ตอน 4 ทุ่มกว่าจงจิ่งห้าวก็ออกมาจากร้านกาแฟ ตอนนี้ใกล้ได้เวลาร้านกาแฟปิดแล้ว เขาจะอยู่ต่อก็คงไม่ดีเท่าไหร่นัก
เกรงว่าเสิ่นเผยซวนกับซูจ้านจะยังไม่เคยเจอจงจิ่งห้าวที่‘น่าสงสาร’แบบนี้ เพราะว่าอย่าจะเจอหลินซินเหยียนแล้ว ยอมปลอมตัวเป็นขอทาน ไม่มีแม้แต่ที่อยู่อาศัย
พอเขากลับมาที่หน้าประตูคอนโด รอข้อความจากลูกชาย ก็ได้เจอกับช่าวหยุนที่เพิ่งจะเดินออกมา
ช่าวหยุนกลับหลินซินเหยียนคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนิทรรศการ ก็เลยออกมาดึกนิดหน่อย เขาเดินเข้ามาโดยที่ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็ยื่นคีย์การ์ดเข้าคอนโดให้กับเขา “ถ้าไม่มีอันนี้คุณก็เข้าไปไม่ได้”
จงจิ่งห้าวยื่นมือไปรับอย่างไม่เกรงใจ “ขอบคุณครับ”
ช่าวหยุนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อยากจะไปอาบน้ำที่บ้านผมก่อนไหม?”
“ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมก็ต้องกลับไปแล้ว”กวนจิ้งโทรมาหาเขาบอกว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเสิ่นเผยซวน ตอนนั้นเขายังไม่ได้ยินชัดเจนเท่าไหร่วะเกิดเรื่องอะไรกันแน่ ก็ได้ยินเสียงของจงเหยียนซี แล้วก็เลยตัดสายเขาไป กวนจิ้งคงจะนึกว่าเขาได้ยินแล้วก็เลยไม่ได้โทรกลับมา
ถ้าเกิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆ กวนจิ้งก็คงจะไม่บอกเขาหรอก ดังนั้นเขาก็เลยรอให้ได้เจอกับหลินซินเหยียนก่อนแล้วค่อยกลับไป
ช่าวหยุนยิ้ม แล้วก็หยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋าพร้อมยื่นให้เขา “ถ้าเกิดว่ามีเรื่องอะไรให้ผมช่วยก็มาหาผมได้เลยนะครับ ผมค่อนข้างที่จะคุ้นเคยกับเมืองC”
“คุณเกี่ยวข้องอะไรกับจวงจื่อยี่? ” ตอนที่จงจิ่งห้าวรับนามบัตรเขามาก็เอ่ยถาม
ช่าวหยุนอึ้งไปในทันที นานแล้วที่ไม่มีใครพูดถึงจวงจื่อยี่ต่อหน้าเขา เขาเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาไปแล้วสีหน้าของเขาก็จริงจังขึ้นมาทันที “ตอนวัยรุ่นผมค่อนข้างที่จะอารมณ์ร้อน ชอบหาเรื่องไปทั่ว เกือบโดนตัดมือ เขาเป็นคนช่วยผมไว้ หลังจากนั้นผมก็ตามติดเขาตลอด แล้วหลังจากนั้น……ผมก็ปกป้องJKแทนเขา”
พอพูดจบเขาก็มองจงจิ่งห้าว “คุณคือคนที่เหวินเสียนจัดหาไว้ให้เหยียนเหยียนสินะ”
เขาใช้ประโยคบอกเล่า ไม่ใช่ประโยคคำถาม
ตอนนั้นเหวินเสียนไม่ให้เขาไปหาหลินซินเหยียน บอกว่าเธอได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้ให้หลินซินเหยียนเรียบร้อยหมดแล้ว ถึงแม้ว่าเหวินเสียนจะไม่ได้พูดตรงๆ แต่ว่าลูกทั้งสองคนของหลินซินเหยียนก็นามสกุลจง เขาก็รู้อยู่แล้วว่า เรื่องราวมันน่าจะเป็นยังไง
ตอนนั้นตระกูลของสามีของเหวินเสียนก็นามสกุลนี้เหมือนกัน
ในฐานะคนที่เคยมีประสบการณ์มา มันก็เดาไม่ค่อยยากเท่าไหร่หรอก
“โชคชะตาได้กำหนดมาแล้ว” ไม่ใช่ใครจัดเตรียม และก็ไม่ได้มีใครส่งหลินซินเหยียนมาหาเขาเพื่อเป็นการชดใช้
สำหรับเขาแล้วมันเป็นการบาดเจ็บชนิดหนึ่ง หลินซินเหยียนถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ การที่ถูกแม่แท้ๆ ของตัวเองใช้มาเป็นเบี้ยในการชดใช้ สำหรับเขาแล้วมันเป็นการดูถูก และดูถูกความรู้สึกของเขา
ในความรู้สึกของเขา ระหว่างเขากับหลินซินเหยียนนั้น มันเป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์ ที่ไม่ได้ถูกปะปนด้วยใครหรือเรื่องอะไรทั้งนั้น เขาชอบเธอ เรื่องมันก็แค่นี้
ช่าวหยุนเม้มปาก แล้วก็ยิ้มกว้าง เหมือนกับว่ารู้สึกได้ว่าตัวเองพูดในสิ่งที่ไม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่นะ คงไม่มีใครชอบให้ใครมาจัดแจงชีวิตตัวเองหรอก “ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะ”
จงจิ่งห้าวแค่ตอบรับเบาๆ
หลังจากที่ช่าวหยุนไปแล้วเขาก็หาที่นั่ง จนเวลาเกือบตีหนึ่งเขาก็ได้รับสายจงเหยียนเฉิน ดัง 2 ครั้งแล้วก็วางไป
นี่คือข้อตกลงระหว่างเขากับลูกชาย ว่าหลังจากที่หลินซินเหยียนหลับไปแล้วให้ลูกชายโทรมาหาเขา เขามองดูเวลาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากัน ตีหนึ่งแล้วเพิ่งจะนอนเหรอ?
แต่ว่าตอนนี้เขาก็ไม่ไปมัวแต่คิดถึงเรื่องนี้ เขาใช้คีย์การ์ดที่ช่าวหยุนเอาให้ เข้าไปในคอนโด แล้วก็หาห้องที่หลินซินเหยียนพักอยู่ ประตูไม่ได้ล็อก มันถูกแง้มอยู่นิดนึงแล้วเขาก็ผลักเข้าไป จงเหยียนเฉินสวมใส่ชุดนอน ใส่รองเท้าแตะยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้า ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ แต่ว่าผ้าม่านตรงระเบียงก็ไม่ได้ปิด ด้านนอกมีแสงส่องเข้ามา เพียงพอที่จะเห็นเครื่องเฟอร์นิเจอร์ในห้องคร่าวๆ
จงเหยียนเฉินยื่นรองเท้าแตะคู่หนึ่งให้เขาพร้อมกับเน้นย้ำว่า “เบาๆ หน่อยนะ”
“ปกติเธอนอนดึกขนาดนี้เลยเหรอ?”ตอนที่เขาใส่รองเท้าก็เอ่ยปากถาม
จงเหยียนเฉินพยักหน้า พร้อมกับพูดเสียงเบา “ก็ประมาณนี้แหละครับ นอนดึกแบบนี้แหละ บางทีก็เพราะว่างาน บางที……ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแม่ถึงนอนไม่หลับ ปกติแล้วก็จะนอนหลังเที่ยงคืนตลอด”
พอพูดจบเขาก็เดินไปยังห้องของหลินซินเหยียน แล้วก็พูดเบาๆ “หม่ามี๊นอนอยู่ในห้องนี้ครับ”
จงจิ่งห้าวยืนอยู่หน้าประตูแล้วก็ลูบหัวของลูกชาย “ขอบคุณนะ”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ผมจะไปนอนแล้วนะ” เขาหาวนอน ง่วงจะตายอยู่แล้ว เขาไม่ได้นอนหลับเพราะว่าพยายามทำเพื่อสามีภรรยาคู่นี้ให้ถึงที่สุด
เขาอยู่ห้องทแยงกับห้องของหลินซินเหยียน เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว เขาเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู
ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นถนนที่คึกคัก หรือว่าคอนโดที่มีคนพักเต็มไปหมด ก็ต่างเงียบเชียบ เสียงดังวุ่นวายในตอนเช้าได้ถูกลบออกไปแล้ว เหลือเพียงความเงียบเท่านั้น
จงจิ่งห้าวยื่นมือออกไปเปิดประตูเบาๆ ด้านในไม่ได้เปิดไฟ ผ้าม่านเป็นสีขาวบางๆ แอร์ก็ไม่เปิดเช่นกัน เปิดแค่หน้าต่างเท่านั้น มีลมเบาๆพัดผ่านผ้าม่านเป็นบางครั้ง เขาค่อยๆ เดินเข้าไปช้าๆ
ห้องไม่ค่อยใหญ่เท่าไหร่นัก ตรงกลางมีเตียงตั้งอยู่ ภายใต้ความมืดนั้น มีร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งนอนขดอยู่บนเตียง ร่างกายของเธอสวมใส่แค่ชุดนอนสายเดี่ยวเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรปกปิด ผิวหนังที่ขาวผ่องของเธอสว่างออกมาจากที่มืด
เขาเดินไปนั่งลงข้างเตียง การกระทำของเขานั้นเบามาก ผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงนั้นไม่ทันรู้ตัวเลย เธอเอียงศีรษะและใบหน้าครึ่งหนึ่งฝังอยู่กับหมอน ผมยาวยุ่งเหยิงปกคลุมมาครึ่งหนึ่งของใบหน้าอีกฝั่ง เขายื่นมือออกไปปัดผมที่ปกคลุมใบหน้าของเธอออก พอแก้มอีกครึ่งนึงของเธอโผล่ออกมา เผยให้เห็นโครงหน้าที่ชัดเจน และเล็กกะทัดรัดของเธอ
ไม่เจอกัน 2 เดือนแล้ว เธอไม่อ้วนขึ้นเลย แถมพอสัมผัสแล้วยังรู้สึกว่าจะผอมลงไปอีกด้วย เขารู้สึกปวดใจมาก
ในใจเขาคิดว่า คงจะดีถ้าคนเราสามารถหยุดเวลาได้ เขาจะนั่งมองเธอเงียบๆ อยู่แบบนี้ตลอดชีวิต
เขาโน้มตัวลงไปจูบที่หน้าผากของเธอ สัมผัสถึงลมหายใจของเธอที่แพร่กระจายออกมา มันทำให้เขารู้สึกอาลัยอาวรณ์ ทำให้เขาหลงใหล ริมฝีปากยังคงไล่ไปตามผิวที่เปลือยเปล่าของเธอ
ผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงนั้นขมวดคิ้วเข้าหากัน ท่าทางเธอดูเจ็บปวด เธอฝันร้าย ในฝันนั้นเธอถูกโยนเข้าไปในโลกที่รกร้างว่างเปล่า รอบข้างไม่มีอะไรเลยเพียงแค่ความมืดที่ไม่มีที่สิ้นสุดเท่านั้น และแล้วก็มีเสียงคำรามเหมือนเสียงคำรามของสัตว์ประหลาดค่อยๆ คืบคลานเข้าใกล้เธอเข้ามาเรื่อยๆ สุดท้ายก็ผลักเธอล้มลงกับพื้น เธอเห็นปากขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเลือดอ้าออก มันพุ่งเข้ามาหาเธอ เธอกลัวจนถึงขีดสุด อยากจะตะโกนอยากจะกรีดร้อง แต่ว่าคอของเธอก็เหมือนกับว่าถูกควบคุมไว้ ทำให้เธอไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้เลย ร่างกายก็ไม่สามารถขยับได้ เธอพยายามใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีแต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้เลย
จงจิ่งห้าวเหมือนจะสัมผัสได้ถึงร่างกายที่ตึงของเธอ หน้าผากมีหยาดเหงื่อซึมออกมามากมาย สีหน้าก็ดูเจ็บปวดเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังฝันร้าย เขาไม่ทันสนใจกลัวว่าเธอจะเห็นตัวเอง แค่อยากปลุกเธอขึ้นมาจากฝันร้ายเท่านั้น เขาตบแก้มของเธอเบาๆ “ตื่น……”
การกระทำที่เล็กน้อยทำให้เธอตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย เธอลืมตาขึ้นมาในทันที แล้วก็เห็นร่างที่อยู่ตรงหน้าเธออย่างคลุมเครือ ร่างนั้นมันช่างคุณเคย เธอถามด้วยเสียงที่แหบแห้ง “คือนายเหรอ ?”
เขากอดร่างที่บอบบางของเธอ ลูบแขนพร้อมกับปลอบโยนเธอเบาๆ “ใช่ ฉันเอง เธอฝันร้ายเหรอ?”
แค่คำตอบสั้นๆ ก็เผยให้เห็นความคิดถึงที่เขาซ่อนเอาไว้ในหัวใจ เธอเหมือนกับถูกยาพิษ เธอเอาจมูกมุดเข้าไปหาเขา บนร่างกายของเขามีกลิ่นเหงื่อเล็กน้อย ไม่หนา เหมือนกับว่าเขาเหน็ดเหนื่อยจากการรีบเดินทางมาหาเธอก็เลยไม่ทันจัดการตัวเองให้เรียบร้อย มันดูเซ็กซี่เป็นพิเศษ เธอจูบไปที่กระดูกไหปลาร้าของเขา สนุกกับเขา ครอบครองเวลาทุกวินาทีที่ไม่หยุดนิ่ง
ตอนนี้สติของเธอสับสนไปหมด ทำให้เธอไม่สามารถแยกได้ว่าอันไหนคือความจริง หรือฝันร้ายของความว่างเปล่า
เธอแค่อยากกอดเขาเท่านั้น ถ้าเป็นแบบนี้กลางคืนที่มืดมนก็จะไม่น่ากลัวอีกต่อไปแล้ว
เธอกอดเขานานมาก จนรู้สึกมึน เปลือกตาของเธอเริ่มสั่น ทันใดนั้นเขาก็พลิกตัวแล้วก็ดึงเธอมากอดไว้ในอ้อมแขน ริมฝีปากอันอบอุ่นประทับไปที่ริมฝีปากของเธอ เขาจูบเธออย่างลึกซึ้ง ลึกซึ้งจนแทบจะหายใจไม่ออก แต่ว่ากลับรู้สึกมีความสุขกับมัน