น้ำเสียงพูดของกู้เป่ยฟังดูไม่สบอารมณ์นัก“ถ้าเมืองBมีที่ซ่อน ผมจะไปหาพี่ทำไม?”
คุณนายโจวไม่ได้เติบโตมาในตระกูลกู้ กู้เป่ยจึงเป็นลูกชายคนเดียว ตั้งแต่เล็กจนโตถูกพ่อกับแม่ตามใจมาตลอด ส่วนพวกพี่สาวนั้น ก็มีแค่พวกที่โตมาในบ้านเท่านั้นที่เขาจะทำดีด้วย นอกนั้นไม่นับ
ฉะนั้นการพูดการจาของเขาจึงดูไม่มีมารยาทและไม่ค่อยเคารพเท่าไหร่ เพราะเขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องช่วยอยู่แล้ว
เมื่อคุณนายโจวได้ยินกู้เป่ยพูดจาห้วนๆกับเธอ เธอจึงรู้สึกไม่พอใจมากก็เลยเอ่ยตักเตือนออกไป“ฉันเป็นพี่แกนะ”
“ผมรู้ ไม่งั้นผมจะมาขอให้พี่ช่วยทำไมล่ะ”กู้เป่ยตอบอย่างมั่นใจ
คุณนายโจวหลับตาลงพร้อมกับถอนหายใจออกมา กู้เป่ยไม่เข้าใจสิ่งที่เธอจะสื่อ
ในสายตาของเขาคนที่เป็นญาตินั้นมีไว้เพื่อ‘ใช้ประโยชน์’เท่านั้น เดิมไม่ได้รู้สึกผูกพันกับคนในครอบครัว และก็ไม่รุ้จักเคารพใครเลย
“ไม่ได้จะให้ซ่อนที่เมืองB จะให้ไปกบดานที่ไป๋เฉิงต่างหาก ถ้าแกตกลงตามนี้ก็ให้มาเจอกันวันพรุ่งนี้ ถ้าไม่ตกลงก็แล้วแต่ เพราะฉันคงไม่ให้เอาคนมาซ่อนไว้ในบ้านแน่ๆ”
คุณนายโจวพูดอย่างชัดเจน
เธอทำใจรักน้องชายคนนี้ไม่ได้จริงๆ
และก็ไม่ได้อยากติดต่อกันด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะเกิดมาจากแม่เดียวกัน เธอก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งหรอก
กู้เป่ยอยากจะระเบิดอารมณ์ออกมา แต่ว่าตอนนี้เขาหมดหนทางแล้ว ไม่งั้นคงไม่คิดจะเอาคนมาซ่อนในบ้านของพี่สาวหรอก
คนของเสิ่นเผยชวนจับตาดูเขาอยู่ตลอดเวลา เขาแทบไม่มีอิสระเลย ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆพี่สี่ก็จะถูกพบในไม่ช้าก็เร็วนี้แน่ๆ
ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือก นอกจากต้องตอบตกลง
“ได้น่ะมันได้ แต่ว่าไป๋เฉิงอยู่ที่ไหน จะปลอดภัยจริงๆไหม?”กูเป่ยยังคงกังวลอยู่ ทำไมเขาถึงไม่เคยได้ยินชื่อไป๋เฉิงเลยนะ?
คุณนายโจว“……”
“ไป๋เฉิงเป็นเมืองเล็กๆ และที่ฉันแนะนำให้แกได้นั่นมันก็แปลว่ามันปลอดภัยมากๆ ถ้าแกไม่เชื่อฉันก็แล้วแต่แก”คุณนายโจวพูดพลางทำท่าจะกดวางสาย
กู้เป่ยรีบพูดขึ้น“ตกลง งั้นพรุ่งนี้ให้ผมส่งพี่สี่ไปหาพี่ที่นั่นเลยไหม?”
คุณนายโจวไม่ได้รีบตอบกลับ ทว่ากลับลดโทรศัพท์ลงแล้วยกมือขึ้นมาปิดไมค์ไว้ จากนั้นก็มองไปที่ไป๋ยิ่นหนิงแล้วถามขึ้น“เขาบอกว่าจะส่งคนมาวันพรุ่งนี้ ลูกว่ายังไง?”
ไป๋ยิ่นหนิงพยักหน้าตอบ“ผมจะส่งคนขับรถมารับคนจากที่นี่ไป”
“ตกลง งั้นเดี๋ยวแม่จะบอกให้เขาส่งคนของเขามาแล้วกัน”คุณนายโจวยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง แล้วพูดกับกู้เป่ยขึ้น“พรุ่งนี้แกส่งคนมาเลย”
“อืม”พูดจบปลายสายก็กดวางสายทันที
คุณนายโจวมองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไป เธอขมวดคิ้วขึ้น นี่เขาจะไม่พูดคำขอบคุณหรืออย่างอื่นแล้วกดวางสายไปดื้อๆแบบนี้เลยหรอ ดูสิเขาเคารพพี่สาวคนนี้ขนาดแค่ไหน ขนาดมารยาทง่ายๆยังไม่รู้จักทำเลย
“ในเมื่อแม่ไม่ชอบ หลังจากผ่านเรื่องนี้ไป แม่ต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่องนะครับว่าจากนี้ไปไม่ต้องติดต่อมาแล้ว”ไป๋ยิ่นหนิงดูออกว่าคุณนายโจวไม่ค่อยชอบน้องชายคนนี้มากนัก
“แม่ทำแน่ ลูกรีบไปพักผ่อนเถอะ ดึกมากแล้ว”คุณนายโจวพูดขึ้น
ไป๋ยิ่นหนิงขานรับแล้วเข็นรถเข็นกลับไปที่ห้องของตัวเอง
ณ คฤหาสน์
หลินซินเหยียนนอนหลับสนิท และจงจิ่งห้าวไม่ได้ปลุกเธอ แต่เพราะหิวเธอเลยตื่น ซึ่งตอนที่ตื่นก็เห็นว่านี่มันเที่ยงคืนแล้ว เธอพลิกตัวแล้วขยี้ตาเบาๆ จากนั้นก็ถามออกไป“ทำไมไม่เรียกฉัน?”
จงจิ่งห้าวกอดเธอไว้“ผมเห็นคุณนอนอย่างมีความสุขผมก็เลยไม่กล้าปลุก”
หลินซินเหยียน“……”
“ดึกขนาดนี้แล้วยังมีกับข้าวอยู่ไหมเนี่ย?”เธอพูดบ่นพลางเลิกผ้าห่มออก บนตัวยังคงสวมชุดกระโปรงสีขาวเหมือนเมื่อตอนกลางวัน เสื้อตัวบนที่ถูกจงจิ่งห้าวเลิกขึ้นหลุดรุ่ยจนคอเสื้อห้อยลงมาถึงแขนแล้ว แถมบนหน้าอกก็ยังมีรอยแดงๆที่จงจิ่งห้าวทิ้งไว้ด้วย
ดึงเสื้อขึ้นมาปิดหน้าอก เธอรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว เนื่องจากหลังจากเสร็จกิจเธอก็มานอนเลย เพราะงั้นความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะมันจึงยังคงอยู่ เธอหยิบชุดชั้นในที่ซักสะอาดแล้วออกมาจากลิ้นชักแล้วเดินไปอาบน้ำในห้องน้ำ
หลินซินเหยียนเปิดน้ำร้อนลงในอ่างใหญ่แล้วลงไปอาบน้ำขัดตัว หลังจากอาบเสร็จก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา กว่าจะอาบน้ำเสร็จก็ปาเข้าไปครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว เธอเป่าผมเสร็จแล้วเดินออกมา บนเตียงไม่มีคนอยู่ เธอเดินไปดูที่ระเบียงก็ไม่เจอจงจิ่งห้าว เพราะงั้นก็เลยลงมาดูชั้นล่าง
เวลานี้ทุกคนนอนหมดแล้ว ทั้งคฤหาสน์จึงเงียบสนิท ในห้องนั่งเล่นชั้นล่างก็ไม่มีใคร มีแต่ห้องครัวที่มีไฟเปิดสว่างอยู่
เธอเดินเข้าไปเงียบๆ เมื่อเห็นจงจิ่งห้าวใส่ผ้ากันเปื้อนพันรอบเอวแล้วกำลังเอาเกี๊ยวลงไปต้ม เธอจึงยืนพิงประตูมองเขาแล้วถามขึ้นเบาๆ“ทำเป็นหรอ?”
จงจิ่งห้าวหันกลับมามองเธอ“แอบดูผมหรอ?”
หลินซินเหยียนยิ้มออกมา จากนั้นก็เดินเข้ามากอดเอวเขาจากด้านหลังแล้วถามขึ้น“ทำกับข้าวเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?”
“ป้าหยูบอกว่าให้อุ่นซุปซี่โครง แล้วเอาเกี๊ยวใส่ลงไปแค่นี้ก็ได้แล้ว”พอทุกคนกินข้าวเย็นหมดแล้ว เขาก็ไม่ได้ขึ้นไปปลุกหลินซินเหยียน แต่กลับถามป้าหยูแทนว่าต้องทำยังไงกับเกี๊ยว เพราะคิดว่าถ้าหลินซินเหยียนตื่นเธอต้องหิวแน่ แล้วพอเธอหิวเขาก็จะได้ทำให้เธอกิน
ป้าหยูเป็นคนห่อเกี๊ยวไว้ให้ก่อนหน้านี้ แถมยังต้มซุปซี่โครงไว้ให้ด้วย มันยังอุ่นอยู่เลย เพราะงั้นแค่เปิดเตาแล้วรอให้ร้อนจากนั้นก็เอาเกี๊ยวลงไปแค่นี้ก็ได้แล้ว ง่ายมากๆ
ไม่รู้ว่าเพราะหิวรึเปล่า หลินซินเหยียนจึงได้กลิ่นหอมของเนื้อลอยออกมา
เธอเอียงหัวไปดูในหม้อแล้วถามขึ้น“เมื่อไหร่จะเสร็จคะ?”
“หิวแล้วหรอ?”
หลินซินเหยียนพยักหน้าลงจากใจจริง“อื้ม”
จงจิ่งห้าวหันหลังไปจุ๊บหน้าผากเธอ“ไปรอข้างนอกสิ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
หลินซินเหยียนผละออกจากเขา จากนั้นก็เดินไปที่ห้องทานอาหารแล้วดึงเก้าอี้ออกมานั่งรออาหาร
ไม่นานจงจิ่งห้าวก็ยกชามใบใหญ่ที่มีเกี๊ยวอยู่เต็มถ้วยมาวางตรงหน้าเธอ ป้าหยูเป็นคนปรุงน้ำซุปซี่โครงเอง เขาแค่ใส่เกี๊ยวลงไปไม่ได้ปรุงอะไรเพิ่ม ในชามมีทั้งกระดูกซี่โครง ข้าวโพด เกี๊ยวและน้ำซุปอีกเต็มชามพูนๆ
จงจิ่งห้าวหยิบถ้วยใบเล็ก ตะเกียบและช้อนออกมาให้เธอ“ตักใส่ถ้วยใบเล็กแล้วค่อยกินดีกว่า มันร้อนมาก”
หลินซินเหยียนพยักหน้าพร้อมกับตักเกี๊ยวและกระดูกซี่โครงลงมาพักให้เย็นในถ้วยเล็กๆ ฝีมือการทำอาหารของป้าหยูนั้นไม่มีใครเทียบได้ หล่อนห่อเกี๊ยวโดยใส่ไส้เป็นเนื้อกุ้ง เมื่อตักเข้าปากมันจึงนุ่มลื่นคอมาก เดิมกระดูซี่โครงนี้กินได้ตั้งแต่เมื่อตอนเย็น แต่พออุ่นมาถึงตอนดึกเนื้อมันจึงเปื่อยหลุดออกมาอย่างง่ายดาย แถมกลิ่นเนื้อก็ยังหอมมากๆด้วย
จงจิ่งห้าวนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเธอแล้วเอามือพาดไว้ที่พนักเก้าอี้ด้านหลังพร้อมกับมองเธอกิน ไม่นานเธอก็กินไปได้ครึ่งหนึ่งของถ้วย“คุณก็กินเก่งนี่นา แต่ทำไมถึงไม่อ้วนเลย?”
หลินซินเหยียนไม่ได้เงยหน้าแต่เอ่ยถามขึ้น“คุณชอบให้ฉันอ้วนหรอ?”
จงจิ่งห้าวยื่นมือออกไปบีบแขนเธอ“ผอมอย่างกับฟางข้าว ผมอยากขุนคุณให้อ้วนขึ้นอีกนิด”
หลินซินเหยียนหัวเราะออกมา“ด้วยส่วนสูงเท่านี้ฉันกินให้หนักถึงสองร้อยโลเลยได้ไหม?”
จงจิ่งห้าว“……”
พอไม่ได้ยินเสียงจงจิ่งห้าว หลินซินเหยียนก็เงินหน้าขึ้น“เป็นไรไป ไม่ชอบแล้วหรอ?”
จงจิ่งห้าวเอามือจับคางไว้แล้วพูดน้ำเสียงจริงจัง“ถ้าคุณอยากจะอ้วนถึงสองร้อยโล ผมว่าผมต้องซื้อฮอร์โมนให้คุณกินแล้วล่ะ”
หลินซินเหยียน“……”
อันที่จริงที่เธออ้วนยากก็เพราะมันเกี่ยวข้องกับสรีระทางร่างกาย
จงจิ่งห้าวเลื่อนมือลงมาที่เอวของเธอ จากนั้นก็ใช้มือลูบผ่านผ้าที่อยู่บริเวณเอว“ไม่ว่าคุณจะเป็นยังไงผมก็ชอบ”
“ฉันไม่เชื่อ”หลินซินเหยียนตักซุปในถ้วยกินจนหมดแล้ววางช้อนกับตะเกียบลง
จงจิ่งห้าวโน้มตัวเข้ามา“ผมต้องทำไงคุณถึงจะเชื่อ หรือว่าให้ทำรอยประทับไว้ดีนะ?”
หลินซินเหยียนหลีกตัวหลบ เนื่องจากพึ่งกินซุปร้อนๆไปเหงื่อเลยออกเต็มตัว และพอจงจิ่งห้าวเข้ามาใกล้อีกเธอจึงรู้สึกว่าร้อนกว่าเดิม ซุปมันเยอะเกินไปเธอกินไม่หมด เธอเลื่อนซุปที่เหลืออยู่ในชามไปวางตรงหน้าหลินซินเหยียน“คุณกินสิ เหลืออีกนิดเดียว ฉันเสียดาย”
จงจิ่งห้าวไม่ชอบทานอาหารมันๆแบบนี้ในตอนดึก
หลินซินเหยียนพยายามพูดต่อ“คุณอยากพิสูจน์ไม่ใช่หรอ ถ้ากินซุปนี้ก็ถือว่าพิสูจน์ได้แล้ว ไม่ต้อมาประทับรอยอะไรให้ลำบากหรอก ฉันเชื่อในตัวคุณนะ”
จงจิ่งห้าว“…….”
เขากินไม่ลงจริงๆ“ขอพิสูจน์ด้วยวิธีอื่นได้ไหม?”