมาแล้วว่า “ยามนี้พวกเรากราบไหว้ฟ้าดินแล้ว เจ้ายังกลัวสิ่งใด?”
เจ้าหมอนี่ถึงกับกล้าบอกว่าข้ากลัวเขา…
เว่ยฉางอิ๋งหน้าเขียวคล้ำขึ้นมาทันใดแล้วเอ่ยออกไปด้วยความโกรธจนตัวสั่นว่า “เข้าไม่ได้กลัวเจ้า ข้าเพียงแต่ไม่อยากกินเท่านั้น”
“…” แววตาของเสิ่นจั้งเฟิงมีรอยยิ้มขึ้นมาอย่างชัดเจน กล่าวว่า “ตกลง เช่นนั้นพวกเราเข้านอนกัน?”
เข้านอน? เว่ยฉางอิ๋งเผลอหันไปมองตั่งนอนโดยไม่ตั้งใจ ตะขอเกี่ยวมุ้งเป็นรูป ‘ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง’ เกาะมุ้งให้เปิดแยกออกสองข้าง เผยให้เห็นผ้าห่มสีแดงทับทิมที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอของสิริมงคล บนผ้าห่มหนาปักภาพต่างๆ และลายดอกไม้ที่แสดงถึงความเป็นมงคลและครบสมบูรณ์เอาไว้เต็มไปหมด… บนหมอนก็ยังวางหยกหรูอี้เอาไว้คู่หนึ่ง
นางพลันรู้สึกวิงเวียนขึ้นมาเล็กน้อย ในขณะที่กำลังขบคิดว่าจะตอบไปอย่างไร เอวของนางกลับถูกรัดรึงไว้แน่น กลับเป็นเสิ่นจั้งเฟิงเข้ามาโอบเอวนางเอาไว้ในขณะที่นางกำลังเหม่อลอย
“เจ้าทำสิ่งใด?” เว่ยฉางอิ่งตื่นตกใจยิ่งและพยายามเอี้ยวตัวออก แต่แล้วเพียงมือของนางทาบลงไปที่แขนของเสิ่นจั้งเฟิง ก็กลับถูกเขาหันมือกลับมาเกาะกุมเอาไว้ แล้วก้มหน้าลงมาจูบเบาๆ ที่ปอยผมหลังใบหูครั้งหนึ่ง…จูบนี้แม้จะแผ่วเบา แต่จนใจเหลือที่ตรงหน้านั้นเป็นกระจกที่จัดวางเอาไว้ให้เว่ยฉางอิ๋งใช้แต่งหน้าทำผม และนางมองเห็นภาพในกระจกได้อย่างแจ่มชัด… เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกแต่เพียงว่ามีเสียงก้องอยู่ในหัวหนหนึ่ง และราวกับว่าเลือดในกายทั้งหมดพลันไหลย้อนขึ้นมาในบัดดล!
นางนิ่งเหม่อไปพักใหญ่ๆ แล้วพลันใช้ศอกถองไปข้างหลังหนหนึ่ง… ไม่คิดว่าเพียงกำลังถอง เสิ่นจั้งเฟิงกลับตาไวมือเร็วจับแขนนางเอาไว้ กล่าวอย่างจนปัญญาว่า “พวกเราเป็นสามีภรรยากันแล้ว เจ้ายังจักกลัวข้าทำสิ่งใด?”
เจ้าหมอนี้กล้าบอกว่าข้ากลัว!!!
ทั้งยังกลัวเขา!!!
เว่ยฉางอิ๋งขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน!
นางดิ้นรนอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่อาจสะบัดให้หลุดได้ แต่กลับรู้สึกว่าแผ่นอกแกร่งของชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังค่อยๆ ร้อนระอุขึ้นมา ลมหายใจของเสิ่นจั้งเฟิงที่อยู่ใกล้หูตนนั้นก็ค่อยๆ กระชั้นขึ้น ความคิดของนางก็หมุนวนไปต่างๆ นานา ทันใดนั้นเองพลันมีแสงสว่างวาบขึ้นมาในสมอง นางหยุดดิ้นรน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “ในเมื่อเป็นสามีภรรยา แล้วเจ้ามารั้งตัวข้าไว้เช่นนี้ทำสิ่งใด? ยังไม่รีบปล่อยอีก!”
_______________________________
[1] เค่อซือ เป็นเทคนิกการทอผ้าไหมให้ออกมาเป็นภาพทั้งภาพ (ไม่ใช่แค่ลายรูปทรงเลขาคณิตเหมือนกันทั้งผืน)