หลังจากงานเลี้ยงวันส่งท้ายปีเลิกรา ฮูหยินซูจึงอดจะดึงตัวเว่ย
เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่รู้ว่าที่ตนบอกองค์หญิงอันจี๋ว่าตัวเลือกพระสวามีของนางคือฮั่วเจ้าอวี้ผู้นี้เป็นเรื่องถูกหรือผิด? ด้วยเหตุที่รอบตัวนางไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย กลัวว่ามากหมอจะยิ่งมากความ หากพูดออกไปแล้วก็อย่าได้ไปสร้างความแค้นกับผู้ใดเลย นางจึงพูดอย่างคลุมเครือไปว่า “องค์หญิงอันจี๋เพียงอยากจะคุยสัพเพเหระกับสะใภ้สักหน่อยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซูย่อมไม่เชื่อ นางเป็นฮูหยินขั้นหนึ่ง ไม่ว่าเทศกาลใดๆ นางก็ล้วนต้องเข้าวังทั้งสิ้น อีกทั้งในยามปกติ เมื่อมีเรื่องใดก็คอยแต่ต้องเข้ามาในวังเสมอๆ เหล่าองค์ชายอยู่ที่ตำหนักหน้า เพื่อไม่เป็นการละเมิดข้อห้ามจึงมิได้ไปไถ่ถามถึงเท่าใด เรื่องที่นางรู้ล้วนเป็นข่าวที่เล่าลือกันออกมาและคนทั่วไปต่างก็รู้กันเท่านั้น แต่สำหรับเหล่า องค์หญิงและพระธิดาแล้วนางกลับไม่ได้ไม่คุ้นเคยเลย
ในบรรดาองค์หญิงทั้งสามพระองค์ในวังหลวงที่ยังไม่อภิเษกก็มีเพียงองค์หญิงหลินชวนเท่านั้นที่มีความเป็นได้ว่าจะมาสนทนาเรื่องสัพเพเหระกับสะใภ้ของตน …หากด้วยความสนใจชั่วครั้งชั่วคราว องค์หญิงชิงซินก็อาจจะพอมีความเป็นไปได้บ้าง? แต่องค์หญิงอันจี๋นั้นไม่มีทางเป็นไปได้โดยเด็ดขาด
ทว่าเมื่อฮูหยินซูได้ฟังคำก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะจะมาสอบถามเอาต่อหน้าธารกำนัลแล้ว จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “ตรงนี้เป็นทางลม เจ้าเอาหมวกคลุมให้ดีๆ อย่าให้หนาวเอาได้”
คนข้างกายเว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำก็รีบเข้าไปช่วยนางจัดแจงเสื้อคลุม
จนเมื่อกลับมาที่จวน ด้วยเหตุที่คืนนี้ไปร่วมงานเลี้ยงและอ่อนล้ากันอย่างมาก จึงไม่มีเวลาเอ่ยถึงรายละเอียดในงานเลี้ยง จนถึงวันรุ่งขึ้นซึ่งก็เป็นวันปีใหม่ เป็นวันที่คนทั้งบ้านต้องมากราบไหว้บรรพบุรุษ ต้องวุ่นวายอยู่จนถึงช่วงเย็น ฮูหยินซูจึงมีเวลามาสอบถามเรื่องในงานเลี้ยงวันสิ้นปีอย่างละเอียด
เว่ยฉางอิ๋งย่อมไม่กล้าปิดบังแม่สามี และเล่าเรื่องแต่ต้นจนจบให้ฟัง ตอนแรกที่ฮูหยินซูได้ยินว่านางรับปากจะช่วยดูตัวเลือกพระสวามีที่เหมาะสมให้แก่องค์หญิงอันจี๋ก็รู้สึกไม่ใคร่พอใจนัก “เจ้าอยู่ดีๆ แล้วไยต้องไปหาเรื่องใส่ตัวเล่า? องค์หญิงพระองค์นี้ร้ายกาจเพียงนั้น ผู้คนต่างรู้กันไปทั่วทั้งเมืองหลวง บรรดาตระกูลเลื่องชื่อจะมีบ้านใดที่ยินยอมให้บุตรชายดีๆ ของตนไปแต่งกับนาง? ส่วนชาวบ้านทั่วไปก็ไม่คู่ควรกับนางอีก! เจ้ารับปากนางเรื่องนี้แล้ว จะให้คำอธิบายกับนางอย่างไร?”
วันนี้เหล่าสะใภ้ล้วนมาคารวะต่อหน้าแม่สามี นางหลิวไม่เอ่ยคำ แต่ตวนมู่เยี่ยนอวี่กลับไม่ยอมละเว้นเว่ยฉางอิ๋ง นางยิ้มจางๆ แล้วเอ่ยต่อไปว่า “น้องสะใภ้สาม เจ้าอย่าได้คิดว่าทำแม่พูดหนักเกินไป ความจริงแล้วตอนที่เห็นองค์หญิงอันจี๋ไปร่วมโต๊ะกับเจ้าในงานเลี้ยงวันสิ้นปี ก็ทำเอาท่านแม่ตกใจเป็นหนักหนาเชียว! อย่าว่าแต่ท่านแม่เลย ตอนนั้นทั้งข้าและพี่สะใภ้ใหญ่ยังพากันเป็นกังวลแทนเจ้าไปด้วย!”
เว่ยฉางอิ๋งเป็นฝ่ายผิดจึงรีบยิ้มสู้เป็นการขอมา และมาอธิบายอีกยกใหญ่ …ฮูหยินซูได้ยังว่านางแนะนำบุตรชายคนโตจากบ้านใหญ่ของตระกูลฮั่วแห่งอวิ๋นเสีย สีหน้าก็ไม่ดีขึ้นมาทันใด เอ่ยอย่างเย็นเฉียบไปว่า “เจ้าเพิ่งจะมาอยู่เมืองหลวง ไม่คุ้นเคยกับคนในแต่ละตระกูล แล้วยังกล้าแนะนำคนให้แก่องค์หญิงส่งเดชเช่นนี้ … องค์หญิงอันจี๋ก็มิใช่คนอ่อนโยนอยู่ในขนบธรรมเนียม ไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องหรือไร?”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “สะใภ้คิดว่าคุณชายใหญ่บ้านฮั่วเป็นคนดีมากเจ้าค่ะ…”
“เป็นคนดีก็จะไปรังแกเขาได้ง่ายๆ รึ?” ฮูหยินซูขึ้นเสียง “เจ้ามีความสัมพันธ์ใดกับฮั่วเจ้าอวี้? เป็นญาติผู้ใหญ่ของเขารึ? หรือเป็นคนที่มีบุญคุณเคยช่วยชีวิตเขา? เรื่องสำคัญชั่วชีวิตของเขาเจ้าจึงไปตัดสินใจได้? ไม่แม้จะถามตัวเขาเองก่อนก็แนะนำให้องค์หญิงเสียแล้ว?”
“…สะใภ้ฟังองค์หญิงว่าหาได้ต้องแต่กับคุณชายฮั่วเสียให้จงได้ไม่เจ้าค่ะ เพียงสงสัยว่าคนที่สะใภ้เอ่ยถึงคือผู้ใดเท่านั้น จึงได้…” เว่ยฉางอิ๋งถูกแม่สามีต่อว่าจนเงยหน้าไม่ขึ้น อ้ำอึ้งอยู่นานจึงเอ่ยออกมา
ฮูหยินซูพูดด้วยใบหน้าเย็นชาว่า “เวลานี้เจ้าออกเรือนเป็นภรรยาคน ไม่เหมือนเป็นบุตรสาวในบ้านตนเอง! อย่านึกว่าตนเองเป็นเด็กเล็กๆ ไม่ว่าเรื่องใดก็คิดว่าต้องเป็นดังที่คิดไปเสียหมด! วันหน้า หากเป็นเรื่องที่เจ้าไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนก็ควรกลับมาถามข้าสักหน่อย! หรือไม่ก็ถามพี่สะใภ้ทั้งสองคนของเจ้า! ตัดสินใจเอาเองทึกทักไปเอง คนก็โตเพียงนี้แล้วแต่กลับยังทำการเลอะเลือนเหมือนเด็กเล็กๆ ใช้การได้รึ!” ฮูหยินซูอบรมเว่ยฉางอิ๋งไปดังนี้ และเพราะเห็นแก่ที่นางกำลังตั้งท้อง ทั้งยังเป็นหลานชายเสียด้วย จึงจิบน้ำชาคำหนึ่งแล้วว่า “นี่ก็เย็นมากแล้ว วันพรุ่งพวกเจ้ายังต้องกลับบ้าน แยกย้ายกันกลับไปก่อนเถิด”
เมื่อออกมาจากห้องมา เว่ยฉางอิ๋งฝืนตัวเองไปร่ำลาพี่สะใภ้ทั้งสอง เดินคอตกกลับไปที่เรือนจินถง …นางกลับไม่ได้รู้สึกเสียใจเรื่องที่ถูกตำหนิในวันนี้สักเท่าใด แต่ก็ด่าทอตนเองอยู่ในใจว่าเหตุใดจึงเลอะเลือนเช่นนี้ ทั้งที่ตัดสินใจไว้แต่แรกแล้วว่าหากไม่ได้สอบถามรายละเอียดต่างๆ ของฮั่วเจ้าอวี้และถามว่าเขามีความคิดจะอภิเษกกับองค์หญิงหรือไม่ให้แน่ชัดเสียก่อนก็จะไม่บอกองค์หญิงอันจี๋ แล้วเหตุใดจึงพูดออกไปเสียแล้ว?
ถ้าเกิดองค์หญิงอันจี๋คิดจะอภิเษกกับฮั่วเจ้าอวี้ขึ้นมาจริงๆ แต่ฮั่วเจ้าอวี้กลับไม่คิดจะเป็นเขยหลวง…เช่นนี้ก็มิใช่ว่าตนจะไปทำร้ายคนดีเช่นคุณชายใหญ่บ้านฮั่วหรอกหรือ? ไม่แน่ว่าแม้แต่บ้านฮั่วก็ยังต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย!
เว่ยฉางอิ๋งยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองจัดการเรื่องนี้ได้อย่างย่ำแย่จริงๆ จึงเสียใจจนพูดไม่ออก
ค่อยๆ เดินต่อเท้าอย่างเกียจคร้านกลับไปที่บ้านสาม เพิ่งเข้ามานั่งในห้อง จูสือกลับวิ่งเข้ามาบอกว่า “ซินซินจากเรือนฮูหยินน้อยใหญ่เข้ามาทางประตูมุมเรือน บอกว่ามีความมาแจ้งต่อฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งย่อมสั่งให้นางไปพาซินซินเข้ามา ซินซินเป็นสาวใช้ตัวน้อยในเรือนของนางหลิว อายุรุ่นราวคราวเดียวกับจูสือ นางเอ่ยคำทักทายอย่างคล่องแคล่ว และไม่ได้ร่ำไร เอ่ยถึงสาเหตุที่นางหลิวให้นางมาในทันที …ความจริงก็คือมาอธิบายกับ เว่ยฉางอิ๋งว่าเหตุใดนางจึงถูกตำหนิในวันนี้
นอกจากไปรับปากช่วยเลือกหาพระสวามีให้แก่องค์หญิงอันจี๋โดยพลการแล้ว เรื่องที่ทำให้ฮูหยินซูโกรธกลับเป็นเพราะนางไปแนะนำฮั่วเจ้าอวี้…. ฮั่วเจ้าอวี้ผู้นี้เดิมทีเป็นหนึ่งในตัวเลือกของบุตรเขยที่นางเตรียมไว้ให้เสิ่นจั้งหนิง!
แม้เมื่อฮูหยินซูพิจารณาแล้ว ฮั่วเจ้าอวี้ก็มิได้เป็นเป้าหมายในลำดับแรกๆ แต่เมื่อพิจารณาจากนิสัยของเสิ่นจั้งหนิง เขาก็กลับไม่เลวเลย โดยมากแล้วเมื่อแม่ยายเลือกบุตรเขยก็จะไม่ทำเพื่อไต่เต้าให้ตนสูงขึ้น และไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนหวังว่าบุตรเขยจะเป็นคนใจดี มีจิตใจกว้างขวาง ที่แท้แล้ว ฮั่วเจ้าอวี้ผู้นี้…กลับมิได้มีเพียงเว่ยฉางอิ๋งคนเดียวในเมืองหลวงที่ค้นพบหินทดสอบทอง[1]ก้อนนี้ของกู้หน่ายเจิง
กิตติศัพท์เรื่องพฤติกรรมแปลกประหลาดนานาของกู้หน่ายเจิงตลอดเวลาหลายปีมานี้ เมื่อบรรดาคนในตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่ได้ยินเสียงเล่าลือก็ต่างพากันหลบเลี่ยงจนหมด จะเหลือก็แต่สองพี่น้องบ้านฮั่วซึ่งเป็นสหายสนิทที่รู้จักกันมาแต่เด็กของเขาเท่านั้น …แล้วมารดาในเมืองหลวงที่รักใคร่บุตรสาวอย่างจริงใจจะปล่อยให้ฮั่วเจ้าอวี้และฮั่วเฉินยวนหลุดมือไปได้อย่างไร?
ปรากฏว่าเว่ยฉางอิ๋งที่ไม่รู้เรื่องนี้กลับแนะนำฮั่วเจ้าอวี้ให้แก่องค์หญิงอันจี๋เสียแล้ว! ในสายตาของฮูหยินซู นี่จึงนับว่าเว่ยฉางอิ๋งชิงตัวว่าที่สามีของน้องสาวสามีของตนไปให้องค์หญิงอันจี๋ นางย่อมไม่พอใจแน่นอน
ได้ฟังคำของซินซิน เว่ยฉางอิ๋งพลันเข้าใจขึ้นมาทันใด และอดรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไม่ได้
หลังจากซินซินถ่ายทอดคำของนางหลิวแล้วก็ปลอบนางว่า “ฮูหยินน้อยใหญ่บอกว่าฮูหยินน้อยสามท่านไม่ต้องเป็นกังวลเกินไป แม้ก่อนนี้ฮูหยินเคยมีความคิดดังนี้จริงๆ แต่อย่างไรคุณหนูสี่บ้านเราก็มีฐานะสูงส่ง ทั้งยังมีรูปโฉมงดงาม อายุในตอนนี้ก็ยังไม่นับว่าต้องเร่งร้อนอันใด จึงไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้แต่งกับคนที่ดีกว่าคุณชายใหญ่บ้านฮั่วหรอกเจ้าค่ะ ความจริงแล้ว ฮูหยินก็เพียงหมายตาในความเป็นคนดีของคุณชายใหญ่ฮั่วเช่นกันเท่านั้นเจ้าค่ะ”
————————————
[1] หินทดสอบทอง คือ หินสีดำชนิดหนึ่ง เมื่อเอาทองมาขูดก็จะสามารถตรวจสอบออกมาได้ว่าเป็นทองคำแท้หรือไม่