บทที่ 557 คิดถึงรสชาตินั้นมาก
“คุณไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองแบบนี้ อีกอย่างฉันก็ไม่ซาบซึ้งกับคุณหรอก”
ฉินยายังคงท่าทางเย็นชา ตั้งแต่ต้นถึงจบไม่เคยให้สีหน้าที่อบอุ่นต่อซูจ้านแม้แต่น้อย
ซูจ้านเม้มปากมองเธออยู่นานมาก ถึงเปิดปาก “ผมไม่ต้องการให้คุณซาบซึ้ง ผมแค่อยากทำ ในสิ่งที่ผมอยากทำ”
ฉินยาหลบสายตาเขา ไม่พูดอะไรอีก
ซูจ้านก็เงียบลง
ในถ้ำไม่มีแสงแล้ว แต่ท้องฟ้าด้านนอกไม่ได้มืดจนมองไม่เห็นคน เพียงแค่ถึงช่วยหัวค่ำ พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว
เสิ่นเผยซวนและจงจิ่งห้าวหาร่องรอยของพวกเขาไม่เจอ
“ภูเขานี้สูงต้นไม้แน่นหนา ลำพังแค่เราสองคนฉันว่าหาเจอยาก ไม่รู้ว่าจะเจออันตรายไหม ฉันตะโกนอยู่ครึ่งวันก็ไม่มีคนตอบ” เสิ่นเผยซวนพูดอย่างกังวล
ภูเขานี้สูงขนาดนี้ในป่าไม่รู้ว่าจะมีสัตว์ดุร้ายอะไรพวกนี้ไหม ขอแค่ซูจ้านไม่ได้ไปไกล ก็ต้องได้ยินเสียงของเขาถึงจะถูก
แต่ว่าไม่มีร่องรอยอะไรเลย เพราะฉะนั้นก็รู้สึกกังวลใจ
จงจิ่งห้าวเหมือนอ่านใจเสิ่นเผยซวนออก พูดว่า “ที่นี่ไม่เคยได้ยินว่ามีสัตว์ป่า นายเรียกคนมาเถอะ”
รอจนฟ้ามืดก็ยิ่งหายาก
เสิ่นเผนซวนและจงจิ่งห้าวออกจากป่า อยู่ในป่าไม้มือถือไม่มีสัญญาณ เขาโทรหาซูจ้านก็โทรไม่ติด
ออกจากป่าไม้แล้วลองโทรอีกสองรอบ ยังคงโทรไม่ติด เขาจึงต้องเรียกคนมาค้นหา หวังว่าจะหาซูจ้านและฉินยาเจอก่อนพระอาทิตย์ตกดิน
เขามองไปที่จงจิ่งห้าว “หรือไม่นายกลับไปก่อน ที่นี่ฉันคอยดูไว้?”
จงจิ่งห้าวมองเวลาแล้วพูดว่า “รออีกสักพัก”
ฉินยาหาไม่เจอ ตอนนี้ซูจ้านก็ไม่เห็นร่องรอยแล้ว กลับไปเขาจะพูดยังไงกับหลินซินเหยียน?
เสิ่นเผยซวนไม่ได้ฝืน หาที่สามารถนั่งเพื่อรอคนมา
เพราะว่าทางขึ้นเขาค่อนข้างคดเคี้ยวมาก เพราะฉะนั้นคนที่มาก็ค่อนข้างนาน มาถึงที่ก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว ทั้งหมดสิบกว่าคน แต่ละคนร่างกายกำยำสูงใหญ่ในชุดลายพรางบวกกับท่าทางที่กล้าหาญ อุปกรณ์ครบถ้วน เสิ่นเผยซวนบอกแล้วว่าต้องขึ้นเขา พวกเขาก็เตรียมไฟฉายมาด้วย
เสิ่นเผยซวนตามพวกเขาขึ้นเขาด้วย ตอนนี้ฟ้ามืดลงแล้ว พวกเขาขึ้นไปบนเขา รบกวนนกป่าที่กำลังพักผ่อนในเวลากลางคืน เกิดความวุ่นวายโกลาหล
สิบกว่าคนแบ่งออกเป็นหกกลุ่ม กลุ่มละสองคน หัวหน้าทีมกับเสิ่นเผยซวนอยู่ด้วยกัน หาคนไปด้วยหัวหน้าทีมก็พูดกับเสิ่นเผยซวนด้วย “กลางคืนหายากมาก การมองเห็นค่อนข้างแย่ แล้วก็ยังมีกับดักอีก คุณบอกว่าคนถึงตรงนี้ก็ไม่เห็นแล้ว ผมคิดว่าคงตกลงไปในกับดักแล้ว”
เสิ่นเผยซวนปัดกิ่งไม้ที่ขวางทาง หันหน้าไปมองหัวหน้าทีม “ในป่ายังมีกับดัก?”
หัวหน้าทีมพูดว่า “มีคนทำกับดักในป่าเพื่อจับสัตว์ป่า”
เสิ่นเผยซวนขมวดคิ้ว มองไปที่เท้า กลัวตัวเองไปเหยียบกับดักที่เอาไว้จับดักจับสัตว์ป่า
หัวหน้าทีมพูดล้อเล่น “ยังมีสิ่งที่รองผู้บัชชาการเสิ่นกลัวด้วย? ตำแหน่งยิ่งอยู่ยิ่งสูง แค่ความใจกล้ากลับยิ่งอยู่ยิ่งเล็กแล้ว”
เสิ่นเผยซวนหัวเราะพูดว่า “ทำอะไรต้องระมัดระวังถึงจะปลอดภัยหายห่วง ผมแค่ไม่กล้าชะล่าใจแม้แต่วินาที ตำแหน่งใหญ่ ความรับผิดชอบก็ใหญ่ขึ้น”
“ผู้บัญชาการซ่งให้ความสำคัญกับคุณ ดูแล้วหลังจากผู้บัญชาการซ่งเกษียณแล้ว ก็จะผลัดดันคุณขึ้นไป ได้ยินว่าผู้บัญชาการซ่งคิดอยากจะให้คุณเป็นลูกเขย?” หัวหน้าทีมยิ้มถาม
เสิ่นเผยซวนสีหน้าเย็นชาลง “อย่าพูดไปเรื่อย”
สำหรับผู้บัญชาการซ่งแล้วเขาเคารพนับถือ อย่างอื่นเขาไม่เคยคิดมาก่อน และไม่ต้องการให้คนอื่นไปพูดเรื่องไม่มีต้นมีปลายแบบนี้
เขาเป็นผู้ชายไม่เป็นไร กระทบถึงลูกสาวของผู้บัญชาการซ่งจะไม่ค่อยดี
“อีกหน่อยเรื่องแบบนี้อย่าพูดอีก” เสิ่นเผยซวนพูดอย่างเคร่งขรึม
หัวหน้าทีมก็รู้จักดูสีหน้า รีบพูดว่า “ผมพูดไปเรื่อยเอง เรื่องพูดไปเรื่อย จะไปพูดอีกครั้งได้ยังไง”
เสิ่นเผยซวนไม่ได้โต้ตอบอีก มองไปรอบด้าน เขาเริ่มรู้สึกกังวลแล้ว จนถึงตอนนี้แล้วยังไร้เบาะแส ไม่รู้ว่าวันนี้จะหาเจอไหม
การค้นหาผ่านไปสามชั่วโมงแล้ว ไม่มีคนหาแล้ว เสิ่นเผยซวนถอนตัวออกมารวมตัวกับจงจิ่งห้าว และบอกว่าถึงสถานการณ์บนเขา
“การค้นหาตอนกลางคืนยากมาก จุดที่สามารถมองเห็นแสงสว่างได้น้อยเกินไป อีกอย่างยังต้องระวังตัวเองลื่นลงเขา ฉันว่านายกลับไปก่อนเถอะ มีเบาะแสแล้วฉันจะรีบติดต่อนาย พี่สี่ถูกนำตัวไปแล้ว คาดว่าพรุ่งนี้ก็ได้เห็นข่าว พรุ่งนี้กู้เป่ยต้องหานายเองแน่นอน นายยังต้องรับมือเขา ที่นี่มอบให้เป็นหน้าที่ฉัน พวกเราจะอยู่ที่นี่กันหมดไม่ได้”
ตอนแรกที่แจ้งความเรียกนักข่าว เป้าหมายก็เพื่อจะทำให้เรื่องใหญ่โต มีข่าวแบบนี้ในวัด เกรงว่าจะเกิดความฮือฮาขึ้นไม่น้อย
ความสนใจมากขึ้น ก็เพื่อต้องการคำอธิบายจากตำรวจ ตอนนี้เขามีอำนาจ ถึงเวลาก็จะตรวจสอบกู้เป่ยอย่างเปิดเผยได้
ตรวจสอบเขาอย่างละเอียด ดูว่าเขาจะกำเริบเสิบสานอีกไหม
จงจิ่งห้าวครุ่นคิดไปชั่วครู่ พยักหน้า “นายระวังตัวหน่อย”
เสิ่นเผยซวนพยักหน้า
จงจิ่งห้าวขับรถกลับไป
เมื่อเขาขับรถถึงคฤหาสน์ก็สี่ทุ่มแล้ว เขาผลักประตูออกเห็นว่าหลินซินเหยียนยืนรอเขาอยู่หน้าระเบียง
หลินซินเหยียนไม่ได้นอน รอเขาอยู่ตลอด เห็นแสงไฟรถเธอก็เดินออกมา มองไปข้างหลังเขา “แค่คุณคนเดียวเหรอ?”
จงจิ่งห้าวเดินเข้าไปกำลังจะยื่นมือไปกอดเธอ คิดถึงตัวเองเข้าไปในป่า บนตัวไม่สะอาดก็เลยดึงมือกลับ “เข้าไปคุย”
หลินซินเหยียนาก้มหน้าอย่างผิดหวัง ต้องช่วยฉินยาไม่ได้แน่นอน ไม่อย่างนั้นฉินยาไม่มีที่พัก ต้องมาที่นี่แน่นอน ตอนนี้มีเขาเพียงคนเดียว ไม่มีเงาของฉินยาเลย
“เธอหนีออกจากกำมือของกู้เป่ยแล้ว พวกเรากำลังหาเธออยู่ ยังหาไม่เจอ น่าจะซ่อนตัวไว้สักแห่ง ขอแค่ไม่ได้อยู่ในมือกู้เป่ย ก็จะไม่มีอันตราย คุณก็ไม่ต้องเป็นแล้ว” รายละเอียดเขาไม่ได้พูด กลัวว่าหลินซินเหยียนจะเป็นห่วง
“จริงเหรอ?”
เธอหันหน้าใช้สายตาพิเคราะห์มองเขา เหมือนเพื่อแน่ใจว่าเขาไม่ได้โกหก
จงจิ่งห้าวสบตาหลินซินเหยียนอย่างมั่นใจ เรื่องแค่นี้เขายังยืนหยัดได้ “แน่นอน เรื่องนี้จะโกหกกันได้เหรอ? ผมกลับมาดึกขนาดนี้เพราะกำลังหาเธอ เธอคงจะกลัวคนของกู้เป่ย ไม่กล้าออกมา ยิ่งเป็นแบบนี้เธอก็ยิ่งปลอดภัย”
หลินซินเหยียนพยักหน้า แต่ว่ายังไม่เห็นคนก็ยังไม่วางใจอยู่ดี
เธอจับมือของจงจิ่งห้าว “ฉินยาถูกกู้เป่ยจับตัว สาเหตุส่วนใหญ่เป็นเพราะฉัน ตั้งแต่แรกเขาก็เจาะจงมาที่ฉัน น่าจะเป็นเพราะฉันไปไป๋เฉิง พวกเขาถึงจับตัวฉินยา”
เธออยู่ที่บ้านคิดแต่เรื่องนี้ตลอด รูปถ่ายพวกนั้นปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอไม่นาน ฉินยาก็ถูกจับตัวแล้ว นี่เห็นได้ชัดว่าทำจากคนเดียวกัน
อีกอย่างเป้าหมายแต่แรกก็ชัดเจนแล้วว่าคือเธอ
เพราะเธอทำให้ฉินยาเดือดร้อนไปด้วย ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฉินยา เธอจะรู้สึกผิดและเสียใจมาก
จงจิ่งห้าวเข้าใจความรู้สึกของเธอ ตอนนี้เขาก็ให้คำสัญญาอะไรกับเธอไม่ได้ ปลอบใจเธอพูดอะไรที่ไร้ขอบเขต หากถึงเวลาเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นมา เธอจะยิ่งเสียใจกว่าเดิม ดังนั้นจึงตั้งใจเปลี่ยนเรื่อง “ผมยังไม่ได้กินข้าว”
หลินซินเหยียนมองเขา “คงไม่ใช่ไม่ได้กินอะไรเลยทั้งวันนะ?”
เขาอืมไปคำหนึ่ง
“ฉันไปทำให้คุณ คุณอยากกินอะไร?” หลินซินเหยียนถาม
“บะหมี่” พูดจบเขาก็เสริมอีกคำหนึ่ง “บะหมี่มะเขือเทศใส่ไข่”
อาหารที่หลินซินเหยียนทำให้เขากินครั้งแรกก็คือบะหมี่มะเขือเทศใส่ไข่
รู้สึกคิดถึงรสชาตินี้ขึ้นมากะทันหัน
หลินซินเหยียนมองเขา พูดว่า “ฉันไปทำให้คุณ”
เขาอืมเบาๆไปคำหนึ่ง
“อันนั้น…….”