โทรศัพท์ไม่ได้ถูกวางสาย แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยคำใดออกมา
เหมือนกับว่าเป็นเพราะระยะทาง ทำให้ทั้งคู่ไม่สามารถพูดความในใจของตัวเองออกมาได้
เป็นหลินซินเหยียนที่ทนไม่ได้อีกต่อไป จึงฝืนใจตัดสายไป เธอกำโทรศัพท์แน่น มือหนึ่งกดลงไปที่อก พยายามอย่างสุดความสามารถแต่ก็ไม่อาจกลั้นอาการร้องไห้สะอึกสะอื้นของตัวเองเอาไว้ได้ แต่กลับร้องไห้หนักขึ้นเรื่อยๆ
เหมือนกับว่าเด็กทั้งสองคนที่กำลังหลับอยู่บนรถนั้น ถูกเสียงร้องไห้ของแม่ปลุกให้ตื่น ทำให้ลืมตามองอย่างสะลึมสะลือ ก็เห็นว่าหลินซินเหยียนกำลังร้องไห้อยู่ หลินลุ่ยซีขยี้ตา ก่อนจะเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้เธอ ” หม่ามี๊ ร้องไห้เหรอคะ ”
เมื่อเห็นว่าลูกสาวตื่นมาแล้ว เธอก็เอามือปาดน้ำตาแล้วก็เช็ดริมฝีปากที่แห้งผากนั้น ” ตาของหม่ามี๊แค่มีทรายเข้าน่ะจ้ะ ไม่ได้ร้องไห้หรอก ”
เด็กน้อยกะพริบตาปริบๆ ในรถมีทรายที่ไหนกัน แม้แต่ลมก็ไม่มี ถึงจะมีทรายแล้วมันจะกระเด็นเข้าตาได้ยังไง
” เสี่ยวลุ่ยเช็ดๆ ให้หม่ามี๊ก็หายแล้วเนอะ ” ว่าแล้วเด็กน้อยก็ยื่นมือเล็กๆ ที่มีเนื้อนุ่มนิ่มนั้นขึ้นมา แล้วลูบลงบนดวงตาของเธอเบาๆ
แต่หลินซีเฉินกลับทำตัวเหมือนผู้ใหญ่เช่นเดิม เด็กน้อยพอจะรู้แล้วว่าทำไมหม่ามี๊ถึงร้องไห้ แต่ก็ไม่ได้เข้ามาปลอบ เด็กชายยังคงนั่งนิ่งหันมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วถอนหายใจเบาๆ
พอถึงช่วงกลางคืน รถก็ขับมาถึงเมืองC หลินซินเหยียนจ่ายเงินหลังลงจากรถ แล้วพาลูกทั้งสองไปพักในโรงแรม ถึงจะดึกมากแล้ว แต่โรงแรมก็ยังมีอาหารสำหรับเซอร์วิดผู้เข้าพักอยู่ หลินซินเหยียนโทรบอกเคาน์เตอร์ ว่าต้องการอาหาร ตอนนี้เธอไม่ได้รู้สึกหิวเท่าไหร่ แต่เพราะในท้องยังมีอีกชีวิตหนึ่งเธอเลยต้องจำใจกินเข้าไป อีกอย่างลูกทั้งสองของเธอ ตอนนี้ดึกมากแล้วก็คงหิวเป็นธรรมดา
เป็นเพราะว่าไม่ได้เอาอะไรมาเลย แล้วก็ยังเป็นกลางดึกอีก เมื่อกินอาหารเสร็จแล้วอาบน้ำอาบท่าให้ลูกเสร็จก็พาเด็กๆ เข้านอนทันที
ลูกทั้งสองนั่งรถมาคงจะเหนื่อยมาก เมื่ออาบน้ำเสร็จก็รู้สึกสบายตัว ไม่นานทั้งคู่ก็หลับไปในอ้อมกอดของเธอ แต่ตัวเธอกลับรู้สึกนอนไม่หลับเลยสักนิด
เมื่อมองทะลุผ้าม่านบางบางที่ปิดไว้นั้นก็ทำให้มองเห็นความสวยงามของค่ำคืนในเมืองแห่งนี้ ทั้งดวงไฟที่สว่างไสว ทำให้เห็นถึงทิวทัศน์ของความเจริญในเมืองแห่งนี้
เมื่อมาถึงเมืองแห่งนี้ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก และยังรู้สึกเป็นห่วงใครคนนั้น ในใจเต็มไปด้วยอารมณ์ร้อยแปดพันเก้าที่ไม่สามารถทำให้สงบลงได้ เรียกได้ว่าเป็นค่ำคืนที่ทำให้นอนไม่หลับเลยทีเดียว
อีกฝั่งก็เช่นกัน ภายในคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่อีกเมืองหนึ่ง ใครบางคนกำลังอยู่ในห้องนอนชั้นบนที่ไร้ซึ่งดวงไฟ แสงในห้องนั้นช่างริบหรี่และเลือนราง แต่ก็สว่างพอที่จะทำให้เห็นเงาของใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ ราวกับว่าบนโลกใบนี้เหลือเพียงเขาแค่คนเดียวเท่านั้น ในความเงียบเหงานั้นสะท้อนความโดดเดี่ยวของเขาออกมา
ทันใดนั้นก็มีแสงวาบออกมา ซึ่งมาจากหน้าจอโทรศัพท์ที่ถูกเขากดเปิด เขาก้มลงไปอ่านข้อความที่หลินซินเหยียนเป็นคนส่งมา สายตายังคงเพ่งตรงไปที่ ‘ เพิ่งจะจากมาแท้ๆ ก็คิดถึงคุณจนแทบจะเป็นบ้า จิ่งห้าว ฉันรักคุณ รักมาก ‘
ขนตาที่ยาวหนานั้นบังแสงเอาไว้ ทำให้เห็นเป็นเส้นเงาสลัวตามรูป เป็นเส้นละเอียดตัดกัน จะเห็นได้ว่าเงาที่สะท้อนลงมานั้น เหมือนจะเห็นเป็นหยดน้ำเล็กๆ ไหลออกมาจากดวงตา
ชายหนุ่มก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้เช่นกัน ทำได้แต่สะอื้นออกมา ” ผมก็คิดถึงคุณเหมือนกัน คิดถึงจนแทบจะบ้าแล้ว ”
ในค่ำคืนนี้ มันช่างยาวนานจนแทบจะทนไม่ไหว ถึงแม้จะไม่ได้อยู่เมืองเดียวกัน แต่สภาพจิตใจไม่ได้ต่างกันเลย อารมณ์และความคิดมันพันกันยุ่งเหยิงจนไม่เห็นเป็นรูปเป็นร่าง
ฟ้าเพิ่งจะสว่าง หลินซินเหยียนก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาและใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ลูกทั้งสองคนยังหลับอยู่ เธอจึงลงไปถามเคาน์เตอร์ว่าJKกรุ๊ปอยู่ที่ไหน
ผู้หญิงใส่สูทสีดำที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ ตรงอกขวาก็มีบัตรพนักงานติดอยู่ ผมยาวสีน้ำตาลแดงนั้นถูกรวบไปข้างหลังอย่างสะอาดสะอ้าน เมื่อได้ยินหลินซินเหยียนถามถึงJKกรุ๊ป ก็เลยหันมามองเธอ ” คุณเป็นใครเหรอคะ ”
คนที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้จะต้องรู้ที่ตั้งของกิจการนี้แน่ ที่นี่อาจจะยิ่งใหญ่ บริจาคการกุศลก็ไม่น้อย ในพื้นที่นี้ชื่อเสียงเรื่องลือไปหมด
หลินซินเหยียนยิ้มๆ ” ฉันมาจากนอกพื้นที่น่ะค่ะ พอดีมีญาติทำงานอยู่ในนั้น ฉันไม่รู้ว่าจะไปหายังไง ก็เลยมาถามดูค่ะ ”
พนักงานเคาน์เตอร์ใช้สายตาสำรวจหลินซินเหยียนพักหนึ่ง เธอยังคงใส่กางเกงตัวนั้นเหมือนเดิม แต่แค่เสื้อตัวนอกเปลี่ยนเป็นอีกตัว ดูไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่ แต่พอมองดูแล้วเหมือนกับว่าเธอจะไม่มีที่ไป
เธอมัดผมหางม้าไว้ด้านหลัง ใบหน้าก็ดูสะอาดสะอ้านหมดจด แต่เมื่อคืนเห็นว่าตอนนี้เธอมาพักที่นี่ก็พาเด็กสองคนมาด้วย ก็รู้ว่าเธอคงจะไม่ใช่เด็กวัยรุ่นเสียแล้ว มาที่นี่ก็คงจะหาที่พึ่ง หรืออาจจะเจอเรื่องลำบากมาก่อนก็ได้
” ถ้าคุณจะไปก็ให้โบกรถ แล้วบอกกับคนขับว่าคุณจะไปJKกรุ๊ปเขาก็จะพาคุณไปที่นั่นเลย เมื่อวานเด็กสองคนที่คุณพามาคือลูกของคุณเหรอคะ ” พนักงานหน้าเคาน์เตอร์อดที่จะถามความสงสัยในใจไม่ได้ เพราะว่าภายนอกเธอดูอายุน้อยอยู่เลย แต่เด็กสองคนนั้นก็ไม่ได้ดูเล็กมาก
หลินซินเหยียนพยักหน้า ” ใช่ค่ะ พวกเขาเป็นลูกของฉันเอง ”
” โอ้ คุณสวยมากเลยค่ะ แล้วก็ยังดูเด็กด้วย แม่กล้าเชื่อเลยว่าคุณจะมีลูกพี่โตขนาดนี้แล้ว ” พนักงานเคาน์เตอร์พูดไปยิ้มไป
หลินซินเหยียนยิ้มตอบกลับไป แล้วขอบคุณจากนั้นก็พูดต่อว่า ” มื้อเช้าน่ะค่ะ รบกวนให้พนักงานช่วยเอาไปส่งที่ห้องฉันให้หน่อยนะคะ ”
” ได้เลยค่ะ ”
ไม่ได้ยินคำตอบรับของพนักงานหน้าเคาน์เตอร์แล้ว เธอก็รีบกลับห้องไป เพราะกลัวว่าลูกทั้งสองคนจะตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอเธอแล้วร้องโวยวายกันได้
แต่เมื่อเธอกลับไปถึงห้องแล้ว ลูกค้าสองคนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น เธอเลยเดินเข้าไปสะกิดเบาๆ ที่ลูกชายและลูกสาว แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า ” เด็กๆ ตื่นได้แล้วลูก ”
ตอนนี้ก็ได้แต่เจ็ดโมงแล้ว กว่าจะตื่นมาล้างหน้าล้างตากินข้าวเช้า นายจะเก็บห้องอีกก็คงปาเข้าไปหนึ่งถึงสองชั่วโมง
ถึงตาและคิ้วของหลินซีเฉินแทบจะไหลมารวมกัน ราวกับว่ายังนอนไม่อิ่ม แต่ก็ขยี้ตาไปมา ไม่ยอมลุกขึ้นอย่างว่าง่าย
แต่สำหรับหลินลุ่ยซีไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด เด็กน้อยเกาะผ้าห่มไม่ยอมลุกขึ้นมา แถมยังเอาหัวมุดเข้าไปในหมอนอีก ” หนูไม่อยากลุกจากที่นอน ยังไม่ตื่นเลยนะ ”
เสียงเด็กน้อยงัวเงียไปมา เสียงแหบพร่าเหมือนบ่งบอกว่าเพิ่งตื่นนอน
หลินซินเหยียนหัวเราะ ลูบหัวของเธอเบาๆ ” ยังไม่ตื่น ถ้างั้นเมื่อกี้ใครพูดกับแม่นะ ”
อย่างน้อยปิดตา คิดอยู่สักพัก ” แม่ได้ยินผิดแล้ว ไม่มีใครพูดกับแม่ซะหน่อย ”
” อ้าว แล้วถ้างั้นคนที่พูดเมื่อกี้คือใครล่ะ ” หลินซินเหยียน’ ต่อความ’กับเด็กน้อย
” ไม่ใช่คน ”
หลินซินเหยียน ” …. ”
เจ้าเด็กคนนี้
เธอลุกจากข้างเตียง ก่อนจะจงใจพูดเสียงดัง ” ถ้างั้นก็ได้ ลูกนอนต่อนะ เหมือนเมื่อกี้แม่จะเห็นว่ามีอาหารเช้าหลายอย่างมากเลยที่อร่อย แม่ก็เลยให้เขาเอามาสามชุด แม่กลัวว่าจะไม่พอกินน่ะสิ ตอนนี้ลูกหลับอยู่ พอดีเลยแม่กับเสี่ยวซีสองคนกินกันสามชุด ก็ไม่น่าจะไม่พอนะ น่าเสียดายที่ลูกจะไม่ได้กินอะไรอร่อยๆ อย่างนั้นนี่สิ ”
พอหลินลุ่ยซีได้ยินถึงของกิน ก็รีบเด้งตัวลุกขึ้นมานั่ง อารมณ์ตอนนี้ปั่นป่วน ทั้งที่ตาก็ยังไม่ได้ลืมด้วยซ้ำ ” อะไรที่ว่าอร่อยน่ะ หม่ามี๊กับพี่จะกินกันสองคนไม่ได้ หนูก็อยากกินด้วย หิวจนผอมแห้งหมดแล้ว คุณพ่อต้องปวดใจแล้วเป็นห่วงหนูแน่เลย ”
ขนตาของหลินซินเหยียนสั่นเล็กน้อย ก่อนจะหลบตา พยายามปกปิดอารมณ์ที่เผลอไผลแสดงออกมาเมื่อกี้
หลินซีเฉินล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วก็ออกมา พิงกำแพงแล้วหันมามองน้องสาวตัวเอง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
หลินซินเหยียนไม่เห็นเด็กชายก็ถามว่า ” ลูกเป็นอะไรไปทำไมถึงชอบถอนหายใจนัก ”
ตอนนี้เธอได้ยินเสียงถอนหายใจจากหลินซีเฉินแล้วถึงสามครั้ง
” น้องชอบทำให้คนอื่นกังวลนี่ครับ ” หลินซีเฉินอธิบายออกมาประโยคหนึ่ง พูดจบก็เอาก้นนั่งลงบนเก้าอี้ ความจริงที่เขาถอนหายใจ เพราะเรื่องพ่อกับหม่ามี๊ ตอนแรกก็นึกว่าจะอยู่กันเป็นครอบครัวใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่นึกเลยว่า ตอนนี้มันจะเกิดเรื่องขึ้น
ถึงแม้จะไม่รู้เรื่องราวที่ชัดเจนว่ามันเป็นยังไง แต่ว่าเขารู้ หม่ามี๊พาพวกเขามาอยู่ที่นี่ก็เพื่อให้ออกมาจากพ่อ
จากการที่เขาเห็นเธอร้องไห้อยู่บนรถ ก็คงจะเป็นความเอือมระอาล่ะนะ ใช้ชีวิตกลับหม่ามี๊มานานแล้ว ก็ปรับตัวได้ แต่แค่จู่ๆ ต้องจากการมีชีวิตที่เคยคลุกคลีกับพ่อ ก็ทำให้คิดถึงอยู่บ้าง เดี๋ยวก็คงดีขึ้น หลินซีเฉินนั่งคิดอยู่เงียบๆ
หลินลุ่ยซีเบ้ปาก อาการง่วงเงียก็หายไปบ้างแล้ว หลินซินเหยียนจึงอุ้มเด็กน้อยลงจากเตียง แล้วพาไปล้างหน้าล้างตา เด็กน้อยไม่ยอมให้หลินซินเหยียนล้างหน้าให้ ” หนูทำเองได้ หม่ามี๊ไปพักผ่อนเถอะ ”
หลินซินเหยียนรู้สึกปลื้มใจมาก เธอรู้สึกเหมือนว่าลูกสาวที่ชอบออดอ้อนออเซาะเธอ ชอบให้เธอเล่านทานให้ฟัง เด็กคนนั้นได้โตขึ้นแล้ว
หลินลุ่ยซีล้างหน้าเสร็จแล้ว หลินซินเหยียนก็จัดการใส่เสื้อผ้าให้เจ้าตัวน้อย ตอนนี้อาหารเช้าถูกส่งขึ้นมาถึงห้องแล้ว เธอจึงไปเปิดประตู ให้พนักงานเอาอาหารเช้าเข้ามาวางไว้บนโต๊ะ
วันนี้อากาศดีมาก แสงแดดจากด้านนอกสาดส่องเข้ามาถึงในห้อง
ทั้งสามคนนั่งกินอาหารเช้ากันที่โต๊ะ อาหารเช้าของโรงแรมทำออกมาได้ดูน่ากินมาก หลินลุ่ยซีรู้สึกพออกพอใจ จึงรีบลงมือใช้ตะเกียบคีบอาหารเลิศรสเหล่านี้ขึ้นมาชิม
หลินซินเหยียนมองดูลูกๆ ทั้งสองคน ก่อนจะพูดอย่างจริงจัง ” เสี่ยวซี เสี่ยวลุ่ย หม่ามี๊มีเรื่องจะบอกพวกลูกๆ จ้ะ ”
หลินซีเฉินหันไปมองเธอแล้วพูด ” เรื่องอะไรเหรอ หม่ามี๊พูดมาเลยครับ ”