หลินซินเหยียนเอี้ยวตัวมาดูข้อความในกระดาษ หลินซีเฉินกับหลินลุ่ยซีเปลี่ยนแค่นามสกุลเป็นจง ส่วนชื่อยังเหมือนเดิมเพียงแค่ตรงกลางเปลี่ยนเป็นเหยียน สรุปแล้วได้ออกมาว่าจงเหยียนเฉินกับจงเหยียนซี
เธอเอียงหัวมองเขา ขนตาของเขามีเส้นหนาและยาวมาก ส่วนใบหน้าด้านข้างของเขาก็ดูขาวเนียนนุ่มละมุมและอ่อนโยนราวกับหยกเลย
จงจิ่งห้าวก้มลงมาหอมแก้มเธอเบาๆ จากนั้นก็เอ่ยขึ้น“แบบนี้ดีไหม มีทั้งผมและคุณอยู่ด้วยกัน”
หลินซินเหยียนพูดเออออไปตามเขา“ดีค่ะ”
โคมไฟคริสตัลที่ห้อยอยู่บนเพดานส่องแสงสีเหลืองอ่อนออกมา มันให้บรรยากาศที่เงียบสงบและอบอุ่นมาก
ทั้งสองต่างก็เงียบ ได้แต่กอดกันกลม ทว่าหลินซินเหยียนกลับทำลายบรรยากาศความเงียบนี้โดยการเอ่ยพูดขึ้นก่อน“พรุ่งนี้คุณยุ่งไหม?”
“หืม?”เขาก้มมองเธอ
หลินซินเหยียนเงยหน้าขึ้น พร้อมกับเอาปลายจมูกถุไปมาตรงบริเวณใต้คางของเขาแล้วมองเขาด้วยท่าทีออดอ้อน“ฉันอยากให้คุณอยู่กับฉัน ฉันรู้สึกไม่ยุติธรรมเลยตั้งแต่แต่งงานกับคุณ ฉันได้แต่มีลูกให้คุณ พวกเราแทบไม่เคยไปเดินช้อปปิ้งด้วยกัน และไม่เคยไปเที่ยวสองต่อสองด้วยกัน แม้แต่ดูหนังด้วยกันก็ยังไม่เคยทำเลย ฉันมาคิดดูแล้วฉันเป็นคนเสียเปรียบอยู่ตลอดเลยนี่นา”
รอยยิ้มที่ไม่อาจเห็นได้บ่อยผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเขา เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ“มีแค่ผมกับคุณมันยังไม่พออีกหรอ?”
“ถ้าคุณไม่มีเวลา ฉันจะออกไปหาผู้ชายหล่อๆแล้วกัน โอ๊ย……”
เธอยังไม่ทันพูดจบ จงจิ่งห้าวก็กัดเข้าที่ไหล่ของเธออย่างแรงราวกับว่านี่เป็นการตักเตือนและลงโทษ บนไหล่ของเธอเกิดเป็นรอยฟันของเขาทันที“ลองไปหาดูสิ?”
หลินซินเหยียนขมวดคิ้วขึ้นด้วยความเจ็บ ขนาดเธอไม่เห็นเธอยังรู้เลยว่าที่ไหล่เธอต้องมีรอยกัดของเขาเป็นรอยลึกแน่ๆ เธอโอบคอของเขาลงมา“นี่คุณโกรธฉันมากขนาดไหนเนี่ย อยากจะกัดฉันให้ตายเลยรึเปล่า?”
เขาไม่ได้ขัดขืนหรือผละออกทว่ากลับพูดขึ้นอย่างเคืองๆ“ไม่ต้องห่วง คุณจะไม่ตายก่อนผมหรอก เพราะถ้าต้องตายล่ะก็ผมขอตายก่อน ผมจะได้ไปสำรวจเส้นทาง จากนั้นก็ค่อยดึงคุณไปอยู่ด้วย ไม่งั้นผมตกนรกคนเดียวคงจะเหงาแย่เลย”
หลินซินเหยียน“……”
ก๊อกก๊อก***
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูห้องหนังสือก็ดังขึ้น
เสียงป้าหยูดังลอดเข้ามา“ถึงเวลาทานอาหารเย็นแล้วค่ะ”
หลินซินเหยียนเงยหน้ามองเขาแล้วพูดขึ้น“ฉันหิวแล้ว”
จงจิ่งห้าวเอามือประคองที่เอวของเธอไว้เพื่อช่วยเธอลุกขึ้น“ไปกันเถอะ”
เธอยิ้มร่าพลางเอามือคล้องแขนเขาเดินออกจากห้องหนังสือ หลินลุ่ยซีกำลังหยอกเล่นอย่างสนุกสนานกับซูจ้านอยู่ในห้องนั่งเล่น แต่ไม่รู้ว่าซูจ้านพูดอะไรออกมา เด็กสาวตัวน้อยถึงได้วิ่งไล่เขาไปทั่วห้อง
เสิ่นเผยชวนนอนแผ่หลาอยู่บนโซฟาด้วยความขี้เกียจ เขากอดอกมองซูจ้านที่ถูกวิ่งไล่อยู่ จากนั้นก็พูดแหย่ออกไป“นายจะหนีไปไหนได้”
ซูจ้านหยุดมองเขาแวบหนึ่ง“ที่จริงก็วิ่งหนีได้ไม่นานหรอก”
หลินซีเฉินที่นั่งอยู่บนโซฟาถอนหายใจออกมาเบาๆ ในใจก็ได้แต่คิดว่าทำไมคุณอาซูซนเหมือนเด็กเลย
เสิ่นเผยชวนขยี้ผมเขา“เป็นเด็กเป็นเล็กทำไมถึงชอบถอนหายใจนัก ไม่กลัวว่าจะกลายเป็นคนหัวล้านหรอ?”
หลินซีเฉินเงยหน้ามองเขา“ผมคงไม่แย่ไปกว่าลุงหรอก เพราะงั้นไม่ต้องเป็นห่วงผม”
เสิ่นเผยชวน“……”
เขา เขาดูแย่งั้นหรอ?
“ฉันดูแย่ตรงไหนมิทราบ?”เสิ่นเผยชวนดีดตัวขึ้นมานั่งหลังตรงทันที
“ก็ถ้าผมอายุเท่าลุง ป่านนี้ผมคงมีภรรยาไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะหัวล้านก็ตาม แต่มันก็ยังดีกว่าหาภรรยาไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?”
เสิ่นเผยชวน“……”
นี่เขาหาเรื่องใครก็โดนหาเรื่องกลับหมดเลยหรอเนี่ย หาแฟนไม่ได้นี่มันแย่จริงๆ
ทุกคนต่างก็เอาเรื่องนี้มาล้อเขา
เป็นเขานี่มันเหนื่อยจัง
“คุณพ่อคะ”
เมื่อเห็นจงจิ่งห้าวเดินออกมาจากห้องหนังสือ หลินลุ่ยซีก็รีบวิ่งเข้าไปหา จากนั้นก็เอาหน้ามุดเข้าไปในอ้อมแขนของเขาเแล้วฟ้องขึ้นทันที“คุณพ่อคะ คุณอาซูรักแกหนูค่ะ”
หลินซินเหยียนเหลือบมองลูกสาวของเธอแล้วส่ายหัวออกมา เด็กคนนี้นี่ชอบอ้อนและมีเรื่องมาฟ้องจงจิ่งห้าวตลอด ไม่รู้ว่าลูกสาวของคนอื่นจะติดพ่อแบบนี้ไหมนะ เธอเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อช่วยป้าหยูยกกับข้าวและเตรียมตะเกียบกับถ้วยชามต่างๆ
จงจิ่งห้าวยื่นมือออกมาโอบลูกสาวไว้ข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ช่วยจัดผมที่สยายลงมาเอาไปทัดหูของเธอพร้อมกับเอ่ยถามออกไปเบาๆ“เขารักแกหนูยังไงคะ?”
หลินลุ่ยซีทำตาโตขึ้นมาทันที“คุณอาซูถามว่าหนูฉลาดรึเปล่า”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”เขาอุ้มลูกสาวเดินมาที่หน้าโต๊ะทานข้าว จากนั้นก็ลากเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง
หลินลุ่ยซีก้มหน้าก้มตาและจับนิ้วของตัวเองไปมาทำท่าเหมือนไม่อยากพูด
หลินซีเฉินเดินเข้ามาแล้วปีนขึ้นเก้าอี้ เขาพูดสิ่งที่ซูจ้านพูดแหย่หลินลุ่ยซีออกมาอีกรอบ เดิมที่ซูจ้านพูดก็คือ“เสี่ยวซีหนูฉลาดไหม?”
หลินลุ่ยซียิ้มร่าพร้อมกับตอบออกไปด้วยความมั่นใจ“แน่นอนค่ะ”
“ถ้างั้นคุณอาซูจะถามหนูอย่างหนึ่ง ถ้าหนูตอบได้ก็แสดงว่าหนูฉลาด”
“ได้ค่ะ”หลินลุ่ยซีมั่นใจเต็มร้อย จากนั้นซูจ้านก็ถามขึ้น“ลุงจะถามหนูคำถามเดียว หนูแค่ตอบลุงมาว่ารู้หรือไม่รู้”
“ ได้เลยค่ะ”
หลินลุ่ยซีรู้สึกสนใจมาก เธอตั้งหน้าตั้งตารอสิ่งที่ซูจ้านจะพูดออกมา
“หนูโง่ขนาดนี้ พ่อกับแม่หนูรู้ไหมเนี่ย?”
“ไม่รู้……รู้…สิ……”
ไม่ว่าจะตอบยังไงก็ดูเหมือนว่าเธอจำเป็นต้องยอมรับว่าตัวเองโง่
เมื่อหลินลุ่ยซีเข้าใจ เธอก็เริ่มวิ่งไล่ตีซูจ้านทันที จากนั้นพวกเขาก็เห็นภาพหลินลุ่ยซีวิ่งไล่ซูจ้านอยู่ในห้องนั่งเล่นแบบนี้แล้ว
หลินลุ่ยซีเบ้ปากออกมา แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ“คุณพ่อคุณอาซูว่าหนูโง่”
ซูจ้านลากเก้าอี้มานั่งพร้อมกับหัวเราะร่า“ลุงก็แค่แกล้งหนูเล่นเฉยๆ”
หลินลุ่ยซีผละจากจงจิ่งห้าวแล้ววิ่งไปที่ซูจ้านจากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนตัก ซูจ้านอุ้มเธอขึ้นมาไว้ในอกแล้วมองเธอด้วยความระมัดระวัง“จะทำอะไร?จะแก้แค้นลุงหรอ?”
เธอส่ายหัว“หนูจะฟ้องป้าฉินยาว่าคุณอาซูถือโอกาสตอนที่เธอไม่อยู่แอบไปหาแฟนใหม่”
ซูจ้าน“…….”
เขาผิดไปแล้ว
เขาขอโทษได้ไหม?
อย่าเล่นแบบนี้กับเขาได้ไหม?
ซูจ้านรู้สึกสำนึกผิดแล้ว ทำไมเขาถึงไปแหย่ผึ้งน้อยตัวนี้กันนะ?
“เสี่ยวลุ่ย ลุงมันโง่ ลุงมันโง่เอง อย่าไปพูดถึงลุงในทางที่ไม่ดีกับป้าฉินยาเลยนะ ไม่งั้นคุณลุงคนนี้ก็จะกลายเป็นชายโสดเหมือนคุณอาซู หนูดูสิเขาน่าสงสารขนาดไหน เพราะงั้นห้ามไปพูดมั่วซั่วกับป้าฉินยานะ รู้ไหม?”
เสิ่นเผยชวน“……”
เขายังไม่ได้ทำอะไรเลยแล้วทำไมถึงโดนลูกหลงไปด้วยล่ะ?
เขาเดินเข้าไปแล้ววางมือลงบนไหล่ของซูจ้านอย่างแรง“น้องรัก”
เขาน่าสงสารจริงๆ ฉะนั้นจึงพูดอะไรไม่ได้มาก เขาเหลือบมองหลินลุ่ยซีที่อยู่ในอ้อมกอดของซูจ้าน เด็กคนนี้นับวันยิ่งดูเหมือนหลินซีเฉิน เขาถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้แล้วเอ่ยขึ้น“เด็กสองคนนี้ต่างก็ฉลาดมาก ทางที่ดีพวกเราอย่าไปหาเรื่องพวกเขาดีกว่านะ”
ซูจ้านยอมรับผิดต่อ“เสียวลุ่ย ลุงผิดไปแล้ว ลุงมันโง่เอง เพราะงั้นพวกเราอย่าไปพูดเรื่องมั่วซั่วกับป้าฉินยาแล้วดีไหมคะ?”
หลินลุ่ยซียื่นมือออกไปบีบแก้มของซูจ้าน“เห็นแก่คุณลุงที่มีความจริงใจ ถ้างั้นครั้งนี้หนูจะยอมยกโทษให้ก่อนแล้วกัน”
ซูจ้านค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย ในใจก็ได้แต่คิดว่าจากนี้ไปจะไม่แกล้งเด็กน้อยคนนี้อีกแล้ว ตัวนิดเดียวแต่กลับไม่ยอมให้ตัวเองเสียเปรียบเลย แถมยังมีจิตใจอาฆาตแค้นที่รุนแรงมาก
“เดี๋ยวโตขึ้น ใครจะกล้าขอหนูแต่งงานเนี่ย”
“อะไรนะ?”หลินลุ่ยซีได้ยินไม่ชัด
จงจิ่งห้าวหันมามองตาขวาง ซูจ้านจึงรีบรูดซิปปากลงทันที เขาตบหลังหลินลุ่ยซีเบาๆ“ลุงไม่ได้พูดอะไรเลย พวกเรากินข้าวกันเถอะ”
พอป้าหยูยกกับข้าวมาวางบนโต๊ะหมดแล้วก็เดินกลับไปเอาซุปมาเป็นอย่างสุดท้าย
หลินซินเหยียนนำจานและถ้วยชามาจัดวางลงบนโต๊ะ จากนั้นก็เดินมานั่งลงข้างๆลูกชาย
พลางลูบหัวเขา“กินข้าวกัน”
ซูจ้านนั่งอยู่ตรงข้ามเธอ เขาทำท่าลังเลอยู่เล็กน้อยแต่สุดท้ายก็ถามออกไป“พี่สะใภ้ครับ ฉินยาเป็นยังไงบ้าง?”
ฉินยาฟื้นตัวได้ดีขึ้นแล้ว เพียงแต่ว่ารูปลักษณ์หน้าตาเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก ที่จริงหล่อนโทรมาบอกเธอไว้วาจะกลับมาเร็วๆนี้ตั้งแต่ก่อนที่เฉิงยู่ซิ่วจะเสีย แต่หล่อนไม่อยากให้เธอบอกซูจ้าน
หลินซินเหยียนมองซูจ้านแล้วพูดออกไปตามความจริง“อาการของเธอดีขึ้นมากแล้ว แต่นายไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก เธออาจต้องการเวลาอีกสักหน่อย”
เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจขอเธอมากเลยทีเดียว อย่างที่รู้กันรูปลักษณ์หน้าตานั้นสำคัญสำหรับผู้หญิงมาก แถมตอนนั้นหล่อนยังเสียลูกไปด้วย
ถ้าเป็นเธอล่ะก็ บางทีอาจจะไม่รอดมาถึงวันนี้ก็ได้
ซูจ้านก้มหน้าลงด้วยความผิดหวังแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย“เข้าใจแล้วครับ”
บรรยากาศบนโต๊ะอาการเริ่มหดหู่ลงแปลกๆ นอกจากเด็กทั้งสองแล้วผู้ใหญ่บนโต๊ะก็แทบจะไม่กินอะไรเลย
จงจิ่งห้าวยังไม่ได้กินเข้าไปแม้แต่คำเดียว แม้แต่น้ำก็ยังไม่ดื่มเลยซักอึก ทว่ากลับหาข้ออ้างว่าต้องไปจัดการเรื่องของบริษัท จากนั้นก็ลุกออกจากโต๊ะไป
หลินซินเหยียนรู้ว่าความรู้สึกเศร้าในใจของเขายังคงไม่หายไป
แน่นอนว่ามันคงไม่จางหายออกไปเร็วๆได้ เธอจึงไม่ได้ปลอบเขาแต่ปล่อยให้เวลามันค่อยๆเยียวยาตัวเขาแทน
ที่จริงเธอก็ไม่รู้สึกหิวหรอก แต่เพื่อเด็กในท้อง เธอจึงกินซุปเพิ่มอีกหนึ่งชาม เธอตักซุปเข้าปากไปหนึ่งคำพลางมองไปที่เสิ่นเผยชวนแล้วถามขึ้น“เมื่อกี้ที่ฉันเอากาแฟไปให้พวกคุณ เหมือนจะได้ยินพวกคุณพูดถึงเหวินเสียน”
เสิ่นเผยชวนตอบอืมออกมา“จงฉีเฟิงกำลังป่วย จงจิ่งห้าวจึงไปเยี่ยมเขาและถือโอกาสถามรายละเอียดของเรื่องในตอนนั้น”
“แล้วได้เรื่องว่าไงบ้าง?”หลินซินเหยียนลองถามหยั่งเชิงดู เธออยากรู้ว่าจงจิ่งห้าวรู้มากแค่ไหนแล้ว
เสิ่นเผยชวนไม่ได้ปิดบังเธอ เนื่องจากรู้สึกว่าเธอไม่ใช่คนอื่นคนไกล เธอเป็นภรรยาของจงจิ่งห้าวและเป็นคนที่เฉิงยู่ซิ่งเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องเธอ
หลินซินเหยียนรู้เรื่องทุกอย่าง สิ่งที่เขาพูดมันค่อนข้างผิวเผินและไม่ละเอียดมากนัก“ก็มีบอกว่าตอนที่แต่งงานกับเหวินเสียน ตอนนั้นเหวินเสียนมีคนรักอยู่แล้วก็เลยไปหาเฉิงยู่ซิ่วแล้วส่งเธอไปอยู่ข้างกายเขาแทน คุณก็รู้เรื่องพวกนี้นี่นา”
“คนตระกูลเหวินนี่แปลกจริงๆ”ซูจ้านพูดแทรกเข้ามาอย่างอดไม่ได้
หลินซินเหยียนก้มหน้าลงเล็กน้อย แล้วตักซุปกินเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่ซับซ้อนในแววตา
“ไม่ได้บอกหรอว่าเหวินเสียนตายยังไง?”หลินซินเหยียนยังคงก้มหน้าก้มตากินซุปต่อ ตอนที่เฉิงยู่ซิ่วเล่าให้เธอฟังหล่อนก็ไม่ได้ลงรายละเอียดมากว่าเหวินเสียนตายยังไง
ที่จริงเธออยากจะรู้มาก
เสิ่นเผยชวนส่ายหน้า“ไม่ได้บอก”
เธอเค้นถามต่อออกไปอีก“มีพูดถึงเรื่องที่เหวินเสียนมีลูกด้วยรึเปล่า?”