เมื่อเดินเข้าไปในร้าน พนักงานก็ออกมาต้อนรับทันที สำหรับของของแบรนด์นี้พนักงานแทบจะไม่ต้องแนะนำอะไรเลย เพราะทุกคนต่างก็รู้จักกันดีอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องพูดอธิบายให้มากความ
“สนใจดูสินค้าคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุดไหมคะ?”พนักงานต้อนรับยิ้มออกมาบางๆ เธอสวมชุดสูทสีดำทั้งตัว ซึ่งทุกคนในร้านล้วนแต่งตัวแบบนี้เหมือนกันหมด พวกเขาถูกฝึกกิริยาท่าทางและการพูดมาอย่างดี
เพราะงั้นพวกเขาจะไม่พูดชักชวนซื้อสินค้าแต่จะพูดเพื่อแนะนำและอธิบายเกี่ยวกับสินค้าแทน
หลินซินเหยียนรู้ดีว่าถ้าเป็นสินค้าคอลเลคชั่นใหม่ล่ะก็ราคามันต้องแพงมากอยู่แล้ว เพราะไม่ว่าสินค้าอะไรถ้ามันเป็นคอลเลคชั่นใหม่ล้วนราคาแพงหมด
“ไม่ต้องหรอก……”
“ลองดูก่อนสิ”หลินซินเหยียนยังไม่ทันพูดจบก็ถูกจงจิ่งห้าวพูดขัดขึ้นมาก่อน
พนักงานขายเดินนำพวกเขาไปที่ด้านในตู้กระจก จากนั้นก็เอื้อมไปหยิบสินค้าตัวใหม่ล่าสุดบนชั้นวางออกมาให้หลินซินเหยียนดู“สำหรับคุณภาพและสไตล์การออกแบบของสินค้าแบรนด์นี้ดิฉันคงไม่จำเป็นต้องพูดมาก คุณลูกค้าคงรู้อยู่แล้ว สินค้าตัวใหม่นี้เหมาะกับคุณลูกค้ามากๆเลยค่ะ ตัวแบบมีการเย็บสีตัดสลับกัน ซึ่งมีหลากหลายสีให้ลูกค้าเลือกเลยค่ะ แต่ดิฉันรู้สึกว่าสีดำตัดกับสีชมพูน่าจะเข้ากับคุณลูกค้า”
หลินซินเหยียนยื่นมือออกไปลูบ วัสดุหนังที่ทางแบรนด์ใช้ทั้งนุ่มและดีไซน์ก็ดูเรียบง่าย แถมยังมีพื้นที่กว้างน่าจะใส่ของได้เยอะเลย ส่วนตรงซิปก็มีพู่ห้อย ซึ่งเสริมให้กระเป๋าทรงเรียบๆแบบนี้ดูมีลูกเล่นเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย มันจึงดูไม่น่าเบื่อเกินไป
“ดิฉันเห็นคุณลูกค้ายังดูเด็กอยู่เลย ฉะนั้นสีชมพูน่าจะเหมาะกับคุณลูกค้ามาก”พนักงานขายรู้สึกว่าสีชมพูเหมาะกับหลินซินเหยียนมากจริงๆ
นี่ถ้าไม่เห็นว่าเธอท้องอยู่ ใครเห็นก็คงคิดว่าเธอเป็นนักศึกษามหาลัย
เพราะงั้นจึงรู้สึกว่าเธอเหมาะกับสีที่หวานแหววแบบนี้
หลินซินเหยียนไม่ได้ชอบสีที่พนักงานแนะนำ เธอชอบใบสีดำตัดสลับกับน้ำเงิน เพราะมันดูใส่คู่กับอะไรง่ายดี
“สินค้าตัวนี้เหมาะกับลูกค้าจริงๆนะคะ”พนักงานขายแนะนำให้ด้วนความจริงใจ เนื่องจากรู้สึกว่ามันเหมาะกับเธอ
หลินซินเหยียนโบกมือปัด“เดี๋ยวฉันขอดูอันอื่นก่อนดีกว่าค่ะ”
“แต่ดูคุณชอบมันมากนะคะ”พนักงานยิ้มพลางพูดขึ้น
หลินซินเหยียนอยากดูแบบอื่น ทว่าจงจิ่งห้าวกลับพูดกับพนักงานขึ้น“เอาสองอันนี้ด้วย”
หลินซินเหยียน“……”
เธอขมวดคิ้วพร้อมกับเงยหน้ามองจงจิ่งห้าวแล้วถามขึ้น“ซื้อไปทำไมตั้งเยอะแยะ?ฉันไม่ได้จะเอาไปเปิดร้านขายนะ”
“เอาไว้ให้คุณเปลี่ยนเวลาใช้ไง”จงจิ่งห้าวดูออกว่าเธอชอบใบสีดำตัดสลับกับน้ำเงินใบนั้น แต่ว่าพนักงานกลับแนะนำใบสีดำตัดสลับสีชมพู ซึ่งเขาก็รู้สึกว่าถ้าหลินซินเหยียนถือมันคงจะดูดีมาก เพราะมันดูขี้เล่นและดูถือแล้วอ่อนเยาว์ด้วย
พนักงานขายยิ้มพลางขานรับ“ถ้างั้นเดี๋ยวดิฉันไปจัดการใส่ถุงให้นะคะ”
พูดจบพนักงานขายก็หยิบกระเป๋าสองใบนั้นไปที่หน้าเคาน์เตอร์ หลินซินเหยียนคว้าเสื้อจงจิ่งห้าวไว้แล้วดึงมาทางตัวเอง“ถึงจะรวยก็ห้ามใช้เงินแบบนี้ และถึงแม้ฉันจะชอบ แต่ว่าเอาอันเดียวก็พอ……”
หลินซินเหยียนดึงจงจิ่งห้าวลงมาต่ำเกินไป และด้วยแรงของหลินซินเหยียนทำให้เขาต้องโน้มตัวลงมาต่ำลงกว่าเดิมจนหน้าของแทบจะลงไปติดกับหน้าอกของเธอแล้ว เขาพูดขึ้นเบาๆ“ผมอยากซื้อให้คุณ”
พนักงานสองคนที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์มองดูพวกเขา จากนั้นก็กระซิบคุยกันเบาๆ“นี่คือประธานจงจากว่านเยว่กรุ๊ปที่ออกช่องธุรกิจการเงินบ่อยๆใช่ไหม?”
“ก็ใช่น่ะสิ เขาคงไม่มีพี่น้องหรอก”ทั้งคู่ไม่ได้รู้สึกโกรธ แต่รู้สึกอิจฉามากกว่า“เฮ้อ ผู้หญิงคนนั้นโชคดีจัง แถมยังมีกิริยามารยาทดีมากๆด้วย”
เมื่อกี้ตอนที่ออกไปต้อนรับ เธอก็รีบก้มหน้าให้ทันที“จริง ผู้หญิงคนนี้ตาแหลมจริงๆ ทว่าเรื่องของเรื่องก็คือฝั่งผู้ชายรวยมาก แกดูสิ พระเจ้าช่างไม่ยุติธรรมเอาซะเลย ให้ความสามารถในการหาเงินกับเขาแล้วยังให้ใบหน้าที่หล่อเหลากับเขาอีก แต่กลับให้ผู้ชายบางคนหาเงินไม่เป็น แถมยังหน้าตาอัปลักษณ์ นี่สินะถึงเรียกว่าคนเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน”
เพื่อนร่วมงานพูดต่อ“จริง แกดูสิเขาเป็นถึงเจ้าคนนายคนตำแหน่งตั้งใหญ่โต แต่กลับไม่ทำตัววางมาดต่อผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเลย”
พนักงานทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่งและมองพวกเขาด้วยความอิจฉา“ชาติที่แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นคนกอบกู้กาแล็กซีไว้รึเปล่าเนี่ย ชาตินี้พระเจ้าก็เลยมอบผู้ชายที่เพอร์เฟคแบบนี้ให้กับเธอ”
ผู้ชายจะมีเสน่ห์มากที่สุดก็ตอนรักและเอ็นดูผู้หญิงของตัวเอง ผู้ชายที่ทั้งหล่อและรวย แถมยังยอมผู้หญิงของตัวเอง ใครจะรู้ว่าผู้ชายแบบนี้มีเสน่ห์มากแค่ไหน
ทางด้านหลินซินเหยียนไม่ได้สังเกตเห็นว่าพวกหล่อนกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ เพราะเธอกำลังดุจงจิ่งห้าว“ประหยัดอดออมน่ะ คุณรู้จักไหม?”
จงจิ่งห้าวถูกเธอดึงลงมาจ้องอยู่นานติดต่อกันหลายนาที เขาทำหน้าเหยเกออกมา
“คุณมองผมแบบนี้ไม่ปวดตาบ้างหรอ?”
หลินซินเหยียนกลอกตาใส่พลางปล่อยมือออก จงจิ่งห้าวยืนตัวตรง ปกเสื้อมีรอยยับนิดหน่อยเพราะเธอจับเมื่อกี้ เขาหัวเราะออกมาแล้วก้มลงไปกระซิบที่ข้างหูเธอเบาๆ มันเบามากจนมีแค่เธอเท่านั้นที่ได้ยิน“เดี๋ยวกลับบ้านไป ผมจะเปลือยให้คุณจ้องแล้วกัน”
หลินซินเหยียน“……”
เธอได้แต่ด่าเขาอยู่ในใจว่าน่าไม่อาย ใครมันจะอยากดู!
“จัดกระเป๋าใส่ถุงให้เรียบร้อยแล้วค่ะ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าต้องการอะไรเพิ่มอีกไหมคะ?”ทันใดนั้นเองพนักงานขายก็เดินเข้ามา หลินซินเหยียนรีบผลักจงจิ่งห้าวออกแล้วกระแอมเสียงขึ้น“ไม่มีแล้วค่ะ คิดเงินได้เลย”
“ได้ค่ะ งั้นตามดิฉันมาทางนี้เลย”พนักงานขายเดินนำไป แคชเชียร์พิมพ์ใบเสร็จออกมาเรียบร้อยแล้ว พนักงานขายจึงหยิบมาแล้วส่งให้หลินซินเหยียนดู
หลินซินเหยียนไม่ดู เธอบอกให้พนักงานขายยื่นให้จงจิ่งห้าวเลย เพราะเธอกลัวว่าเห็นแล้วจะอดเสียดายไม่ได้
จงจิ่งห้าวก็ไม่ดู เขาหยิบบัตรในกระเป๋าเงินออกมาหนึ่งใบแล้วยื่นให้“ไม่มีรหัส”
ไม่นานใบเสร็จชำระเงินก็ถูกพิมพ์ออกมา พนักงานขายรับมาแล้วยื่นให้เขา“ต้องมีลายเซ็นของเจ้าของบัตรด้วยค่ะ”
จงจิ่งห้าวหยิบปากกาหมึกสีดำออกมาแล้วขีดเขียนลายเซ็นลงไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็วางปากกาลงพร้อมกับหยิบบัตรใส่กลับลงไปในกระเป๋าเงิน
พนักงานขายยื่นถุงที่ใส่กระเป๋าไว้ให้หลินซินเหยียน ทว่าจงจิ่งห้าวที่เก็บบัตรเสร็จยื่นมืออกมารับถุงกระดาษไปถือแทน
มือหนึ่งถือถุงช้อปปิ้งอีกมือหนึ่งจับมือหลินซินเหยียนไว้
“พวกเรากลับบ้านกันเถอะ”เมื่อออกมาจากร้านหลินซินเหยียนก็พบว่าเธอออกมาข้างนอกนานมากแล้ว
จงจิ่งห้าวหันไปมองเธอ“อยากได้อะไรอีกไหม?”
หลินซินเหยียนส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มพูดขึ้น“ถ้ามี เดี๋ยวครั้งหน้าฉันจะบอกคุณนะ”
“ได้”จงจิ่งห้าวตอบ พวกเขาไม่เดินช้อปปิ้งต่อแล้ว จงจิ่งห้าวบอกให้คนขับรถขับรถกลับไปก่อน จากนั้นก็ให้หลินซินเหยียนมานั่งรถเขา
ระหว่างทางโทรศัพท์ของหลินซินเหยียนก็ดังขึ้น เธอหยิบออกมา หมายเลขที่โชว์เป็นชื่อไป๋ยิ่นหนิง
หลินซินเหยียนปัดหน้าจอทิ้ง แต่เนื่องจากหน้าจอแตกเครื่องมันเลยค้าง เธอจึงต้องปัดทิ้งตั้งหลายครั้งกว่ามันจะตัดสายไป
จงจิ่งห้าวมองมาแล้วพบว่าหน้าจอโทรศัพท์ของเธอแตก“ใครโทรมาน่ะ แล้วทำไมหน้าจอโทรศัพท์ถึงแตกขนาดนั้น”
“ฉันไม่ทันระวังทำตกน่ะ แล้วนี่ก็เป็นสายที่ไม่สำคัญด้วย”หลินซินเหยียนไม่อยากเกี่ยวข้องกับไป๋ยิ่นหนิงอีก ไม่ใช่เพราะปัญหาที่เกิดจากความเข้าใจผิดในวันนี้ แต่เป็นเพราะเธอรู้ว่าโจวฉุนฉุนเป็นผู้หญิงที่ดีมาก ไป๋ยิ่นหนิงควรจะดูแลหล่อนให้ดีไม่ควรจะติดต่อกับเธออีก
“เมื่อกี้ตอนอยู่ห้างทำไมไม่บอกล่ะ แล้วมันเสียจะใช้ต่อได้ยังไง?”จงจิ่งห้าวขมวดคิ้วขึ้น
หลินซินเหยียนพูดเสียงเบา“ฉันลืมสนิทเลย”
เธอพบว่าความจำของตัวเองนับวันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ
“แล้วยังใช้ต่อได้ไหม?”จงจิ่งห้าวถาม
“มันค้างอยู่บ่อยๆ”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมให้กวนจิ้งซื้อส่งไปให้ที่คฤหาสน์”ขณะที่พูดอยู่จงจิ่งห้าวก็นึกถึงเรื่องที่จวงจื่อจิ่นโทรมาหาเขา
จวงจื่อจิ่นโทรมาถามเรื่องของหลินซินเหยียน ช่วงก่อนหน้านี้หล่อนเข้ารับการผ่าตัดอยู่หลายครั้ง ฉะนั้นจึงไม่มีเวลาถามเรื่องหลินซินเหยียน แต่ตอนนี้ร่างกายฟื้นฟูดีขึ้นแล้วก็เลยติดต่อมาหาเขา
จงจิ่งห้าวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เล่าเรื่องจวงจื่อจิ่งให้หลินซินเหยียนฟัง
หลังจากที่จวงจื่อจิ่นเข้ารับการรักษา หล่อนได้ให้ความร่วมมือในการรักษาดีมาก ตอนนี้อาการจึงดีขึ้นเยอะเลย ในอนาคตหากไม่มีอาการกำเริบอีกก็คงจะอยู่ได้อีกนาน
“ตอนนี้หล่อนกลับไปรับโทษตามกฎหมายแล้ว แต่ขอแค่หล่อนประพฤติตัวดีเสิ่นเผยชวนก็จะช่วยเรื่องลดโทษให้หล่อนออกมาได้โดยเร็วที่สุด ถ้าเป็นไปได้อีกปีเดียวหล่อนก็น่าจะพ้นโทษออกมาแล้ว”
ตอนนั้นที่หล่อนออกมาได้นั่นก็เพราะอาการป่วย แต่ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้วจึงต้องกลับไป
หลินซินเหยียนรู้สึกโล่งใจ แค่จวงจื่อจิ่นยังมีชีวิตอยู่และสบายดีมันก็พอแล้ว
“หล่อนบอกว่าหล่อนจะช่วยฉันเลี้ยงลูก”
ตอนจงเหยียนเฉินกับจงเหยียนซียังเด็กหล่อนก็เป็นคนดูแลพวกเขา และครั้งก่อนหล่อนก็แสดงท่าทีว่าอยากจะช่วยเธอดูแลลูกๆด้วย
เธอยกมือขึ้นมาลูบท้อง“หล่อนเป็นแม่ฉัน”
คนที่เลี้ยงมาสำคัญกว่าคนที่ให้กำเนิดอยู่แล้ว
หลายปีมานี้ที่เธอใช้ชีวิตอยู่กับจวงจื่อจิ่น ทั้งสองผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน ต่างไม่เคยทอดทิ้งกันและต่างคนก็รู้สึกผูกพันกันมาก
จงจิ่งห้าวตอบอืมออกมาเบาๆ เขารู้ดีว่าในใจเธอคิดอะไรอยู่
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เงียบลง ราวกับว่าเรื่องของจวงจื่อจิ่นทำให้บรรยากาศมันอึมครึม เมื่อรถแล่นเข้ามาถึงคฤหาสน์ ด้านหน้าประตูนอกจากจะมีรถของที่บ้านจอดไว้ ยังมีรถเชิงพาณิชย์สีดำจอดอยู่อีกสองคัน
ซึ่งหลินซินเหยียนกับจงจิ่งห้าวรู้จักรถสองคันนี้ดี